คนที่โผล่ออกมาเป็นสตรีวัยกลางคนนางหนึ่ง เดิมท่าทางขี้ขลาด ทว่าเวลานี้กับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ราวกับมีไฟลุกโชนในดวงตา ทุกคนมองสตรีผู้นั้น บรรยากาศเงียบกริบ
นี่มันอี๋เหนียงของนายท่านไม่ใช่หรือ ทำไมถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
ซูชิงเสวี่ยสีหน้าแย่ลงกว่าเดิมอีก ริมฝีปากกระตุกขึ้นมาเบาๆ เหมือนกับมีอะไรจะพูดกับอี๋เหนียง ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมา
สตรีนางนั้นพุ่งพรวดเข้ามาตรงหน้าเจินซื่อเฉิง แล้วคุกเข่าลงกับพื้น “ข้าเป็นผลักลงไปเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณหนูรอง”
“คนผู้นี้คือ…” เจินซื่อเฉิงมองไปที่นายท่านซู
นายท่านซูมองสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าดำทะมึน พลางเอ่ยขึ้นด้วยความอึดอัด “นางเป็นอนุของข้า”
เจินซื่อเฉิงเข้าใจทันที “เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดคุณหนูรองงั้นรึ”
นายท่านซูพยักหน้า
ปกติอนุผู้นี้แทบจะไม่มีตัวตนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีนางอยู่
เจินซื่อเฉิงมองพินิจพิเคราะห์สตรีผู้นี้อย่างเย็นชา จู่ๆ คนผู้นี้ก็เข้ามาสารภาพ คนปกติอาจจะคิดว่าอี๋เหนียงร้อนใจเพราะรักลูก จึงรับความผิดแทนลูกสาว ทว่าเขาไม่เคยตัดสินใครจากแวบแรกที่เห็นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
“อี๋เหนียงอธิบายเรื่องทั้งหมดมาให้ชัดเจนเถอะ” เจินซื่อเฉิงพูดเสียงเรียบ
สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันมองไปที่โหยวซื่อ สีหน้าที่หวาดกลัวสงบลงอย่างไม่คาดคิด ยืดตัวตรงเอ่ยขึ้น “ไม่นานมานี้ข้าเจอคุณหนูรอง เดิมอยากจะคุยกับคุณหนูรอง ทว่าคุณหนูรองรีบเดินออกไป ปกติน้อยมากกว่าที่จะได้เจอคุณหนูรอง ข้าคิดถึงนางมากจริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอ ทว่ากลับได้พูดคุยแค่ไม่กี่คำ ข้าทุกข์ใจมากก็เลยเดินไปข้างหน้าอย่างล่องลอย ไม่นึกเลยว่าจะเดินมาถึงทะเลสาบจวีสยาและเห็นคุณชายรองกับคุณหนูเจียงซื่อ…“
น้ำเสียงพูดของนางทั้งนิ่งและช้า ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เงียบฟัง มีเพียงแค่เสียงลมผ่าน เสียงเสียดสีกันของใบไม้ที่ร่วงโรยและเสียงคลื่นน้ำกระเพื่อมในทะเลสาบที่ดังขึ้น
สตรีผู้นั้นหยุดมองลงที่ใบหน้าของเจียงซื่อ
เด็กสาวใบหน้าสะสวย อ่อนเยาว์
สตรีผู้นั้นสายตาอ่อนโยนลง พลางเอ่ยขึ้นช้าๆ “คุณชายรองเข้าไปขวางคุณหนูเจียงซื่อเพื่อให้นางเล่นด้วย คุณหนูไม่ได้สนใจ จากนั้นรีบพาสาวรับใช้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ข้าเห็นคุณชายรองยืนอยู่ที่นั่นท่าทางไม่พอใจเอามากๆ ก็เลยเดินเข้าไป แล้วบอกกับเขาว่าที่จริงคุณหนูยังเดินไปได้ไม่ไกล หากไม่เชื่อก็ให้เขามองไปในทะเลสาบ ข้างในมีเงาของคุณหนู…”
เจียงจั้นได้ยินถึงตรงนี้ก็โมโหจนต้องก่นด่าออกมา “นี่คือสิ่งที่คนเขาพูดกันงั้นรึ”
บอกว่าในทะเลสาบมีเงาของน้องซื่อ นี่มันแช่งให้น้องซื่อตกน้ำชัดๆ!
เจียงอันเฉิงตีเจียงจั้นด้วยฝ่ามือ พลันพูดตำหนิออกไป “อย่าพูดแทรก!”
กำลังถึงจุดสำคัญอยู่เลยเชียว!
