บทที่ 283 ไม่สะดวก

บทที่ 283 ไม่สะดวก

การมาถึงของโหวเสี่ยวกวง กลายเป็นการทำลายบรรยากาศที่กำลังจะไปได้สวย ในใจหม่าอิงเฟยนึกโกรธ สายตาของเขาจึงมองโหวเสี่ยวกวง พลางถาม “โหวเสี่ยวกวง เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ?”

“ฉันมาสายเหรอเนี่ย?” โหวเสี่ยวกวงอุทาน “ไม่ใช่ว่ายังเหลืออีกหลายนาทีก่อนจะถึงเวลานัดหรอกเหรอ?”

น้ำเสียงที่โหวเสี่ยวกวงใช้พูดกับหม่าอิงเฟย เห็นได้ชัดว่าไร้ซึ่งความสุภาพและนอบน้อมเหมือนที่เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นพูดกับเขา อันที่จริงสมัยเรียนทั้งโหวเสี่ยวกวงและอู๋ฝานก็ไม่ได้มีสัมพันธ์อันดีอะไรกับอีกฝ่าย ดังนั้นหลังเรียนจบแล้วจะมีท่าทีเช่นเดิมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่คนอื่นในที่นี้ไม่ได้มองเช่นนั้น เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นที่คิดประจบหวังจับคู่หม่าอิงเฟยกับเจ้าเสวี่ยอี๋ ตอนนี้ต่างหันมองโหวเสี่ยวกวงพร้อมเอ่ยคำ “โหวเสี่ยวกวง พูดกับท่านประธานหม่าแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

“ฉันพูดแบบนี้แล้วผิดอะไร? หรือว่าฉันพูดอะไรผิด?” เมื่อเผชิญกับข้อกล่าวหา โหวเสี่ยวกวงจึงทวงถามความเป็นธรรม “ประธานหม่า? ไม่รู้นะว่าพวกนายมีเถ้าแก่ได้ยังไง แต่นี่ไม่ใช่เถ้าแก่ของฉันแน่”

“โหวเสี่ยวกวง ระวังท่าทีของนายด้วย! มื้อนี้วันนี้ประธานหม่าเป็นคนเลี้ยงนะ!” เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“ไม่ได้ขอให้จ่าย ราคารวมหารจำนวนคนแล้ว ฉันจ่ายในส่วนของฉันได้” โหวเสี่ยวกวงตอบกลับ เขาไม่มีเจตนาคิดเอาเปรียบหรือหาผลประโยชน์อะไรจากหม่าอิงเฟย ที่มาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะเมิ่งเว่ยฟางและอู๋ฝาน ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาก็คงไม่มา

“อย่ามัวแต่พูด เสี่ยวกวง มานั่งก่อน” เมิ่งเว่ยฟางคิดหาทางออกให้

ทว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นที่สนใจของเหล่าเพื่อนร่วมรุ่น พวกเขายังคงใส่ร้ายโหวเสี่ยวกวง “ไม่มีความคิดเลยจริง ๆ เป็นชาวสวนไปตลอดชีวิตก็สมควรแล้ว!”

“ดีกว่าพวกประจบประแจงที่นี่ก็แล้วกัน” โหวเสี่ยวกวงตอบกลับ

แม้ว่าโหวเสี่ยวกวงไม่ได้ยินดีที่หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแล้วจะต้องกลับบ้านเกิดในชนบท แต่เขาก็ไม่เคยนึกเสียใจ รวมถึงไม่รู้สึกว่าใช่เรื่องที่ต้องอายแต่อย่างใด

“พวกเรามากันครบแล้ว เริ่มงานเลยก็แล้วกัน” ขณะนี้เองที่เจ้าเสวี่ยอี๋เอ่ยคำขึ้น

ขณะเจ้าเสวี่ยอี๋พูดขึ้นมานั้น หม่าอิงเฟยก็ไม่คิดปฏิเสธอะไร “ใช่แล้ว ทุกคนมากันครบแล้ว เริ่มงานเลยก็แล้วกัน”

เห็นได้ว่าเขาไม่คิดใส่ใจกับท่าทีของโหวเสี่ยวกวง ในความคิดของหม่าอิงเฟยมีแต่เจ้าเสวี่ยอี๋

“รอเดี๋ยว อู๋ฝานยังไม่มาเลย!” ครั้งนี้เมิ่งเว่ยฟางเป็นคนเอ่ยคำขึ้น

“อู๋ฝาน?” เจ้าเสวี่ยอี๋ชะงักไปครู่ ถัดจากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มเป็นใคร เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นต่างก็มีอาการตอบสนองคล้ายคลึงกัน

สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย อู๋ฝานไม่ได้มีตัวตนหรือบทบาท ตอนที่อีกฝ่ายกลายเป็นจุดสนใจมากที่สุด ก็เป็นช่วงที่ผู้คนดูหมิ่นเขาในช่วงเวลาที่ ‘ความรักลับซ่อน’ ที่มีต่อเจ้าเสวี่ยอี๋ถูกเปิดเผยออกมา นอกจากครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยเป็นจุดสนใจอะไรอีก ดังนั้นหลายคนในที่นี้ถึงกับลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ด้วย

“จริงด้วย รอก่อน อู๋ฝานน่าจะใกล้มาถึงแล้วมั้ง” เจ้าเซียวถิงร่วมเห็นพ้องขึ้นมา

ทุกคนต่างมองเจ้าเซียวถิงด้วยความประหลาดใจ ครั้งยังเรียน เธอกับหม่าอิงเฟยเป็นสองคนที่เคยสร้างปัญหากับอู๋ฝานมากที่สุด ไฉนตอนนี้เธอจึงออกหน้าแทนกันได้?

เจ้าเสวี่ยอี๋ก็มองยังเพื่อนที่เป็นเหมือนดังพี่น้องด้วยความสงสัย เธอยังจดจำได้ว่าตอนนั้นพี่น้องของเธอคนนี้เล่นงานอู๋ฝานไว้อย่างไร เพราะอะไรตอนนี้ถึงแสดงท่าทีเป็นมิตรกับอีกฝ่ายขึ้นมา?

“ไม่ต้องรอหรอก ฉันเพิ่งติดต่อกับอู๋ฝาน เขาบอกว่ามีเรื่องต้องทำ ทำให้มาตามนัดไม่ทัน ไว้เสร็จแล้วจะตามมาร่วมงานเอง” โหวเสี่ยวกวงบอก

“เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร นัดเวลาแล้วยังไม่เคลียร์งานให้เรียบร้อยอีกงั้นเหรอ? คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงจะยุ่งขนาดนั้น? งานเลี้ยงรุ่นวันนี้กำหนดวันเอาไว้นานแล้ว วัยพวกเราใครบ้างที่ไม่มีธุระ แต่ก็ยังต้องมาให้ทันตามนัด หรือธุระของเขาจะสำคัญกว่ากันแน่?” เพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งเอ่ยคำขึ้น

“จริงด้วย ไม่มีใครที่นี่จะรอเขาหรอกนะ คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง” เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่งร่วมเห็นพ้อง

“ในเมื่ออู๋ฝานมีเรื่องต้องจัดการ ตอนนี้ก็นั่งลงก่อนแล้วเริ่มสั่งกันดีกว่า” เมิ่งเว่ยฟางกล่าวบอก

“หรือไม่ก็รอเดี๋ยว บางทีอู๋ฝานคงใกล้เสร็จธุระแล้ว” เจ้าเซียวถิงพยายามพูดแทน

ทุกคนต่างมองเจ้าเซียวถิงด้วยความสับสนและสงสัย กระทั่งโหวเสี่ยวกวงยังไม่เข้าใจ ว่าเพราะอะไรเจ้าเซียวถิงถึงยืนกรานให้รออู๋ฝานมาก่อนจึงค่อยเริ่มงานเลี้ยง

“เสี่ยวถิง เขาบอกเองว่าไม่ต้องรอ พวกเราก็ไม่ควรปล่อยเวลาไปมากกว่านี้นะ” เจ้าเสวี่ยอี๋เอ่ยคำขึ้น

“ยังไงแล้วนี่ก็เป็นงานเลี้ยงรุ่น อู๋ฝานบอกแบบนั้นก็จริง แต่ฉันคิดว่ารอเขาก่อนจะดีกว่า” เจ้าเซียวถิงยืนกรานตอบกลับ “บางทีเขาอาจจะช้าเพราะอะไรสักอย่าง พวกเราเริ่มงานกันแบบนี้ออกจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”

“เขาจะไปทำอะไรได้?” หม่าอิงเฟยตอบรับอย่างเหยียดหยัน “ครั้งก่อน ฉันยังบังเอิญได้เจอเขาที่ตลาดแรงงาน อุตส่าห์ออกปากบอกว่าบริษัทพ่อของฉันกำลังรับคน ก็เลยจะรับเขามาทำงาน เห็นว่ากำลังหางานอยู่มั้ง เผลอ ๆ ยังหางานไม่ได้ด้วยซ้ำ คนไม่มีงานทำแบบนั้นจะมีธุระสำคัญอะไรได้?”

