บทที่ 284 ลังเล

บทที่ 284 ลังเล

ไม่ว่าอู๋ฝานจะทำอะไรจนมีเงินมากมายขนาดนั้นในเวลาสั้น ๆ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เจ้าเซียวถิงรู้ก็แค่ว่าอีกฝ่ายในปัจจุบันร่ำรวย ทั้งยังมากยิ่งกว่าใครในที่นี้ ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

สำหรับเจ้าเซียวถิงที่ได้ใช้ชีวิตในสังคมมาหนึ่งปี ปัจจุบันยังทำงานด้านการขาย เธอจึงทราบถึงความสำคัญของเส้นสาย หากเธอเกาะต้นขาของอู๋ฝานไว้แน่นมากพอ บางทีโชคชะตาของเธออาจเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้

ส่วนหม่าอิงเฟยที่ถือว่าร่ำรวย ทว่าเจ้าเซียวถิงยังค่อนข้างประเมินอีกฝ่ายเอาไว้ต่ำ เขาเป็นเพียงทายาทรุ่นที่สองที่สืบทอดโดยไม่ได้มีความสามารถอะไร หากเทียบอู๋ฝานที่สร้างตัวเองขึ้นมาเอง นับว่าไกลห่างจนไม่อาจเทียบ

“ทุกคนอยากทานอะไรสั่งได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” หลังนั่งกันเรียบร้อย หม่าอิงเฟยจึงถือตัวเองเป็นเจ้าภาพ นั่งลงตรงเก้าอี้ตำแหน่งหลัก ยกเว้นโหวเสี่ยวกวงที่มองมาด้วยความไม่ค่อยพอใจ คนอื่นต่างไม่ออกความเห็น ตอนนี้ เขาถือเป็นเจ้าภาพที่กำลังจะเลี้ยงอาหารเพื่อนร่วมรุ่นจริง ๆ

“คงต้องถล่มกระเป๋าประธานหม่าหน่อยแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มาร้านแบบนี้”

“ใช่แล้ว ฉันเองก็มาเป็นครั้งแรก นับเป็นเกียรติจากท่านประธานหม่าจริง ๆ หลังจากนี้พวกเราต้องดื่มให้ประธานหม่ากัน”

“โห! ดูราคาอาหารที่นี่สิ แพงมากเลย ถ้าไม่ใช่เพราะประธานหม่า อาหารพวกนี้ฉันคงไม่กล้ามองด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการได้สั่งมาทาน”

เพื่อนร่วมรุ่นทั้งหลายภายในห้อง ต่างรับหน้าที่ต่อแถวเลียขาหม่าอิงเฟย และก็เป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายยิ้มกว้างยิ่งกว่าดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่ง

มหาวิทยาลัยที่อู๋ฝานและเพื่อนกลุ่มนี้เรียนไม่ได้เลิศหรูอะไร ดังนั้นหลังทุกคนแยกย้ายกันเรียนจบ เงินเดือนที่ได้รับก็ไม่ได้มากมาย อย่างไรพวกเขาก็เพิ่งเรียนจบมาได้เพียงหนึ่งปี เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเงินเดือนสูงเทียมฟ้า ไม่แปลกหากว่าพวกเขาจะไม่อาจจ่ายค่าอาหารร้านหรูสักมื้อได้ไหว

เจ้าเซียวถิงมองกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่นเหล่านี้ที่ยังไม่เคยได้เห็นอีกโลกหนึ่ง หากพวกเขาได้เห็นอู๋ฝานซื้อนาฬิกาข้อมือราคาหลักล้านโดยไม่กะพริบตา ก็ไม่ทราบว่าพวกเขาจะแสดงสีหน้าท่าทีออกมาอย่างไร นับเป็นประเด็นที่น่าสนใจรับชมไม่ใช่น้อย

บางทีคงไม่มีใครในนี้รู้สถานการณ์ของอู๋ฝานด้วยซ้ำ มีเพียงแค่เธอ และเมื่อไหร่ที่อู๋ฝานมาถึง เธอค่อยพยายามทำหน้าที่ให้ดี เช่นนั้นก็คงจะได้รับความพอใจจากอีกฝ่าย

โหวเสี่ยวกวงไม่ได้มีส่วนร่วมในการสั่งอาหาร เขานั่งอยู่กับเมิ่งเว่ยฟาง หลังนั่งลงแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “หัวหน้า เรื่องที่ขอให้ช่วยครั้งก่อนเป็นยังไงบ้าง?”