“จากนั้นล่ะ” เจินซื่อเฉิงถามเสียงอ่อน
สตรีผู้นั้นหัวเราะออกมา “คุณชายรองเป็นคนสติไม่ดี พอเขาได้ยิน แน่นอกว่าต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ทะเลสาบอยู่แล้ว พอคุณชายรองบอกว่าไม่เห็น ข้าจึงพูดกับเขาว่าให้ก้มมองดูดีๆ จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่เขาก้มลงมองออกแรงผลักเขาลงไปในทะเลสาบ…”
เมื่อพูดถึงขั้นตอนต่อไป สีหน้าของสตรีผู้นั้นก็ยิ่งเยือกเย็น พลางฉีกยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้” นายท่านซูถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ทำไม่น่ะหรือ” สายตาของสตรีผู้นั้นค่อยๆ เลื่อนออกไป รอยยิ้มที่มองนายท่านซูเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม “นายท่านลืมไปแล้วหรือว่าหลินเกอเอ๋อร์ตายอย่างไร”
เมื่อสตรีผู้นั้นพูดจบเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนก็ดังขึ้นมา
เจินซื่อเฉิงได้ยินผู้คนพูดคุยกันเรื่องตัวตนของหลินเกอเอ๋อร์ ที่แท้หลินเกอเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายของสตรีนางนี้ เพียงแต่ว่าตายไปตั้งแต่เยาว์วัย ซึ่งไม่ได้ถูกจัดอันดับเป็นบุตรคนสุดท้าย และไม่ถูกนับเข้าอยู่ในตระกูลด้วยซ้ำ
สตรีผู้นั้นลุกพรวดขึ้นมาตะโกนดังลั่น “หลินเกอเอ๋อร์ถูกเด็กปัญญาอ่อนนั่นผลักลงมาจาภูเขาจำลองจนตาย! หลินเกอเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้ายังอายุไม่ถึงสามขวบเลย ทั้งฉลาดและน่ารักเช่นนั้น ทุกครั้งเขาจะโผเข้ามาในอ้อมกอดข้าแล้วเรียกเสียงหวานว่าอี๋เหนียงๆ ทว่ากลับถูกเจ้าเด็กปัญญาอ่อนนั้นทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต”
สตรีผู้นั้นพูดไป น้ำตาก็ไหลพรากไปด้วย “สุดท้ายก็เป็นเพราะเจ้าปัญญาอ่อนที่คลานออกมาจากท้องของไท่ไท่ เขาจึงไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่แม้แต่จะถูกดุด่าด้วย!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดอี๋เหนียงจึงต้องรอให้ถึงวันนี้ค่อยลงมือ” เจินซื่อเฉิงถามขึ้นน้ำเสียงไร้ซึ่งความรู้สึก
สตรีผู้นั้นยิ้มเยาะออกมา “ก็เพราะข้าเป็นคนรับใช้ผู้ต้อยต่ำยังไงเล่า ลูกชายแท้ๆ ของตนเองถูกคนทำร้ายจนตาย แต่ก็ยังมีลูกสาว เพื่อให้ลูกสาวได้ใช้ชีวิตที่ดีต่อไป จึงทำได้เพียงกัดฟันอดทน”
“ตอนนี้ไม่ทนแล้วรึ”
“ไม่ทนแล้ว” สตรีผู้นั้นเช็ดคราบน้ำตาออกอย่างแรง “เด็กปัญญาอ่อนนั่นทำร้ายคนอีกแล้ว เขาผลักคุณชายสามลงมาจาภูเขาจำลอง คุณชายสามโชคดีที่ไม่ตาย แต่ใครจะรู้ว่าจากนี้ไปเด็กสติไม่สมประกอบคนนั้นจะไปทำร้ายใครอีกกี่คน เช่นนั้น ให้เขาตายไปน่ะดีแล้ว”
พอพูดถึงตอนสุดท้าย สีหน้าของสตรีผู้นั้นก็เด็ดขาดดั่งคมมีด
เอ้อร์ไท่ไท่สวี่ซื่อเอามือป้องปาก ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาภายในพริบตาเดียว
นางแต่งงานมาตั้งนานหลายปีมีลูกชายหนึ่งคนก็คือเป่าเกอเอ๋อร์ นางรักและเอ็นดูดุจไขมุกอันล้ำค่า ทว่ากลับถูกคนทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพนั้น ตอนนี้เพียงแค่หลับตาลงใบหน้าที่เปื้อนเลือดของเป่าเกอเอ๋อร์ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ทำให้นางราวกับตกอยู่ในฝันร้ายตลอดเวลา
