บทที่ 210 แม่ลูกหน้าไม่อาย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 210 แม่ลูกหน้าไม่อาย

บทที่ 210 แม่ลูกหน้าไม่อาย

พื้นที่ชนบทในสมัยก่อนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ ที่ยิ่งเจริญรุ่งเรืองก็ยิ่งเหมือนกับเมืองหลวง นั่นเป็นสถานที่ที่ในฝันของใครหลายคน แต่ว่ากู้เสี่ยวหวานที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมานานแล้ว กลับรู้สึกเฉยชาก็เท่านั้น

เมื่อก่อนชีวิตนางนับว่ายังดี เหมือนกับชีวิตบางคนอยู่ที่ฝั่งทางใต้ก็อยากจะข้ามมาทำงานในเมือง เลิกงานก็ข้ามเมืองกลับบ้าน กว่าจะถึงบ้านก็เกือบจะสามสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

การใช้ชีวิตอยู่กับป่ากับเขาแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว มีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ แค่เปิดประตูออกไปก็เจอทั้งภูเขาเขียวขจี ทั้งสายน้ำ ฟ้าใสเมฆสวย เช่นนี้ดีจะตาย

“ถึงวันนั้นพวกเราเข้าไปในเมืองด้วยกัน ดีที่อาจารย์สวีจัดรถม้าพาเราไปด้วย หากพวกเราถึงเมืองหลิวเจียก็สามารถนั่งรถม้าของตระกูลสวีไปด้วยได้!” กู้เสี่ยวหวานพูด ระหว่างเดินนั้นนางได้คิดวางแผนเอาไว้หมดแล้ว

วันนั้นพวกนางต้องตื่นเช้าหน่อย เพราะกว่าจะไปถึงเมืองหลิวเจียต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม จากเมืองหลิวเจียไปถึงในเมืองก็ใช้เวลาสองชั่วยาม การเดินทางในครั้งนี้ต้องใช้เวลาไปกว่าสามชั่วยาม เมื่อนับดูแล้ว พวกนางต้องออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และกลับมาตอนฟ้ามืดเป็นแน่

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่ค่อยวางใจทิ้งเด็กสองไว้ในบ้านตามลำพังทั้งวัน จึงคิดจะพาพวกเขาไปด้วย แม้ว่าจะเหนื่อยนิดหน่อย แต่ยังดีกว่าที่เห็นพวกเขาอยู่ข้างกายแบบนี้ นางจึงค่อยรู้สึกวางใจหน่อย อีกทั้งยังได้ให้พวกเขาได้ออกไปเห็นโลกภายนอกได้ด้วย

ครั้นกู้หนิงผิงรู้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะพาพวกเขาไปในเมืองก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น

“ดีจังเลย ๆ!”

“แต่ก่อนไป ข้าต้องพูดกับพวกเจ้าก่อน การไปครั้งนี้มีระยะทางที่ยาวไกลมาก ต้องเหนื่อยเป็นแน่ พวกเจ้าเตรียมใจให้พร้อมเสียล่ะ!” กู้เสี่ยวหวานเห็นเด็กสองคนดีใจขนาดนั้น นางก็พลอยดีใจตามไปด้วย แต่ต้องบอกความลำบากให้เด็กสองคนทราบเสียก่อน

กู้หนิงผิงกับกู้เสี่ยวอี้พยักหน้าพร้อมกัน แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านพี่ พวกข้าไม่กลัวเหนื่อยหรอก”

กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเด็กสองคนไม่กลัวก็ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน อีกสองวันก็ต้องเดินทางแล้ว กู้เสี่ยวหวานคิดจะทำธัญพืชอบแห้งสักหน่อย แล้วเตรียมร่างกายให้พร้อม

แต่ไว้ทำล่วงหน้าก่อนวันจะไปหนึ่งวันก็ยังทัน

ด้านกู้ซินเถาตั้งแต่ออกมาจากโรงน้ำชา พบกับเจียวหย่วนครั้งแรกใบหน้าของกู้ซินเถาก็แดงตลอดเวลา หัวใจยังเต้นตึกตัก แม้ว่าเจียงหย่วนจะหน้าตาขี้เหร่ไปหน่อย แต่ท่าทางร่ำรวยของเขาก็ทำให้กู้ซินเถาใจเต้นมากจริง ๆ

เจียงหย่วนมาส่งนางที่บ้าน แล้วนัดว่าอีกสองวันจะชวนนางไปดื่มชาด้วยกันอีก จากนั้นเจียงหย่วนก็มองกู้ซินเถาก่อนจะออกมาจากบ้านกู้

กู้ซินเถาเดินเข้าบ้านมาก็เจอกับซุนซื่อที่รอนางอยู่ในบ้านแล้ว

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เจียงหย่วนชวนลูกสาวของตัวเองไปดื่มชา ไม่รู้ว่าเด็กสองคนพูดคุยกันเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้ซุนซื่อนั่งไม่ติดที่ เอาแต่มองประตูเป็นพัก ๆ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากู้ซินเถาจะกลับมาเมื่อไร

รอจนเกือบจะถอนใจ ในที่สุดกู้ซินเถาก็ค่อย ๆ เดินเอ้อละเหยลอยชายเข้ามา

ชุดสีชมพูอ่อนที่ดูเข้ากันได้ดีกับเครื่องประทินโฉมบนใบหน้า เมื่อรวมกับรูปร่างของกู้ซินเถา ก็ทำให้ซุนซื่ออ้าปากค้าง ในใจก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจ

ครั้นเห็นบุตรสาวกลับมาแล้ว ซุนซื่อก็รีบเดินไปข้างหน้าต้อนรับนาง ดึงแขนกู้ซินเถาถามโน่นถามนี่ไม่หยุด

