ตอนที่ 75-3 องค์ชายสามร้ายกาจที่สุด

ทัวเปารุ่ยยังคงส่ายหัวไปมาขณะที่ใบหน้าของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย เขาตั้งใจที่จะแต่งงานกับหลี่จางเล่อโดยจะแต่งตั้งให้นางอยู่ในฐานะเจิ้งเฟย

แต่เหตุใดสาวน้อยผู้นี้จึงงดงามถึงเพียงนี้

ทัวเปาเจิ้นตั้งใจฟังโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา เมื่อดูเหมือนว่าถึงเวลาที่เหมาะสมเขาจึงหัวเราะออกมาดัง ๆ และเสริมว่า

“น้องเก้า ดูเหมือนว่าพี่ห้าของเจ้าจะชอบสาวใช้ผู้นี้จริง ๆ เหตุใดเจ้าจึงมิมอบนางให้กับเขาเล่า”

องค์หญิงเก้ามิได้ใส่ใจสาวใช้ผู้นี้มากนัก เมื่อได้ยินพี่ชายกล่าวดังนั้นนางจึงกล่าวอย่างไม่ลังเลใจว่า

“หากพี่ห้าชอบนางข้าก็จะมอบนางให้กับท่าน แต่คราวหน้าตอนที่ข้าออกไปจากวัง พี่ห้าจะต้องไปกับข้าด้วย!”

ทัวเปารุ่ยรู้สึกดีใจมากแต่คํากล่าวของเขากลับปฏิเสธ:

“ข้าจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?”

“นางเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้ามิใช่หรือ?”

องค์หญิงเก้าดูท่าทางจริงจัง

“พี่ห้ามจําเป็นต้องคิดมาก! เพื่อนเล่นของข้ามีมากมาย…”

ทัวเปารุ่ยกําลังจะกล่าวต่อไปอีก

“เนื่องจากเป็นเช่นนี้”

จักรพรรดิมักจะโปรดปรานทัวเปารุ่ยมากที่สุด แต่เขามีนิสัยที่น่ากลัวคือมิสามารถหักห้ามใจของตนเองได้เมื่อได้พบกับหญิงสาวที่งดงามและถูกใจ

จักรพรรดิตระหนักถึงสิ่งนี้ดี เนื่องจากสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่เกี่ยวข้อง รอยยิ้มที่อ่อนโยนและเย็นชาจึงปรากฏบนใบหน้าของตัวเปาเจิ้น

ทันใดนั้นองค์ชายเจ็ดได้กล่าวว่า

“เนื่องจากพี่ห้าเป็นคนขี้เกรงใจ เช่นนั้นข้าจะรับสาวใช้ผู้นี้เอาไว้เอง”

ทุกคนถึงกับผงะ ขณะที่แสงแห่งความพึงพอใจที่ซ่อนอยู่ปรากฏขึ้นในดวงตาของทัวเปาเจิ้น

จากระยะไกลหลี่เว่ยหยางมองเห็นทุกอย่าง ในขณะที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย สายตาของนางจึงขยับไปยังสาวใช้ผู้ซึ่งถอยออกมาจากโต๊ะ

นางอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอย่างเย็นชา ทัวเปาเจิ้น, อะหัวทัวเปาเจิ้น แผนการของท่านนั้นซับซ้อนเช่นนี้มาโดยตลอด

ความทรงจําของคืนหนึ่งหลังจากครึ่งปีที่นางแต่งงานแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งในหัวใจของนาง

ย้อนกลับไปตอนนั้น ตัวเปาเจิ้นมีน้ำใจและดูแลนางเป็นอย่างดี แม้ว่าบางครั้งเขาจะอยู่ใกล้ชิด แต่ในความรู้สึกนั้นยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขากําลังปิดบังบางอย่างจากนาง

เป็นเพราะตอนนั้นหลี่จางเล่อต้องแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดและหลี่ฉางซีจะต้องแต่งงานกับองค์ชายห้า

