บทที่ 213 งานแถลงข่าว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

สายตานัทธีเป็นประกายเล็กน้อย“ไม่มีอะไร”

ที่จริงตอนนั้นเขาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว อยากจะใช้โอกาสนี้บอกเธอว่า เขาสามารถเป็นพ่อของเด็กสองคนนี้ได้

แต่ตอนนี้ถูกสุภัทรตัดบท ก็เลยพูดไม่ออก

เห็นนัทธีพูดว่าไม่มีอะไร วารุณีก็ไม่สงสัย คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ

หลังจากลูบขมับ เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง โทรหาปาจรีย์

“วารุณี”เสียงที่มีสติของปาจรีย์ก็ดังเข้ามา

วารุณีหรี่นัยน์ตาดอกท้อลง พูดด้วยใบหน้าจริงจัง:“ปาจรีย์ เธอคิดต่อสื่อใหญ่ๆแต่ละเจ้าในจังหวัดจันทร์หน่อยสิ พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า ฉันจะจัดงานแถลงข่าว!”

เรื่องบนเน็ตมาถึงจุดนี้แล้ว เธอจะเงียบต่อไป ปล่อยให้พวกเขาด่าอีกไม่ได้แล้ว

ที่จริงเธอยังคิดว่า ถึงตอนงานแถลงข่าวจะไว้หน้าสุภัทรสักหน่อย ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆของเธอ แต่ตอนนี้เธอคิดว่าไม่จำเป็นแล้ว เจ็ดปีก่อนเขาทำลายเธอที่เป็นลูกสาวเพื่อพิชญา งั้นทำไมเธอต้องปรานีให้พ่อแบบนี้อีกล่ะ!

“โอเค ฉันจะไปติดต่อเดี๋ยวนี้”ปาจรีย์เข้าใจวารุณี รู้ว่าวารุณีจะเริ่มโต้กลับแล้ว จึงรับปากด้วยความดีใจ

โทรศัพท์เสร็จ วารุณีค่อยๆเอาโทรศัพท์ลง มองไปที่ชายหนุ่มตรงข้าม“ประธานนัทธี งั้นพรุ่งนี้เช้า ก็ขอร้องคุณด้วยนะคะ”

“วางใจเถอะ”นัทธียืนขึ้นมา“ดึกแล้ว ผมไปก่อนนะ”

“โอเคค่ะ”วารุณีตอบอือ ส่งเขาด้านนอกประตู

แต่ตอนปิดประตู นัทธียืนอยู่ด้านนอกประตู จู่ๆก็เรียกเธอไว้“ก่อนหน้านี้ผมบอกแล้ว เรื่องที่หาพ่อให้เด็กสองคน ที่จริงคุณคิดดูดีๆได้นะ”

วารุณีรู้สึกเจ็บในใจ ละสายตาลง ปกปิดความขมขื่นในดวงตา

เธอรู้ว่าเขาเสนอมาแบบนี้ ก็เพื่อเด็กทั้งสองคน แต่ในใจเธอ กลับไม่สบายใจอย่างมาก

ยังไงก็ไม่มีผู้หญิงคนไหน ชอบฟังผู้ชายที่ตัวเองรัก ผลักไสให้ตัวเองไปหาผู้ชายคนอื่นหรอก นี่มันเป็นการเตือนเธออย่างชัดเจนว่า ให้เธอรีบชอบคนอื่นไวๆ อย่าเอาหัวใจมาไว้ที่เขาอีก

คิดไป หน้าเล็กๆของวารุณีก็เยือกเย็นลง ท่าทีก็ดูนิ่งลง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ค่ะ ฉันจะไปคิดดู”

พูดจบ เธอก็ปิดประตูเลย

นัทธีที่อยู่ข้างนอกมองออกว่าเธอกำลังโกรธ แต่กลับไม่รู้ว่าโกรธอะไร กำลังจะเคาะประตู ให้เธอเปิดประตู จู่ๆมารุตก็ออกมาจากลิฟต์ มองเห็นเขา ดวงตาก็เป็นประกาย รีบเดินเข้า“ประธาน”

“มีอะไร?”นัทธีหันหน้าไป มองมารุตอย่างเฉยเมย

มารุตเอาบัตรเชิญสีดำยื่นไปให้“นี่เป็นบัตรเชิญที่ Jessi กับ Mr.Dylan ให้คุณครับ”

นัทธีรับบัตรเชิญไปดู“นิทรรศการ?”

