ตอนที่ 75-4 แทรกแซง

หลี่เว่ยหยางหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนที่อยู่ในศาลาที่อยู่ไม่ไกลนั้น ขณะที่เกิดเสียงเยาะเย้ยอันแสนจะเย็นชาปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง

ทัวเปาเจิ้นมักจะเก็บซ่อนอะไรบางอย่าง และแสร้งทําเป็นอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาทราวกับว่าตนเองเป็นโอรสที่ดีของจักรพรรดิ

แม้ในตอนก่อนที่จักรพรรดิจะจากไปด้วยความเจ็บป่วยและเบื่อหน่ายกับพระโอรสทุกพระองค์

แต่พระองค์ทรงเชื่อมั่นในความภักดีและความกตัญญของโอรสองค์ที่สามผู้นี้ ซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าทัวเปาเจิ้นได้วางแผนลับหลังพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง

ในปีที่สามสิบแปดของราชวงศ์ หัวเป่าเจิ้นตกเป็นเป้าหมายในการลอบสังหาร!

และปีที่สี่สิบองค์ชายเจ็ดได้ทําการซุ่มโจมตีทัวเปาเจิ้น! ในปีนั้นหลี่เว่ยหยางรู้สึกว่าพี่น้องทุกคนของทัวเปาเจิ้นต้องการชีวิตของเขา

และเมื่อมองย้อนกลับไปผู้คนเหล่านี้คงได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของทัวเปาเจิ้นจึงต้องการที่จะกําจัดเขา!

ด้วยการคํานวณเช่นนี้ บางทีอาจจะเป็นปีนี้ที่ทัวเปาเจิ้นใช้อาชญากรรมที่เป็นเท็จกล่าวหาและให้ร้ายผู้อื่น

ฮ่า! หากเป็นเช่นนั้นจริง ตอนนั้นนางช่างงมงายเสียจริง ๆ ! นางคิดว่าตนเองเสียสละเพราะความรัก แต่ความจริงแล้วนางถูกหลอกใช้เท่านั้น!

“พี่สาม ท่านเป็นอะไรไปหรือเปล่า?”

หลี่หมินเต๋อเอ่ยถามอย่างสงสัย

“มิเป็นไร.”

หลี่เว่ยหยางผละออกจากความมึนงงโดยที่หญิงสาวมิได้กล่าวอันใด ขณะที่หลี่หมิ่นเต๋อจ้องมองไปที่นางอย่างเป็นห่วง

โดยเขากําลังจะกล่าวอันใดบางอย่าง แต่แล้วก็เห็นภาพเงาผ่านมา และใบหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นขณะที่เขาพยักหน้า:

“พี่สาม ข้ามีบางอย่างที่ต้องทํา ดังนั้นข้าขอตัวออกไปสักครู่”

โดยไม่รอให้ผู้เป็นพี่สาวตอบกลับ หลี่หมิ่นเต๋อจากไปอย่างเร่งรีบ และ

ไป๋จื่อกล่าวว่า

“คุณหนู ท่านรู้สึกว่าช่วงนี้คุณชายสามแปลกไปบ้างหรือไม่?”

หลี่เว่ยหยางมองตามร่างที่ถอยห่างออกไปของหลี่หมินเต๋อ ด้วยท่าทางเคร่งขรึมขณะที่กล่าวว่า:

“แปลกจริง ๆ ด้วย”

อย่างไรก็ตามเขาสูญเสียมารดาไปได้ไม่นาน พฤติกรรมเช่นนี้คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงและเกมหมากรุกในศาลาจบลงแล้ว หัวเป่าเจิ้นและทัวเปารุ่ยได้รับเชิญให้ไปดื่มชาโดยคนสนิทขององค์หญิงหย่งหนึ่ง จึงปล่อยให้องค์ชายเจ็ดสนทนากับสาวใช้ผู้นั้น

โดยที่หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะเดินผ่านมาอย่างเชื่องช้า

“ท่านปู่ของเจ้าคือหลิวเสี่ยวเหว่ยหรือ? ตอนที่ยังเด็กข้าได้เรียนรู้ทักษะการใช้ดาบจากเขามาบ้าง”

ใบหน้าของตัวเปาหยุนั้นไร้ที่ติขณะที่น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ

หากมีผู้อื่นมาเห็นทัวเปาหยุในตอนนี้ พวกเขาคงจะต้องตกตะลึง แต่ หลี่เว่ยหยางรู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง เพราะทัวเปาหยูเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีจุดอ่อนเช่นกัน

