ตอนที่ 73-3 พิณหงอน

ในตอนท้ายของการบรรเลง ทุกคนยังคงหลงใหลในเสน่ห์ของเสียงเพลงนั้น ราวกับว่าดนตรีที่ไพเราะยังคงดังก้องอยู่ข้างหูของพวกเขา

หลี่จางเล่อยิ้มอย่างอ่อนโยนและยืนขึ้นเพื่อคํานับทุกคน และในที่สุดทุกคนก็แสดงปฏิกิริยาตอบสนองโดยการลุกขึ้นยืน เพื่อสรรเสริญ ขณะที่จ้องมองนางด้วยความชื่นชมและศรัทธา

หลี่จางเล่อกล่าวด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสว่า:

“ข้ายังต้องขอบคุณองค์ชายห้าที่ร่วมบรรเลงขลุ่ยด้วย”

ทัวเป่ารุ่ยเฝ้าดูหลี่จางเล่อ ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของเขามีร่องรอยของความลุ่มหลง

“ข้าเพียงเปาขลุ่ยไปตามอารมณ์เพลงเท่านั้น เป็นเพราะการบรรเลงของเจ้านั้นช่างรื่นรมย์ บทเพลงจึงมีความไพเราะเป็นอย่างมาก”

“ทั้งสองมิจําเป็นต้องถ่อมตัวให้มาก ดนตรีเช่นนี้มีเพียงบนสวรรค์เท่านั้นที่มี มันหาได้ยากที่จะได้ฟังบนโลกมนุษย์! วันนี้เราทุกคนได้ชมการแสดงนี้ นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง”

“ถูกต้อง เสียงดนตรีจากพิณหงอนนั้นน่าฟัง อีกทั้งเสียงของคุณหนูหลี่ก็น่าทึ่งและไพเราะมากเช่นเดียวกัน!”

ทุกคนกล่าวพร้อมกัน และแม้แต่คุณชายบางท่านก็ยังต้องการร่ายบทกวีเพื่อยกย่องความงามของหลี่จางเล่อ

หลี่จางเล่อยิ้มขณะมองไปยังดวงตาของหลี่เว่ยหยางที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

คุณหนูทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะด้านต่าง ๆ ดังนั้นจึงมิมีอันใดที่ทําให้ขุ่นเคืองใจสําหรับสิ่งเหล่านี้

ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา คุณหนูใหญ่ใช้เวลาเรียนรู้จากหลินกู ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเล่นพิณหงอนในบ้านตระกูลหลี่

ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้นางทุ่มเทให้กับมันมากจนแทบจะมีได้พักผ่อนหรือทานอาหารให้เพียงพอ เพื่อที่จะทําให้ทุกคนตกตะลึงในสถานการณ์เช่นนี้

หลังจากการสบตาอีกครั้งระหว่างหลี่เหว่ยหยางและหลี่จางเล่อ ริมฝีปากของหลี่เว่ยหยางได้กลายเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความชื่นชมและยินดี

หลี่จางเล่อมองมิเห็นความโกรธเคืองหรือความอับอายบนใบหน้าของน้องสาวเลยแม้แต่น้อย

นางจึงขมวดคิ้วขึ้นโดยมิรู้ตัว และกําลังจะกล่าวบางอย่าง แต่น้ำเสียงอันเยือกเย็นเหมือนมีดคมที่แช่แข็งขององค์หญิงหย่งหนิงกล่าวว่า

“ข้าสงสัยว่า บุตรสาวของท่านอํามาตย์หลี่ผู้นี้ซึ่งจักรพรรดิทรงยกโทษสําหรับความผิดบาปเหล่านั้น

เหตุใดจึงมิไตร่ตรองความผิดของตนเองอยู่ที่บ้าน แต่กลับมาแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าละอายยิ่งนัก!”

หลังจากได้ยินคําเหล่านั้นแล้ว สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในทันที

แม้ว่าองค์หญิงหย่งหนิงจะต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียพระสวามี แต่บุคลิกของนางก็ยังคงอ่อนโยน และมิมีผู้ใดเคยได้ยินพระนางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรงเช่นนี้เมื่อก่อน

องค์หญิงหย่งหนิงส่งเสียงอย่างแผ่วเบาต่อไปว่า:

“คุณหนูใหญ่ของตระกูลหลื่นั้นมีความสามารถในการบรรเลงเพลงคงต้องใช้เวลาฝึกฝนมานาน

เจ้าใช้เวลาทั้งหมดในการทําสิ่งนี้แทนที่จะใช้เวลาเพื่อเรียนรู้มารยาทที่เหมาะสม

ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ามีความคิดที่ทําให้ประเทศชาติและประชาชนเกิดความโกลาหล

ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกตกใจจนกล่าวอันใดมิออก ราวกับว่าเมื่อครู่นี้หลี่จางเล่อได้ทําความผิดร้ายแรงลงไป จากนั้นใบหน้าของนางก็ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธเคือง

เมื่อเห็นสาวงามในดวงใจกําลังถูกตําหนิ องค์ชายห้าจึงยื่นมือเข้าช่วยในทันทีโดยการกล่าวว่า

“คุณหนูหลี่เป็นเพียงสุภาพสตรีในตระกูลที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ที่สามารถคิดแผนการสําหรับช่วยเหลือผู้คนได้นั้นนับว่าหายาก และพระบิดาทรงสัญญาแล้วว่าจะให้อภัยนาง”

องค์หญิงหย่งหนิงหัวเราะอย่างเย็นชาก่อนที่จะกล่าวว่า

“พระบิดามใจกว้างและให้อภัยนางมาโดยตลอด แต่ก็มิได้หมายความว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์

อันที่จริงแล้ว ในวัยเด็กเช่นนี้คุณหนูหลี่คงจะมิเข้าใจถึงเรื่องของกฎเกณฑ์ แต่อย่างน้อยฮูหยินหลี่ควรให้การอบรมและสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องคุณงามความดีและความเหมาะสมให้กับนางบ้าง”

หลี่เสี่ยวหรันในฐานะท่านอํามาตย์และภริยาต่างก็เปล่งประกายแห่งความอับอายขายหน้าจนมิรู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ใด

ฮูหยินใหญ่มิเคยพบกับความอัปยศอดสูอย่างหนักหนาเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต และในตอนนี้นางยืนนิ่งโดยมิได้กล่าวอันใดออกมาสักคํา

และคํากล่าวเหล่านั้นทําให้ทัวเป่ารุ่ยรู้สึกมิพอใจเป็นอย่างมาก

“พระพี่นาง มันเป็นเพียงแค่ร้องเพลงและเล่นดนตรีเท่านั้น แล้วมันไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเหมาะสมได้อย่างไร!”

คํากล่าวเหล่านั้นทําให้ดวงตาขององค์หญิงหย่งหนิงแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองในทันที

“โหยหาชั่วนิรันดร์ไม่อาจลืม! เนื้อเพลงลามกเหล่านี้ คุณหนูของบ้านตระกูลหลี่กล้าร้องเพลงเช่นนี้ได้อย่างไร!

เห็นได้ชัดว่า นางต้องการดึงดูดความสนใจจากผู้ชายอย่างเปิดเผย ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก!”

หลี่จางเล่อกล่าวด้วยความสับสนเป็นอย่างมากว่า

“องค์หญิงเพคะ เพลงนี้ใช้บรรยายถึงบรรยากาศเท่านั้น เมื่อครูคุณหนูท่านอื่น ๆ ก็ร้องเพลงในทํานองนี้เช่นเดียวกัน”

การแสดงออกของหย่งหนิงเริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ :

“เจ้ากล้าดีอย่างไร จึงมาเถียงข้าต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้”

หลี่จางเล่อรู้สึกผิด และอันที่จริงคุณหนูหยานที่ร้องเพลงในวันนี้ก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่านางก็ร้องเพลงที่มีความหมายที่คล้ายคลึงกัน

แม้ว่าราชวงศ์นี้จะสนับสนุนการแสดงออกถึงความสามารถระหว่างชายและหญิง แต่ในสถานการณ์ที่มิคาดคิดเช่นนี้ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง

ย้อนกลับไปตอนนั้นองค์หญิงหลูซิน น้องสาวคนที่สี่ขององค์หญิงหย่งหนิง ได้เขียนกลอนบทหนึ่งสําหรับพระคู่หมั้น เพื่อแสดงความรักของตนเอง

หากตามคํากล่าวขององค์หญิง สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อนาจารหรือไม่?

คุณหนูหยานลอบแอบมองไปยังองค์หญิงและพบว่า ความโกรธของพระนางนั้นพุ่งตรงไปยังหลี่จางเล่อ จึงอดมิได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

หลี่จางเล่อกล่าวด้วยความรู้สึกสํานึกผิดว่า:

“หม่อมฉันมิบังอาจ”

ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยความรู้สึกสับสนว่า :

“จางเล่อมิได้ตั้งใจที่จะทําให้องค์หญิงขุ่นเคือง หวังว่าองค์หญิงจะให้อภัยนาง!”

ทัวเป่าหยูถอนหายใจ และนึกอยู่ในใจว่า วันนี้หลี่จางเล่อประมาทมากเกินไป

พระสนมจางเต่อ ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาของเขาเคยตรัสกับเขาว่า องค์หญิงหย่งหนิงและราชบุตรเขยทรงรักกันมาก

ทั้งสองฟังนักดนตรีเล่นพิณหงอนจากดินแดนตะวันตกและตกหลุมรักกัน จึงเรียกนักดนตรีมาสอนถึงในพระราชวัง

แต่หลังจากพระราชบุตรเขยสิ้นพระชนม์ลง องค์หญิงจึงเศร้าโศกและเสียพระทัยเป็นอย่างมาก

และเมื่อเห็นพิณหงอนจึงทุบมันเป็นชิ้นชิ้นน้อย และมิต้องการเห็นเครื่องดนตรีประเภทนี้อีกเลย