กาลเวลาผันผ่านไปไวว่องราวอาชาสีขาววิ่งผ่านซอกแคบ ไม่ช้าไม่นานก็เริ่มเข้าเดือนเจ็ด
ความร้อนระอุในเมืองหลวงยังมิได้จางหายไปไหน ผู้คนตามท้องถนนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็โบกสะบัดอาภรณ์บนร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หากพิจารณาตามวันเวลาแล้ว ช่วงนี้กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ท้องฟ้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงแลโปร่งโล่งสบาย เมฆบางตากระจายอยู่เล็กน้อยเผยให้เห็นผืนฟ้าขนาดใหญ่ ลำแสงของดวงตะวันเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าช่วงกลางฤดูร้อน เร้าให้อารมณ์ของผู้คนสดใสอย่างมิอาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทว่าสภาพจิตใจของเจียงซื่อนับวันยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
การตายของพี่รองในชาติที่แล้วเป็นเหมือนก้อนหินขนาดมหึมาที่ถ่วงอยู่ในใจของนาง เมื่อวันเวลานั้นขยับเข้ามาใกล้ขึ้น นางก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ
ตั้งแต่สองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วจากไป นางก็มิกล้าผลีผลามทำสิ่งใดอีกเลย บทเรียนที่มิอาจลืมเลือนนี้สอนให้นางรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ทันตั้งตัวอาจนำมาซึ่งความโชคร้ายที่มิอาจคาดเดา
เจียงซื่อจึงไม่กล้าเอาชีวิตของพี่ชายไปเสี่ยงเป็นอันขาด ทว่าหากลองเทียบกันแล้ว การฉุดรั้งไม่ให้พี่รองออกไปเล่นน้ำในวันที่เขากำลังจะเสียชีวิตในชาติก่อนยังมิสู้นางปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างในชาติแล้ว และนางค่อยเข้าไปช่วยพี่รองในวินาทีที่วิกฤต
นางไม่สามารถตามติดพี่รองเป็นเงาตามตัว เพราะใครจะรู้ว่าหากห้ามมิให้ออกไปเล่นน้ำคราวนี้แล้วจะไม่มีคราวหน้า ซึ่งนี่ยังไม่นับเรื่องไม่คาดฝันในกรณีที่ห้ามไม่ได้ด้วย ฉะนั้นในมุมของเจียงซื่อ อย่างน้อยนางก็รู้ทั้งเวลาและสถานที่ที่เจียงจั้นเสียชีวิต ข้อมูลเหล่านี้ดีกว่าการไม่รู้อะไรเลยเป็นไหนๆ ครั้นจะบอกว่าใจไม่กลัวก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะความกังวลเป็นหนึ่งในธรรมชาติของชีวิตมนุษย์
“คุณหนู หมู่นี้ดูซูบลงไปมาก หรือเป็นเพราะอากาศร้อนจึงไม่อยากอาหารเจ้าคะ” อาเฉี่ยวยกจานขนมมาวางไว้บนโต๊ะตัวเล็ก พลางเอ่ยโน้มน้าว “ผลไม้อบแห้งนี้บ่าวตั้งใจทำสุดฝีมือ คุณหนูลองชิมดูสิเจ้าคะ”
อาเฉี่ยวเป็นบ่าวรับใช้ที่เฉลียวฉลาดและเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ นางมีฝีมือในการทำขนมเป็นเลิศ ผลไม้อบแห้งในจานคลุกด้วยแป้งสีเขียวอ่อนเป็นชั้นบางๆ ด้านนอกชิ้นผลไม้นำไปคลุกกับมะพร้าวขูดฝอย หากได้รับประทานในวันที่อากาศร้อนระอุเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความอยากอาหารได้ดี
เจียงซื่อส่ายศีรษะเบาๆ “เจ้ากับอาหมานเอาไปกินเถอะ รินน้ำผึ้งให้ข้าสักจอกก็พอ”
อาเฉี่ยวยังคงไม่ลดละหวังจะโน้มน้าวต่อ แต่ครั้นเห็นท่าทีเคร่งขรึมของเจียงซื่อก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้น และหันไปรินน้ำผึ้งแทน
เจียงซื่อลุกขึ้นยืนและเดินวนอยู่ในห้องที่ขนาดไม่กว้างนัก
วันนี้เป็นวันที่พี่รองและหยางเซิ่งไฉซึ่งเป็นหลานของเสนาบดีกรมพิธีการออกไปล่องเรือที่ประดับประดาอย่างหรูหราในแม่น้ำด้วยกัน แม้ว่าเจียงซื่อจะคิดทบทวนรายละเอียดซ้ำและซ้ำเล่า และดูเหมือนว่าเรื่องราวก็ไม่น่าจะผิดไปจากชาติที่แล้ว แต่หากไม่ได้ยินข่าวใดๆ จากเจียงจั้น นางก็มิอาจวางใจได้