“อู๋ฝานเนี่ยนะหางานทำ?” เจ้าเซียวถิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “จำคนผิดหรือเปล่า?”

เจ้าเซียวถิงเคยได้เห็นยอดเงินคงเหลือในบัตรของอู๋ฝานกับตาตัวเอง เธอได้เห็นกับตาตัวเองว่าอู๋ฝานพาหญิงงามล่มเมืองต่างคนมาที่ห้างในเวลาต่างกันไม่นาน เห็นได้ชัด ว่าอู๋ฝานไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง อย่างนั้นจะหางานไปทำไม?

“จะผิดได้ยังไงกัน!” หม่าอิงเฟยตอบกลับ “ฉันมั่นใจว่าไม่ผิดตัว!”

“บางทีเขาคงรู้สึกอายที่จะมางานปาร์ตี้วันนี้ บางทีพอผ่านไปสักพัก เดี๋ยวคงส่งข้อความมาว่ายังจัดการงานที่ทำค้างไม่เสร็จ ทำให้แทบไม่เหลือเวลาว่าง สุดท้ายมาร่วมงานปาร์ตี้วันนี้ไม่ได้” หนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่นเผยยิ้มพลางแต่งเรื่อง

“พอพูดเป็นฉากแบบนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริง ๆ ฮ่า ฮ่า!” เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่งรับคำเป็นลูกคู่

“พวกนายสองคนพูดบ้าอะไรกัน? เชื่อหรือเปล่าว่าฉันกล้าต่อยปากพวกนายที่นี่และเดี๋ยวนี้!” โหวเสี่ยวกวงเดือดขึ้นมา

ในฐานะเพื่อนของอู๋ฝาน โหวเสี่ยวกวงย่อมไม่อาจทนมองคนอื่นว่าร้ายชายหนุ่มได้ เขาจะแสดงว่าโกรธออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“เสี่ยวกวง ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเรายังไงก็เพื่อนร่วมรุ่นกัน” เมิ่งเว่ยฟางพยายามห้ามปรามโหวเสี่ยวกวง

คนทั้งสองที่ไม่ทราบว่าตนเองพูดอะไรผิด รวมถึงตระหนกกับการตอบรับของโหวเสี่ยวกวง ขณะนี้จึงไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

ทุกคนต่างนั่งประจำที่ และครั้งนี้เจ้าเซียวถิงไม่ดื้อดึงอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้อู๋ฝานมาช้า

หรือว่าอู๋ฝานกำลังช่วยดูแลสองโฉมงามล่มเมืองจนไม่มีเวลา?

แต่ก็ไม่คล้ายจะเป็นแบบนั้น แม้ว่าคนทั้งสองมองอู๋ฝานด้วยสายตาที่คล้ายกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นความประทับใจอันดี ปนกับความนับถือที่มีให้กับอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่คล้ายใช่เสี่ยเลี้ยงเด็กหรืออะไรทำนองนั้น

อย่างนั้นเรื่องที่หม่าอิงเฟยพบเจออู๋ฝานที่ตลาดแรงงานคือเรื่องอะไรกันแน่?

“จะว่าไปแล้ว อู๋ฝานก็ร่ำรวยอยู่ บางทีอาจจะมีกิจการอะไรเป็นของตัวเองก็ได้ เขาไปที่ตลาดแรงงานไม่ใช่เพื่อหางาน แต่หาจ้างคนมาทำงานเหมือนที่หม่าอิงเฟยไปต่างหาก” ในใจเจ้าเซียวถิงกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้

ยิ่งคิดเท่าไหร่ เจ้าเซียวถิงก็รู้สึกว่าเป็นไปได้มากเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ สถานะของอู๋ฝานในใจของเจ้าเซียวถิงจึงยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก เขาที่สามารถใช้จ่ายเงินนับล้านซื้อนาฬิกาโดยตาไม่กะพริบ กระทั่งหม่าอิงเฟยก็ยังไม่มีกำลังจะซื้อถึงขนาดนั้นด้วยซ้ำ แม้ไม่ทราบว่าชายหนุ่มทำอะไรถึงหาเงินได้มากมายในระยะเวลาสั้น ๆ แต่เป็นไปได้มากว่าทรัพย์สินปัจจุบันของอีกฝ่าย จะไม่ด้อยไปกว่าทั้งครอบครัวของหม่าอิงเฟย

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว ขณะที่เจ้าเซียวถิงนับถืออู๋ฝาน เธอก็ยังรู้สึกฉงนใจอยู่บ้างว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร

“ช่างมัน กอดขาไว้ให้แน่นก็พอแล้วนี่!” ในใจเจ้าเซียวถิงคิดเพียงเท่านี้