“ใช่ครับ Jessi กับ Mr.Dylan ร่วมกันสร้างธีมเครื่องประดับกับเสื้อผ้า ตอนนี้กำลังดำเนินการจัดนิทรรศการนานาชาติ พวกเขาได้จัดแสดงนิทรรศการในหลายประเทศแล้ว ครั้งหน้าเป็นประเทศเรา จังหวัดที่จัดนิทรรศการ ก็คือจังหวัดจันทร์ของพวกเราครับ”

Jessi เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ชั้นนำของวงการออกแบบเครื่องเพชรพลอย Mr.Dylan ก็เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ชั้นนำของวงการออกแบบเสื้อผ้า

เครื่องประดับกับเสื้อผ้าที่ทั้งสองคนออกแบบร่วมกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่าทึ่งแค่ไหน

วารุณีที่อยู่ข้างในประตูมองดูจอภาพอินเตอร์คอมอยู่ตลอดนั้น ได้ยินข่าวที่มารุตเอามา ก็ตื่นเต้นจนเอามือปิดปาก

พระเจ้า Mr.Dylanจะมานิทรรศการจังหวัดจันทร์!

ดวงตาวารุณีเบิกโต กระโดดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

ตอนที่เธอกระโดดโลดเต้นมีเสียงออกมา ก็ถูกไมค์ของจอภาพอินเตอร์คอมอัดเข้าไป

ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านนอกประตูได้ยิน ก็หยุดเสียงคุยลง

มารุตก็มองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยมากขึ้น“เมื่อครู่เสียงอะไร?”

นัทธีเงยมองไฟแดงที่กะพริบในเลนส์ด้านบนประตู ริมฝีปากบางๆก็ยกขึ้น“ไม่มีอะไร นอกจากผมแล้วอาจารย์ทั้งสองท่านยังเชิญใครอีก?”

เขาปิดจดหมายเชิญลงแล้วถาม

มารุตส่ายหน้า“ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ไม่งั้นผมไปถามดีไหมครับ?”

นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วย

ถ้าถามมาได้ แล้วไม่มีเชิญวารุณี เขาก็ยังสามารถหาทางทำจดหมายเชิญหนึ่งใบให้เธอได้

เพราะเขาจำได้ว่า ตอนนั้นที่เขาให้มารุตสืบข้อมูลของเธอ บนคอลัมน์ไอดอลก็เขียนแค่ Dylan คำนี้

“ไปเถอะ”นัทธีเอาบัตรเชิญให้มารุตอีกครั้ง หันกลับเปิดประตูตรงข้ามอพาร์ทเม้นท์แล้วเข้าไป

มารุตตามอยู่หลังเขาติดๆ เข้าไปพร้อมกัน

จนประตูตรงข้ามปิดลง วารุณีจึงปิดจอภาพอินเตอร์คอมลงแล้วกลับไปที่ห้องรับแขก

เช้าวันที่สอง เธอให้ลูกทั้งสองคนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ กำชับพวกเขาว่าอย่าวิ่งไปไหน แล้วจึงปลอมตัวเล็กน้อยออกไปข้างนอก เตรียมตัวไปสตูดิโอเพื่อเปิดงานแถลงข่าววันนี้

สสรุปคือเธอเพิ่งออกมาจากอาคารของอพาร์ทเม้นท์ เธอก็รู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่มองมาที่เธอ

วารุณีขมวดคิ้ว มองซ้ายมองขวา สุดท้ายมองเห็นนั่งยองๆทำตัวลับๆล่อๆ ตรงพุ่งไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลัง

ร่างไม่กี่ร่างนั้นเห็นเธอยืนอยู่ไม่ขยับแล้วยังมองมาที่พวกเขา เหมือนรู้ว่าเธอเห็นพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ซ่อนตัวอีกต่อไป ยืนขึ้นมาเลย แล้วยกไมค์กับกล้องเดินมาที่เธอ

“สวัสดีค่ะคุณวารุณี พวกเราเป็นนักข่าวบันเทิง พวกเราขอสัมภาษณ์หน่อยได้ไหม?”นักข่าวสาวคนหนึ่งเอาไมค์ยื่นไปที่ปากวารุณี ไม่รอให้วารุณีเห็นด้วย ก็ถามไปตรงๆว่า:“ขอโทษนะคะคุณได้เป็นเหมือนที่ประธานสุภัทรพูดจริงไหม ที่สอดแทรกเข้ามาระหว่างลูกสาวเขากับประธานนัทธี?”