เปาเจิ้นกลัวว่านางจะเป็นสายลับที่ส่งมาหาเขา และยังกังวลเสมอว่าวันหนึ่งนางจะทรยศเขา

ด้วยเหตุนี้เขาจึงรักษารูปลักษณ์และปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่เขาไม่ได้เล่าอะไรให้นางฟังเลย

หลี่เว่ยหยางขัดแย้งอย่างหนักจากก้นบึงของหัวใจ นางแต่งงานกับเขาแล้วและเต็มใจที่จะแบกรับภาระทุกอย่างร่วมกับชายผู้นี้

คืนนั้นทัวเปาเจิ้นกลับมาและได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็มุ่งหน้าไปที่ห้องทํางานของตนเองอย่างเงียบ ๆ

หลี่เว่ยหยางแอบติดตามเขาไปยังห้องนั้น และเห็นทัวเปาเจิ้นกําลังใส่ยาที่บาดแผลนั้น นางรู้สึกปวดร้าวเมื่อเห็นภาพนั้นและอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า

“องค์ชาย ขอให้ข้าได้รับใช้ท่าน ในฐานะภรรยาของคุณท่านได้หรือไม่?

เว่ยหยางเต็มใจที่จะทําทุกอย่างเพื่อท่าน..ขอเพียงให้ได้อยู่เคียงข้างท่าน เพียงแค่นี้มิได้หรือ?

“เจ้ากําลังพูดอันใด? ตอนนี้เจ้ามิได้อยู่เคียงข้างข้าหรืออย่างไร?”

ทัวเปาเจิ้นฝืนยิ้ม

“ไม่! ข้ารู้สึกได้ว่าท่านกําลังปกปิดบางอย่างมิให้ข้ารู้เ”

หลี่เว่ยหยางจ้องมองเขาด้วยท่าที่ท้าทาย

“…”

ทัวเปาเจิ้นมีรอยยิ้มที่ตึงเครียด ขณะที่ดึงร่างของนางเข้ามาใกล้จนศีรษะของนางพิงไหล่ของเขา และลูบผมของนางอย่างแผ่วเบาโดยที่การแสดงออกของเขายังดูเคร่งขรึม:

“ข้ารู้ว่าเจ้าจะเข้าใจข้าสวรรค์ค่อนข้างลําเอียง รัชทายาทและข้าต่างก็เป็นโอรสของพระบิดา

แต่ในอนาคตเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิและข้าจะกลายเป็นหนึ่งในผู้รับใช้ของเขาเท่านั้น

เมื่อเขากลายเป็นจักรพรรดิข้าต้องคุกเข่าลงและถวายบังคมพร้อมกับกล่าวคําถวายพระพรให้เขามีอายุยืนนับหมื่นปี

สิ่งนี้มิใช่อะไร เจ้าเห็นหรือไม่ว่าอาการบาดเจ็บของข้านี้เป็นคําเตือนจากเขา เพียงเพราะเขาสงสัยว่าข้าไม่ภักดีต่อเขา

เว่ยหยาง…ต่อไปภายใต้อํานาจที่ยิ่งใหญ่ของเขา คงจะอ้างความผิดเพียงเล็กน้อยที่จะเอาชีวิต

ในชีวิตนี้ข้าทําได้เพียงแค่หลบหน้าด้วยความหวาดกลัวและต้องประจบประแจงเขา

ช่วยบอกข้าที่สิว่า ตอนนี้ข้าควรทําอย่างไร ข้าควรจะติดตามองค์รัชทายาทต่อไปดีหรือไม่?”

ในตอนนั้นหัวใจของหลี่เว่ยหยางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ในดวงตาของทัวเปาเจิ้น:

“ท่านได้อุทิศจิตใจร่างกายและจิตวิญญาณของตนเองให้กับรัชทายาทและได้ทําสิ่งต่าง ๆ มากมายเพื่อเขา ข้าคิดไม่ถึงว่า เขาจะเป็นคนเย็นชาและไร้หัวใจถึงเพียงนี้!”