และเหลาหลัวกั่วกงผู้ซึ่งเป็นท่านปู่ของเขาเป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขององค์ชายเจ็ด

ตั้งแต่ยังเด็กเขาได้ติดตาม เหลาหลัวกั่วกงและเรียนรู้ศิลปะวรรณคดี และศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดจากเขา

ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมและแน่นแฟ้นต่อการเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้คนอาจกล่าวว่าทัวเปาหยูเป็นคนไร้อารมณ์และไร้หัวใจ

แต่ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับท่านปู่ของเขา จะทําให้ความมีสติของเขาจางหายไปทุกครั้ง

เมื่อได้ยินคํากล่าวขององค์ชายเจ็ด ผิวหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูทันที

“องค์ชายเจ็ด ท่านปู่ของข้าเคยกล่าวถึงองค์ชายอยู่ครั้งหนึ่ง เขากล่าวว่า เมื่อองค์ชายยังเด็ก…”

“ท่านปู่ของเจ้ากล่าวว่า ตอนเป็นเด็กองค์ชายเจ็ดฉลาดมาก แต่ก็ดื้อรั้นมากด้วยใช่หรือไม่?”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะที่ชัดเจนก็ดังขึ้นในศาลา ขณะที่ทัวเปาหมูมองขึ้นไปเห็นหลี่เว่ยหยางยิ้มและยืนอยู่บนขั้นบันได

ทัวเปาหยูเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะมาที่นี่ ช่างน่าประหลาดใจ

เนื่องจากนางมาร่วมงานเลี้ยง หลี่เว่ยหยางจึงสวมกระโปรงที่มีความเรียบง่ายแต่ทว่ามีความงามสง่า

นางตั้งใจเลือกสีที่เรียบง่าย แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของนางที่เปล่งประกายสีเลือดฝาดก็ยังสามารถทําให้หัวใจของคนอื่นเต้นแรงได้

ในขณะนั้นดวงตาที่สดใสของหญิงสาวจับจ้องมาที่เขา

ทัวเปาหมูเห็นรอยยิ้มของหลี่เว่ยหยางที่สดใสและน่ารักอย่างกะทันหันแล้วก็รู้สึกตกใจมาก แววตาของเขาพยายามจับพิรุธ เพราะเขารู้ดีว่าเด็กสาวผู้นี้เข้าใกล้ผู้อื่นจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน

เขาไม่เชื่อว่าสาวน้อยผู้นี้จะมีเจตนาเพียงแค่ต้องการมาสนทนากับเขาเท่านั้น

ตอนนี้หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเขาที่ชื่อหยูเอ๋อ ดูเหมือนจะอายุเพียง15-16 ปีเท่านั้น

ใบหน้าที่เรียวยาวและดวงตาที่อ่อนโยนและสวมเครื่องแต่งกายสีทองอ่อนพร้อมดอกบัวเงินปักที่คอเสื้อและข้อมือ

การแต่งกายของนางมีความเหมาะสม ขณะที่ไม่ได้ใช้แป้งหรือทารุจ อีกทั้งไม่ได้ใช้ปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับดูเหมือนว่านางจะค่อนข้างมั่นใจในของตนเองที่จะต้องเปลือยใบหน้าโดยปราศจากการแต่งหน้า

เมื่อเห็นหลเว่ยหยาง หยูเอ๋อจึงยึดตัวขึ้นและคุกเข่าลงขณะที่กระโปรงของนางกระพือปีกราวกับกลีบดอกไม้ตกลงไปในสระน้ำ

“คารวะเซียนจู”

หลี่เว่ยหยางยิ้มให้สาวใช้เล็กน้อย ขณะที่ทัวเปาหยูกล่าวว่า

“หากท่านพอมีเวลาก็สามารถนั่งลงเพื่อพักผ่อนก่อนได้”

หยูเอ๋อได้ยินคํากล่าวเหล่านี้และหวังเพียงว่า หลี่เว่ยหยางจะจากไป แต่เซียนจูท่านนี้กลับยิ้มอย่างสดใสและรินน้ำชาด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าหลี่เว่ยหยางไม่ปฏิเสธคําเชื้อเชิญและนั่งลง

“องค์ชายเจ็ดรู้จักกับสาวใช้ผู้นี้หรือ?”