หลังจากนักข่าวสาวคนนี้ถามเสร็จ นักข่าวคนอื่นๆ ก็ถามต่อทีละคน

“คุณวารุณี ขอโทษนะครับคุณอิจฉาการหมั้นหมายของพิชญากับประธานนัทธี ถึงได้แฉเรื่องที่พิชญาคัดลอกผลงานกับสาธารณชน ในตอนแข่งชิงโควตา เพื่อทำลายพิชญาใช่ไหมครับ?”

“คุณวารุณี คุณคิดว่า คุณทำแบบนี้ ก็จะได้ประธานนัทธีมาใช่ไหมครับ?”

ได้ยินคำถามที่ดุเดือดพวกนี้ ใบหน้าเล็กๆของวารุณีก็เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง

เธอจับปีกหมวกบนหัวไว้ กดหมวกลง บังหน้าของตัวเองไป ก็ถามด้วยเสียงเย็นชาไปด้วยว่า“ใครบอกพวกคุณ ว่าฉันอยู่ที่นี่?”

“ใครบอกพวกเราไม่สำคัญหรอกค่ะ ที่สำคัญคือ คุณวารุณี คำถามพวกนี้ คุณตอบได้ไหมคะ?”นักข่าวสาวคนนั้นเบียดมาใกล้วารุณีมากขึ้น เอาไมค์ยื่นไปเล็กน้อยด้วย ถ้าเป็นไปได้ เธอคงจะเอาไมค์ยัดใส่ปากวารุณีแล้ว

วารุณีถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หน้าเล็กๆนั่นหม่นลงถึงขั้นสุด“ขอโทษด้วยค่ะ เกี่ยวกับคำถามนี้ ฉันยังตอบไม่ได้ค่ะ”

“ที่ไม่ตอบ เพราะร้อนตัวหรือเปล่าคะ?”นักข่าวสาวพูด

วารุณีโกรธจนรู้สึกขำ

ไม่ตอบก็ร้อนตัว เอาเหตุผลมาจากไหนเนี่ย?

“กรุณาหลีกทางหน่อยค่ะ!”วารุณีกำฝ่ามือแล้วดุออกไป

นักข่าวพวกนั้นแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปิดข้างหน้าเธอไว้ไม่ยอมปล่อย จะให้เธอตอบให้ได้ และยังพยายามเบียดมาข้างหน้า

วารุณีถูกเบียดจนถอยหลังไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็แนบเกือบติดมุมกำแพง

เธอสูดลมหายใจลึกแล้วหลับตาลง รู้ว่านักข่าวพวกนี้จะไม่หยุดแน่ถ้าไม่ได้อะไรจากปากเธอ หลังจากเม้มริมฝีปากแดงๆ กำลังจะหยิบโทรศัพท์โทรเรียกยาม

จู่ๆนักข่าวสาวก็เดินหน้าขึ้นมาอีก“คุณวารุณี……”

วารุณีตกใจเธอ เท้าโซเซ ร่างล้มลงไปด้านหลัง

ตอนที่วารุณีเกือบจะล้มลงไปที่พื้น จู่ๆร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ที่หลังเธอ

เจ้าของร่างนั้นยื่นมือใหญ่อันเรียวยาวข้างหนึ่งออกมา ดึงแขนของเธอไว้ ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขน เพื่อไม่ให้เธอล้มลงไป

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”นัทธีก้มหน้า สายตามองเพ่งหญิงสาวที่ตกใจจนตื่นตระหนกในอ้อมแขน สีหน้ายังซีดขาวอยู่เล็กน้อย

หญิงสาวส่ายหน้า“ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะประธานนัทธี”

“ไม่เป็นไรก็ดี”นัทธีปล่อยเธอ

วารุณีรีบย้ายไปด้านข้าง เว้นระยะห่างกับเขา

ถึงแม้ว่านัทธีไม่พอใจเล็กน้อยกับการจงใจห่างเหินของเธอ แต่ก็ไม่พูดอะไร หลังจากถูไถนิ้วมือที่คว้าแขนนุ่มๆของเธอไว้แล้ว สายตาเย็นชากวาดมองกลุ่มนักข่าวที่อยู่ตรงหน้า