“คุณหนู คุณหนู…” อาหมานวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
พอดีกับอาเฉี่ยวที่นำน้ำผึ้งมาให้นายหญิง เจียงซื่อรับถ้วยนั้นมาพลางส่งต่อให้อาหมาน
อาหมานกระดกหมดในคราวเดียว หลังยัดถ้วยเปล่าใส่มืออาเฉี่ยวแล้วก็รีบรายงานว่า “อาจี๋ส่งข่าวมาเจ้าค่ะ บอกว่ามีคนนัดคุณชายรองไปเที่ยวที่แม่น้ำจินสุ่ยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเม้มปากแน่น พลางเตะเก้าอี้ตัวเล็กด้วยความโกรธเคือง
นางรู้จักพี่รองดีว่าเป็นพวกไม่รู้จักจำ ยังไปคบหากับคนอย่างหยางเซิ่งไฉเสียได้
หลังจากโทสะจางหายไปแล้วนางกลับรู้สึกโล่งใจ เนื่องจากเรื่องราวกำลังดำเนินไปดั่งในชาติที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน ฉะนั้นนางจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถช่วยพี่รองออกมาได้สำเร็จ
“คุณชายรองจะไปเมื่อใด”
“เห็นว่าตกลงว่าจะพบกันช่วงพลบค่ำเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปาก ครั้นหมายจะไปกล่าวเตือนเจียงจั้นก็กลัวเหตุการณ์จะพลิกผัน นางจึงทำได้เพียงระงับความหุนหันพลันแล่นนั้นไว้ แล้วสั่งให้อาหมานไปเรียกเหล่าฉินมา
สถานที่ที่นัดพบกับเหล่าฉินคือศาลาในลานซึ่งอยู่ระหว่างทางเชื่อมเรือนหน้าและเรือนหลัง
เจียงซื่อรออยู่ไม่นาน เหล่าฉินก็เดินตามอาหมานเข้ามา
ทันทีที่เห็นหน้าเจียงซื่อ เหล่าฉินก็รีบประสานมือโค้งคำนับ เขามิได้ปริปากพูดสิ่งใด เพียงแต่รอรับคำสั่งจากนายหญิง ท่าทีของเหล่าฉินทำให้เจียงซื่อรู้สึกโล่งใจเกินประมาณ ในบางครั้งนางต้องการคนมีไหวพริบอย่างอาเฟย แต่ในยามจำเป็น นางก็ต้องการคนที่สามารถทำตามคำสั่งของนางอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างเหล่าฉิน ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพี่ชาย นางจึงปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ “เหล่าฉิน เจ้ารู้จักแม่น้ำจินสุ่ยหรือไม่”
เหล่าฉินส่ายหัว เขาไม่ใช่คนในเมืองหลวง การตั้งรกรากอยู่ที่นี่เพียงเพราะมีความคิดบางอย่างที่ติดค้างในใจเท่านั้น เขาไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของแม่น้ำจินสุ่ยเสียด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นเจ้าลองไปหาดู ข้าอยากให้เจ้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับเส้นทางของแม่น้ำจินสุ่ยให้ได้มากที่สุด และเช่าเรือมารอข้าที่นั่น” เจียงซื่อบอกกับเหล่าฉิน
เหล่าฉินพยักหน้ารับโดยมิได้แสดงท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด “คุณหนูวางใจได้ขอรับ”
เจียงซื่ออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้เหล่าฉินฟังและกำชับว่า “เหล่าฉิน เรื่องที่จะเกิดขึ้นคืนนี้สำคัญกับข้ามาก ข้าฝากเจ้าด้วย”
เหล่าฉินประสานมือคารวะ “ข้าน้อยจะจัดการเรื่องที่คุณหนูสั่งอย่างสุดความสามารถขอรับ”
เมื่อแยกกับเหล่าฉินแล้ว เจียงซื่อก็กลับไปที่เรือนไห่ถังและเริ่มลงมือเก็บข้าวของ
อาเฉี่ยวเริ่มมีลางสังหรณ์บางอย่างจึงลองถามออกไปว่า “คุณหนู นี่คุณหนูกำลังจะไปไหนอีกแล้วเจ้าคะ”
หื้ม ไฉนถึงพูดว่า ‘อีกแล้ว’ ล่ะ
“จริงสิ คืนนี้ข้ากับอาหมานจะกลับช้าหน่อย อาเฉี่ยว เรื่องในจวนข้าฝากเจ้าจัดการด้วย อย่าให้ผู้ใดสังเกตได้ว่าข้าและอาหมานไม่อยู่ที่เรือน”
อาเฉี่ยวสัมผัสได้ถึงรสขมฝาดในปาก “คุณหนู…”
นี่มันครั้งที่สามแล้วนะเจ้าคะ!