หลี่เว่ยหยางเหลือบมองหยูเอ๋อขณะที่ทัวเปาหยูสอดนิ้วไปบนหยกในมืออย่างเกียจคร้านพลาง ยิ้มขณะที่กล่าวว่า

“ถูกต้อง นางเป็นหลานสาวเพื่อนเก่าของท่านปู ซึ่งพระองค์เคยมีรับสั่งให้ข้าตามหาหลิวเสี่ยวเหว่ย ไม่คิดว่าจะได้พบกับหลานสาวของเขาในวันนี้”

หลี่เว่ยหยางยิ้มและมีแสงที่ไร้ความสุขปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง

“ช่างเหมาะเจาะเสียจริง ๆ”

ทัวเปาหมูหยุดชั่วขณะ ซึ่งการที่นางหัวเราะเยาะนั้น ทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

เขาอดไม่ได้ที่จะใส่ใจนางมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอันใด เมื่อได้ยินเช่นนี้หยูเอ๋อก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

นางเกิดความรู้สึกว่า คุณหนูสามแห่งบ้านตระกูลหลี่เข้ามาสร้างความเดือดร้อน แต่ความคิดเหล่านั้นไม่สามารถกล่าวออกเสียงได้นางจึงต้องกล่าวว่า

“บ่าวค่อนข้างโชคดี ที่องค์หญิงเก้าเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตบ่าวเอาไว้ในตอนที่บ่าวถูกผู้อื่นรังควานและวันนี้ยังได้พบกับองค์ชายเจ็ด…”

นางยังกล่าวไม่ทันจบ เมื่อหลี่เว่ยหยางกระพริบตาเพื่อรับรู้และกล่าวขัดขึ้นว่า

“โชคดีที่เจ้าฉลาดพอที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ใช่ แต่ข้าต้องการทราบเพียงเล็กน้อยว่า

มีผู้คนจํานวนมากที่อยู่บนท้องถนนเจ้ามิได้มองไปที่ผู้อื่นเลยหรือนอกจากร้องขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงเก้า เจ้ามีเหตุผลอันใดสําหรับเรื่องนี้”

หยูเอ๋อผงะเล็กน้อยและกล่าวว่า:

“นั่นเป็นเพราะองค์หญิงทรงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราเช่นนี้ นางดูเหมือนผู้มียศศักดิ์และมีความยุติธรรม นั่นคือเหตุผลที่บ่าวทําเช่นนั้น…”

หลี่เว่ยหยางส่งยิ้มเล็กน้อยให้กับองค์ชายเจ็ด ขณะที่รอยยิ้มอันสดใสของนางซ่อนความตั้งใจที่ไม่ชัดเจน

“มียศศักดิ์และยุติธรรม…”

เมื่อตกอยู่ในอันตรายนางไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง แต่ตัดสินใจที่จะพึ่งพาองค์หญิงเก้า นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกหรือ?

หลี่เว่ยหยางกระพริบตาโดยคิดว่าตัวเปาหยูอาจจะยังไม่เข้าใจ ขณะที่หัวเป่าหูได้ยินดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งกระด้างขึ้น

เขาจ้องมองไปที่หลี่เว่ยหยางอย่างครุ่นคิดราวกับว่าภายในหัวใจของตนเองกําลังถกเถียงกันอยู่ และการแสดงออกของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย

หลี่เว่ยหยางรับรู้ได้ถึงความสงสัยที่คลุมเครือในสายตาของเขา แต่ก็มีความลังเลที่จะเชื่อว่านี่เป็นความจริง ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะแทรกแซงอีกครั้ง

สายตาของนางก้มลงบนข้อมือของ

หยูเอ๋อและเห็นเส้นประคําอธิษฐานของชาวพุทธที่ทําจากไม้จันทน์จึงกล่าวว่า

“ลูกปัดเหล่านี้งดงามมาก ข้าขอดูบ้างจะได้หรือไม่?”

ดวงตาของหยูเอ๋อสว่างวาบขึ้นโดยไม่รู้ตัว และจับลูกปัดอธิษฐานบนข้อมือตนเองโดยไม่รู้ตัวขณะที่หลี่เว่ยหยางยิ้ม:

“เหตุใดจึงดูเหมือนว่าเจ้าทนไม่ได้ที่จะอยู่ห่างจากมัน? ข้าแค่ขอดูเท่านั้นเอง รับรองว่าข้าจะไม่ทําให้มันเสียหาย