โหวเสี่ยวกวงมาที่เจียงโจวครั้งนี้ ก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ งานเลี้ยงรุ่นในครั้งนี้ ก็เพียงบังเอิญอยู่เวลานั้นพอดี

ได้ยินคำพูดของโหวเสี่ยวกวง สีหน้าของเมิ่งเว่ยฟางจึงเผยความกระดากใจอันยากลำบากตอบรับ “เรื่องนี้ ค่อนข้างไม่ดีเท่าไหร่ ฉันไปหามาหลายคนแล้ว พวกเขาไม่ค่อยตอบรับ หรือไม่ก็ทำตัวเหินห่าง บางทีอาจเพราะมองว่าราคาสูงเกินไป”

เดิมนั้นโหวเสี่ยวกวงมีสีหน้าคาดหวัง แต่ตอนนี้กลับเศร้าหมองลง เขาเคยคิดหาทางมาโดยตลอด ทว่าก็ไม่เห็นความหวัง ดังนั้นจึงขอให้เมิ่งเว่ยฟางที่พอจะรู้จักคนในเจียงโจวช่วยเหลือ เดิมโหวเสี่ยวกวงคิดว่าอีกฝ่ายที่เป็นหัวหน้าสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย และเป็นถึงสภานักเรียนจะพอมีเส้นสายที่ดีในแวดวงสังคม และพอน่าจะช่วยเหลือเขาได้

แต่ตอนนี้เมิ่งเว่ยฟางกลับไม่ได้ดีเหมือนเช่นที่เขาเคยคิดเอาไว้ อีกฝ่ายไม่อาจช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ได้

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีผิดหวังของโหวเสี่ยวกวง เมิ่งเว่ยฟางยิ่งรู้สึกอับอาย เขาจึงกล่าวกับโหวเสี่ยวกวง “ขอโทษด้วย เรื่องนี้ฉันหาทางช่วยไม่ได้จริง ๆ”

ในใจของเมิ่งเว่ยฟางนั้น เขาต้องการช่วยโหวเสี่ยวกวงจริง แต่ความสามารถของเขามีจำกัด เขาทำได้เพียงแค่เรื่องที่พอมีกำลังทำได้ ตอนที่ยังอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาเคยทำได้ดี ทว่าหลังได้เข้าสู่สังคมที่แท้จริง เขาจึงได้ตระหนักว่าที่ตนเองเคยทำได้สมัยยังเรียนนั้นไม่มีค่าอะไรในสังคม เขาเป็นคนที่ไร้ทั้งพลังและอำนาจ เอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่เช่นเจียงโจวก็เป็นเรื่องยากซะด้วยซ้ำ ดังนั้นจะไม่มีความสามารถพอช่วยเหลือโหวเสี่ยวกวงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

มันจึงทำให้เมิ่งเว่ยฟางรู้สึกนึกอิจฉาหม่าอิงเฟย ความรุ่งโรจน์ตอนนี้ของอีกฝ่าย ตอนมหาวิทยาลัยเคยได้รับงั้นหรือ? ผลการเรียนของเขาก็ไม่ได้ดีเด่น รูปลักษณ์ก็ไม่ใช่ว่าดี ท่าทีการกระทำของคนอวดรวยยังมักทำเพื่อนร่วมรุ่นรู้สึกรังเกียจ

ทว่าหลังได้เข้าสู่สังคม ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป จากหัวหน้าห้อง กลายเป็นคนที่เจอความยากลำบาก ส่วนหม่าอิงเฟยประสบความสำเร็จเพราะคนสนับสนุน เพียงแค่เรื่องนี้ก็มากพอทำเมิ่งเว่ยฟางทั้งอิจฉาและริษยาแทบตายแล้ว

แต่ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกอะไรเหล่านี้ขึ้นมา มันก็ไร้ค่า เขาต้องตระหนักถึงความเป็นจริง ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ต้องยอมเห็นหม่าอิงเฟยเป็นเช่นนี้ต่อไป

“ไม่เป็นไร หัวหน้า นายทำดีที่สุดแล้ว” โหวเสี่ยวกวงตอบกลับ

โหวเสี่ยวกวงทราบดี ว่าเมิ่งเว่ยฟางทุ่มเทช่วยเรื่องราวของเขาแค่ไหน แม้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ล้มเหลว โหวเสี่ยวกวงก็ยังรู้สึกขอบคุณกับความพยายามของอีกฝ่ายอยู่ดี

“โหวเสี่ยวกวง นายเจอเรื่องลำบาก ทำไมไม่ขอให้เพื่อนสนิทนายช่วยล่ะ? ยังไงก็สนิทกันมากไม่ใช่หรือไง? ฮ่า ฮ่า” เพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งหัวเราะเสียงดัง