คํากล่าวเหล่านั้นทําให้รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่มุมปากของทัวเปาเจิ้น ในขณะที่เขาสวมกอดนางแน่น:

“นั่นคือเหตุผลที่เขาสามารถเป็นองค์รัชทายาทได้ ไม่เพียงแต่เป็นพระโอรสองค์โตเท่านั้น

แต่เขายังเป็นโอรสของจักรพรรดินีและองค์จักรพรรดิด้วย ข้าเคารพและรักพระมารดาและจักรพรรดิเสมอ แต่ด้วยสุขภาพของพระนางผู้ใดจะรู้ว่า พระนางจะมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใด?

พระนางมิสามารถปกป้องข้าจากองค์รัชทายาทได้เสมอไป เว่ยหยาง…ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าช่วยทําอะไรบางอย่าง เจ้าจะเต็มใจหรือไม่?”

หลี่เว่ยหยางไม่จําเป็นต้องคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางพยักหน้าทันที ขณะที่ทัวเปาเจิ้นยิ้มและสัมผัสใบหน้าของนางเบา ๆ :

“ยังมีอีกหนึ่งคนที่มีอิทธิพลต่อจักรพรรดินีนั่นคือ อัครมเหสี

ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงความกตัญญต่อหน้าอัครมเหสี ไม่เพียงแต่จะทําให้อัครมเหสีสนับสนุนข้าเท่านั้น แต่ยังมีผลให้ฝ่าบาทสนับสนุนท่านผ่านทางพระนางด้วย

แน่นอนว่า เพื่อให้เป็นที่โปรดปรานของอัครมเหสี การสละเวลาและดูแลใกล้ชิดพระนางจึงเป็นสิ่งที่จําเป็นที่สุด

แต่ในฐานะผู้ชายมันคงมิเหมาะสมที่ข้าจะอยู่เคียงข้างพระนาง ดังนั้นข้าจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

ทัวเปาเจิ้นแสร้งทําราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเมื่อเขามอบหมายให้นางทําเช่นนั้น

เขายังขอร้องให้หลี่เว่ยหยางแสดงความกตัญญแทนเขาอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้อัครมเหสีโปรดปรานเขาด้วยเช่นกัน

ตั้งแต่แรกเริ่มแผนการที่มุ่งร้ายของเขาเป็นที่น่ายกย่องอย่างแน่นอน โดยที่หลี่เว่ยหยางไม่รู้ถึงแรงจูงใจของเขา นางรู้เพียงว่าเป็นวิธีช่วยสามีของตนเอง

เพื่อที่เขาจะได้ไม่ตกเป็นเป้าหมายขององค์รัชทายาทหรือแผนการของผู้ใด

นางเพียงรู้สึกว่า ตําแหน่งและสถานะของเขาถูกคุกคามและในฐานะผู้หญิงนางไม่สามารถปกป้องเขาได้ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่นางสามารถทําได้เพื่อช่วยเหลือเขาอย่างจริงใจ

หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยที่ทั้งหมดนี้เป็นแผนการที่ลึกซึ้งขององค์ชายสาม

อีกทั้งทัวเปาเจิ้นยังแอบยืมมือขององค์รัชทายาทโดยการดึงกองกําลังรักษาพระองค์มาเป็นกองกําลังของตนเอง

และเพื่อต้องการมีอิทธิพลต่ออํานาจและปกป้องกองกําลังของตัวเอง ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ์เขามักจะแสดงความภักดีต่อองค์รัชทายาท

ด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อสามีทุกลมหายใจ หลี่เว่ยหยางจึงมาเยี่ยมอัครมเหสีทุกวันเพื่อเอาใจพระนาแทนเขา เพระทุกอย่างจะกลายเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า