แต่นางไม่มีวิธีอื่น คนอื่นอาจจะพูดกันว่า ‘นี่เจ้าคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กไม่สมประกอบคนหนึ่งหรือ’
นางไม่ได้มีจิตใจที่อยากจะทำร้ายใคร แต่ถ้าหากให้พูดว่าไม่แค้นเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเอ่ยคำชั่วร้ายนี้ออกมาแทนนาง
เจินซื่อเฉิงมองสตรีผู้นั้นเงียบๆ สักพักหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา “วันนี้อี๋เหนียงใจร้อนเช่นนี้ มันเกี่ยวข้องกับคุณหนูซูเอ้อร์หรือไม่”
สตรีผู้นั้นอดมองไปที่ซูชิงเสวี่ยไม่ได้
ซูชิงเสวี่ยก้มหน้าลง ไม่เหลียวมองสตรีผู้นั้น
จู่ๆ สตรีผู้นั้นก็หัวเราะออกมา “ใช่ ใครใช้ให้คุณหนูรองไม่สนใจที่จะพูดกับแม่แท้ๆ อย่างข้าผู้นี้กันล่ะ ลูกชายข้าตายแล้ว แถมลูกสาวยังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาอีก เช่นนั้นเหตุใดข้าจะต้องใช้ชีวิตที่คับอกคับใจเช่นนี้ต่อไป ข้าแก้แค้นให้ลูกชายข้าไม่ดีกว่าหรือ”
วันนี้เป็นวันครบรอบการตายของหลินเกอเอ๋อร์ นางเจ็บปวดราวกับถูกเจาะเข้าไปในหัวใจ อยากจะคุยกับลูกสาวมาก ทว่าสิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นคำดูถูกเหยียดหยามจากลูกสาว
ซูชิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาทันควัน เห็นความแค้นของสตรีผู้นั้นแวบผ่านนัยน์ตาไป
“นางสารเลว!” โหยวซื่อชี้ไปที่สตีผู้นั้น พลันโกรธจนหน้าเขียว
เวลานี้ นางอยากจะสั่งให้คนนำตัวนางสารเลวตรงหน้ามาหั่นเป็นชิ้นๆ ทว่าสติที่มีอยู่ทำให้นางไม่บุ่มบ่าม ทว่าสตรีผู้นั้นกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว “ไท่ไท่จะว่าข้าเป็นนางสารเลวก็ว่าไปเถอะ เดิมชีวิตข้าก็ต้อยต่ำอยู่แล้ว หึหึหึ ตายไปก็ไม่เสียดายหรอก”
“เจ้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” โหยวซื่อคิดไม่ถึงเลยว่า อนุชั้นต่ำจะพูดกับนางเช่นนี้ นางโกรธจนตัวสั่น
เจินซื่อเฉิงกลับมองจ้องไปที่ซูชิงเสวี่ย เอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณหนูซูเอ้อร์ ขณะที่อี๋เหนียงผลักคุณชายซูตกน้ำ เจ้าอยู่ที่ศาลาเฉาหยางดูอยู่ใช่หรือไม่”
แม้จะอาศัยแค่ประสบการณ์เขาก็แน่ใจได้ว่าอี๋เหนียงไม่ได้โกหก เพียงแค่ว่าไม่มีพยานบุคคล จบคดีเช่นนี้มันยากที่จะน่าเชื่อถือ
ซูชิงเสวี่ยตัวโอนเอนไปมา ความแค้นที่มีต่อสตรีผู้นั้นพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ทำไมจะต้องดึงนางเข้ามาเกี่ยว คนพวกนี้ปล่อยนางไปไม่ได้เลยหรือ
เจินซื่อเฉิงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงหนักแน่น “มีผ้าเช็ดหน้าเป็นหลักฐาน จนถึงตอนนี้หากคุณหนูซูเอ้อร์ยังไม่พูดความจริง เช่นนั้นข้าทำได้เพียงตัดสินว่าเจ้ากับอี๋เหนียงร่วมมือกันทำร้ายคุณชายซู…”
ซูชิงเสวี่ยพูดขัดจังหวะเจินซื่อเฉิงขึ้นมาทันควัน “ข้าไม่ได้ทำนะ!”
เจินซื่อเฉิงมองนางด้วยสีหน้าไรซึ่งความรู้สึก
ซูชิงเสวี่ยสารภาพทุกอย่างออกมาทันที นางพูดพลางเอามือปิดหน้า “ใช่ ตอนนั้นข้าอยู่ที่ศาลาเฉาหยาง เห็นอี๋เหนียงผลักพี่รองลงไปในทะเลสาบ…”