“อู๋ฝาน? คนอย่างหมอนั่นจะทำอะไรได้? บอกให้นะ โหวเสี่ยวกวง นายควรไปร่วมดื่มขอบคุณประธานหม่า ขอให้ประธานหม่าช่วย ขอเพียงประธานหม่าออกหน้า มีเหรอจะคลี่คลายเรื่องของนายไม่ได้?” เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นบราวนี่ออนไลน์

เพื่อนร่วมรุ่นในที่นี้ต่างก็ได้ทราบเรื่องราวของโหวเสี่ยวกวงกันหมดแล้ว ขณะนี้เกิดสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีกับอีกฝ่าย น้อยคนจะแสดงความเห็นใจ ตรงกันข้าม มีบางคนฉวยโอกาสเพราะเรื่องนี้โจมตีโหวเสี่ยวกวง เพื่อให้พยายามเข้าหาทำตัวดีต่อหม่าอิงเฟยเสียด้วยซ้ำ

โหวเสี่ยวกวงมองหน้าหม่าอิงเฟยที่จมูกเชิดขึ้นแทบจะอยู่เหนือศีรษะ ใจของเขาเกิดความลังเลขึ้น

หากเป็นเพียงเรื่องของเขาเอง ต่อให้ต้องเสียเงินจนหมดตัว เขาก็คงไม่มีทางขอให้หม่าอิงเฟยช่วย

แต่ที่เขามาเจียงโจวในครั้งนี้ ก็เพราะมาพร้อมกับความหวังของทั้งหมู่บ้าน คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านต่างปลูกผลไม้ขึ้นมา หากไม่สามารถหาตลาดที่ดีรองรับได้ ทุกคนจะต้องเสียเงินที่ลงทุนไปกับการเพาะปลูก ทั้งยังมีหนี้สินที่ต้องจ่าย มันจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อหลายครัวเรือน โหวเสี่ยวกวงไม่มีทางทนเห็นเรื่องเหล่านั้นได้

อีกทั้ง เพราะคนเหล่านั้นเชื่อคำแนะนำของเขาก่อนจะทำการเพาะปลูก มันจึงยิ่งทำโหวเสี่ยวกวงรู้สึกผิดมากขึ้น

หรือว่าควรจะต้องลองเอ่ยปากจริง?

มองจากภาพลักษณ์หม่าอิงเฟย อีกฝ่ายจะต้องมีเส้นสายในเจียงโจว บางทีอาจช่วยเขาคลี่คลายปัญหานี้ทันทีเลยก็เป็นไปได้

ทว่าพอคิดถึงใบหน้าของหม่าอิงเฟยแล้ว โหวเสี่ยวกวงรู้สึกว่าต่อให้เอ่ยปากขอร้องออกไป เขาก็คงไม่ได้รับอะไรกลับมา กระทั่งจะถูกเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะยอมช่วยนั้น มีเพียงน้อยนิดจริง ๆ

นอกจากนี้ ผลไม้ที่รอขายยังมีจำนวนค่อนข้างมาก จำนวนเงินย่อมเป็นหลักสิบล้าน ทายาทรุ่นที่สองเช่นหม่าอิงเฟย จะสามารถตัดสินใจการค้าใหญ่ขนาดนั้นได้งั้นหรือ?

โหวเสี่ยวกวงมองว่าเป็นไปได้ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้

แต่หากยังพอมีโอกาส โหวเสี่ยวกวงก็ไม่คิดที่จะปล่อยมันไป

ตอนนี้บริกรเปิดประตูพร้อมเดินเข้ามา เริ่มเสิร์ฟอาหารที่รับรายการไปก่อนหน้า จานแล้วจานเล่าถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งหมดเป็นอาหารที่ผ่านการจัดวางอย่างงดงาม พร้อมกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายทั่วทั้งห้องส่วนตัว

เพียงแต่ทุกคนกลับได้ตระหนักถึงความผิดปกติ จำนวนจานอาหารที่บริกรนำมานี้ เห็นได้ชัดว่ามีจำนวนมากกว่าที่พวกเขาได้สั่งไป หลายจานยังเป็นเมนูราคาแพงระยับ ก่อนหน้านี้ตอนได้เห็นในเมนูพวกเขายังนึกละโมบอยากลองเสียด้วยซ้ำ ทว่าไม่กล้าพอที่จะสั่ง แม้หม่าอิงเฟยอาสาเลี้ยงมื้อนี้ แต่ทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะกล้าสั่งจนเลยเถิด

ตอนนี้อาหารเหล่านั้นที่ทำพวกเขารู้สึกละโมบอยากลองสั่งมาทานถูกนำมาเสิร์ฟแล้ว ทำทุกคนในที่นี้ต่างต้องประหลาดใจกันถ้วนหน้า