ทว่าสุดท้ายแล้วอาเฉี่ยวก็มิได้เอ่ยห้ามปรามแต่อย่างใด รอส่งเจียงซื่อและอาหมานเรียบร้อยก็กลับมานั่งสวดอมิตาภพุทธนับครั้งไม่ถ้วนเพียงลำพัง
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงต้องไหว้พระกินเจไปชั่วชีวิต
ในช่วงกลางวัน บริเวณริมแม่น้ำจินสุ่ยเงียบเชียบไร้ผู้คน ส่วนช่วงเย็นจะเป็นช่วงที่ครึกครื้นที่สุด จันทราลอยสูงเหนือยอดหลิว แสงเทียนส่องประกายสว่างไสว นาวาใหญ่จำนวนมากลอยล่องไปตามแม่น้ำจินสุ่ย เสียงดนตรีแผ่วเบาปะปนมากับเสียงหัวเราะของผู้คน อีกทั้งสายลมยังพัดพากลิ่นเครื่องหอมที่ถูกใช้ประทินผิวให้โชยเข้าจมูกผู้คนที่เดินผ่านไปมา
สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นบ้านเกิดอันอบอุ่นของเหล่านักปราชญ์ เพราะยังเป็นที่ผลาญเงินของเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายด้วย
ค่ำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุดลงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำจินสุ่ยเป็นคำอธิบายฉากความงดงามตระการตาได้เป็นอย่างดี
เจียงซื่อและอาหมานพยายามแต่งตัวให้ไม่เป็นที่สะดุดตาเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งคู่เฝ้ามองโคมแดงขนาดใหญ่บนนาวาที่จอดอยู่ริมฝั่งค่อยๆ สว่างขึ้นๆ จากนั้นเรือแต่ละลำก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปในแม่น้ำ
“คุณหนู” เสียงต่ำดังขึ้น เหล่าฉินหันหัวเรือเข้ามาริมฝั่ง
ในแม่น้ำจินสุ่ย นอกจากนาวาใหญ่ที่แกะสลักลายพญาหงส์และมังกรอย่างวิจิตรแล้ว ยังมีเรือขนาดเล็กอีกหลายลำ มีเรือค้าขายขนาดเล็กที่จำหน่ายสินค้าจำพวกผลไม้สดและอาหารทานเล่นที่สัญจรไปมาระหว่างนาวาใหญ่เหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีเหล่าหญิงงามเมืองที่ไม่มีคุณสมบัติจะขึ้นไปอยู่บนนาวาใหญ่ก็อาศัยเรือขนาดเล็กสำหรับต้อนรับแขกเหรื่อ
ฉะนั้นคนที่มาเที่ยวเล่นที่แม่น้ำจินสุ่ยจึงมิได้มีแค่คนมั่งมีเท่านั้น
เหล่าฉินพายเรืออย่างชำนาญโดยแฝงตัวอยู่กับเรือลำอื่นๆ
เมื่อเจียงซื่อและอาหมานขึ้นเรือไปแล้ว อาหมานก็ถามขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เหล่าฉิน ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะพายเรือเป็นกับเขาด้วย”
“อื้ม” เหล่าฉินตอบสั้นๆ
เนื่องจากที่ที่เขาและสตรีที่รักเติบโตขึ้นมามีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ในตอนที่ยังเยาว์วัยเขามักจะไปเล่นน้ำและพายเรือกับเด็กคนอื่นๆ ฉะนั้นสำหรับเขาที่พอมีทักษะอยู่บ้างจึงมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
“คุณหนู พวกเราต้องทำอย่างไรต่อเจ้าคะ” อาหมานถามด้วยความกระตือรือร้น
สายตาของเจียงซื่อยังคงมองตรงไปข้างหน้า
บริเวณนั้นมีนาวาใหญ่ลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ ครั้นพินิจดูแล้วน่าจะเป็นลำที่ตกแต่งอลังการที่สุด
ในขณะนั้น เหล่าบุรุษหลายคนเดินเล่นพูดคุยโดยมุ่งหน้าไปที่นาวาลำนั้น คนหนึ่งในนั้นที่นางรู้สึกคุ้นเคยมากที่สุดก็คือพี่รองของนาง เจียงจั้น
แววตาของอาหมานพลันเบิกกว้าง เอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเจียงซื่อ “คุณหนู คุณชายรองมาแล้วเจ้าค่ะ!”
แต่ถึงตอนนี้ สภาพจิตใจของเจียงซื่อกลับสงบลงแล้ว จึงหันไปสั่งการด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เหล่าฉิน ออกเรือได้ ขับตามนาวาใหญ่ลำนั้นไป”
เหล่าฉินมิได้ตอบเพียงแต่จ้วงไม้พายลงไปบนพื้นน้ำ ไม่นานเรือลำน้อยก็ลอยไปตามกระแสน้ำ และเข้าใกล้นาวาลำนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