แม้ว่าคนที่ถามโน่นถามนี่จะเป็นมารดาของตัวเอง แต่เพราะอายุยังน้อย ใบหน้าจึงค่อนข้างบาง ยิ่งซุนซื่อถามนางมาก ๆ ใบหน้านางก็ยิ่งแดงก่ำ รู้สึกอับอายเล็กน้อย “ท่านแม่ก็” นางย่ำเท้าไปมาด้วยความเขินอาย ใบหน้าแดงเถือก ครั้นเห็นท่าทางของบุตรสาวเช่นนี้ ซุนซื่อก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

เดิมทีนางเป็นเด็กสาวอายุสิบกว่าขวบ อยู่ในช่วงมีความรักที่บริสุทธิ์ ควรจะเป็นเสน่ห์ในตัวของเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกในความคิดของซุนซื่อ

ใบหน้าคล้ายตุ๊กตารับกับทรงคิ้วดั่งก้านหลิว ริมฝีปากสีเชอร์รี ดูแล้วเป็นหญิงงามคนหนึ่ง แต่กลับรู้สึกมีอะไรแปลก ๆ

ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยคงต้องพูดว่า กู้ซินเถาคนนี้เพิ่งอายุสิบเอ็ดขวบปีนี้ ท่าทางเขินอายเช่นนี้ เกรงว่าคงห้ามไม่ให้คนคิดว่าแม่นางน้อยผู้นี้กำลังจะเข้าสู้วัยแรกแย้มแล้วใช่หรือไม่

ซุนซื่อเห็นใบหน้าแดง ๆ ของกู้ซินเถา แม้ว่าไม่ได้พูดดีแล้ว ก็ไม่ได้พูดว่าไม่ดีเช่นกัน ในใจนางลอบหัวเราะ เกรงว่าจะเกิดเรื่องสนุกขึ้นกระมัง ทว่านางก็ไม่ได้บีบบังคับกู้ซินเถา แล้วรอให้กู้ซินเถาเอ่ยปากพูดออกมาเอง

“ท่านแม่ นายน้อยเจียงคนนี้ ชาติตระกูลไม่เลวเลย เมื่อครู่ข้าไปร้านน้ำชาที่หรูหราที่สุดในเมืองของเรา ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ บ่ายนี้เขาให้ข้าดื่มชา ท่านรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไร”

“เท่าไรหรือ”

“ตามที่คุณชายเจียงบอกข้า หนึ่งแก้วก็ราคาสิบสองเหรียญเงินแล้ว!” ตอนที่กู้ซินเถาดื่มชา เจียงหย่วนบอกว่าชาที่นางดื่มนั้นมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ทำให้กู้ซินเถารู้สึกเสียดายที่จะดื่มเลยทีเดียว อึกหนึ่งดื่มลงไปก็คือการดื่มเงินสิบสองเหรียญเงินทิ้งไปฟุ่มเฟือยยิ่งนัก!

พอซุนซื่อได้ยินก็ตะลึงเช่นกัน ชาหนึ่งแก้วก็ราคาสิบสองเหรียญเงินเลยหรือ หึ ๆ ข้าแต่บรรพบุรุษ ร้านกิจการช่างยิ่งใหญ่เสียจริง!

พอดื่มก็ต้องจ่ายเงินสิบสองเหรียญเงินแล้ว ชาแก้วนี้ในครอบครัวธรรมดามันเป็นเงินที่ใช้ทั้งปีเชียวนะ

ซุนซื่อเม้มริมฝีปาก ตกตะลึงในความร่ำรวยของตระกูลเจียงขึ้นมาเล็กน้อย

ถ้าลูกสาวตัวเองได้แต่งงานไปอยู่ในตระกูลเจียงล่ะ

หลังจากนี้ไม่ใช่ว่านางจะสามารถดื่มชาแก้วละสิบสองเหรียญเงินได้หรือ และยังสามารถนั่งรถม้า กลับมาก็มีคนปรนนิบัติเหมือนกันใช่หรือไม่

จะสวมเสื้อผ้าก็แค่เหยียดมือเป็นฮูหยิน นั่งกินนอนกินสุขสบายไปทั้งชาติ!

พูดถึงตรงนี้ซุนซื่อก็พูดต่อว่า “ดีล่ะ ลูกสาวของข้า เจียงหย่วนมีคุณสมบัติดีขนาดนี้ เจ้าต้องจับเอาไว้ให้ได้ล่ะ!”

กู้ซินเถาพอได้ยินแม่ตัวเองพูดแบบนี้ ใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำ เขินอายจนก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!”

ซุนซื่อเห็นบุตรสาวพูดเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกสงบลง กู้ซินเถายังอายุไม่เท่าไร แต่ความงดงามก็ปารกฏออกมาแล้ว นี่ถ้าโตกว่านี้อีกหน่อย ก็กลายเป็นดอกไม้งามแห่งเมืองหลิวเจีย เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แน่

กู้ซินเถางดงามเสียขนาดนี้ ย่อมต้องแต่งงานกับตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองหลิวเจีย และเป็นฮูหยินที่อยู่สูงที่สุด

หลังจากคิดว่าบุตรสาวตัวเองจะได้แต่งกับตระกูลเจียง สามารถใช้เงินได้อย่างไม่มีวันหมด ออกจากบ้านก็มีคนรับใช้ตามหน้าตามหลัง ซุนซื่อคิดแล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ว่ากู้ซินเถาปากตอบอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้นางก็ขมวดคิ้ว คล้ายกับคิดขัดแย้งอะไรบางอย่าง ซุนซื่อที่อยู่ไม่ไกล มองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของกู้ซินเถาอย่างชัดเจน ครั้นเห็นบุตรสาวตัวเองเป็นแบบนั้นนางก็รีบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น