บทที่ 212 หน้าหนา

บทที่ 212 หน้าหนา

“ใช่ พี่ใหญ่สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” กู้ซินเถาก็ถามอย่างเป็นห่วงเช่นกัน

“ใครในหอหนังสืออวี้ทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ”

“หึ นอกจากกู้หนิงอันแล้ว จะมีใครอีกเล่า!” กู้จือเหวินมีสีหน้าโกรธเคือง “กู้หนิงอันรังแกคนอื่นเกินไปแล้ว”

เป็นกู้หนิงอันอีกแล้ว พอได้ยินชื่อของคนบ้านรอง ซุนซื่อก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อย

“จือเหวิน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ซุนซื่อรู้ดีว่าลูกชายตัวเองเป็นคนชอบเอาชนะ ปกติไม่ค่อยสนใจเรื่องของกู้หนิงอันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีโทสะขนาดนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ท่านแม่ ท่านว่าตอนที่ข้าอยู่ที่นั่น ข้าเป็นที่หนึ่งไม่มีสองมาโดยตลอด แต่นับตั้งแต่ที่กู้หนิงอันเข้ามา สายตาของอาจารย์น้อยสวีก็ไปอยู่ที่มันหมดเลย” กู้จือเหวินพูดอย่างโมโห “นี่ยังไม่นับ อาจารย์สวีกับอาจารย์หญิง พวกเขาทำเหมือนไอ้คนจนนั่นเป็นลูกชายอีกคนของพวกเขา ลองคิดดูสิว่ามันน่าโมโหแค่ไหน”

พอซุนซื่อได้ยินก็เข้าใจกู้จือเหวินในทันที

กู้จือเหวินเป็นความหวังของกู้ฉวนลู่ เพราะกู้ฉวนลู่ไม่เคยสอบจวี่เหริน และไม่เคยได้รับราชการ เขาจึงยิ่งฝากความหวังไว้ที่กู้จือเหวิน

ตอนกู้จือเหวินยังเด็ก หากกู้ฉวนลู่มีเวลาว่างเขาจะฝึกให้กู้จือเหวินคัดอักษร เฝ้ารอวันที่กู้จือเหวินเติบใหญ่ทำตามความฝันของตัวเอง กู้จือเหวินก็ไม่โต้แย้ง เขาเรียนรู้ได้ไวเช่นกัน ต่อมาก็เข้าไปเรียนในสำนักศึกษา เนื่องจากก่อนหน้านี้กู้จือเหวินมีกู้ฉวนลู่ที่เป็นผู้สั่งสอนมาตลอด ทำให้ในเวลาเรียนเขาจึงโดดเด่นมากในห้องเรียน

ทว่าในห้องเรียนนั้นเขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เคยได้ยินว่าอาจารย์สวีกับอาจารย์หญิงจะมองเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่งเลยเช่นกัน ไม่รู้ว่ากู้หนิงอันผู้นี้โผล่มาจากไหน เพียงเข้ามาเขาก็เข้าตาอาจารย์สวีและอาจารย์หญิงแล้ว แค่ได้ยินก็ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจแล้ว

“เหวินเอ๋อร์ เจ้าอย่าเสียใจไปเลย เราไม่ควรโมโหให้กับคนแบบนั้น!” แม้ว่าซุนซื่อจะโกรธมากเช่นกัน แต่ก็ยังเตือนสติกู้จือเหวิน “กู้หนิงอันเป็นที่ชื่นชอบแล้วอย่างไร เรียนดีแล้วอย่างไร เขาไม่วันสู้เหวินเอ๋อร์ของข้าได้หรอก”

“กู้หนิงอันนั่นเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์แล้วอย่างไรล่ะ หลังจากที่สอบเคอจวี่แล้วจะได้รู้กันไปเลยว่าเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าที่มีปัญหา!” ซุนซื่อพูดอย่างดูถูก “การสอบซิ่วไฉกับสอบจวี่เหรินในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่อาจารย์ของพวกเจ้า อีกทั้งการสอบผ่านจวี่เหรินก็ไม่ได้มีแค่เรียนเก่งอย่างเดียวแล้วจะสอบผ่านได้เช่นกัน”

ซุนซื่อพูดไม่ผิด ความรู้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เงินก็เป็นอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน มีอะไรที่เงินเสกไม่ได้บ้าง กู้หนิงอันเรียนเก่งแล้วอย่างไร ถึงตอนนั้นหากเขาไม่มีเงินก็คงทำได้แค่มองเท่านั้น

“ท่านแม่” กู้จือเหวินไม่คิดว่าซุนซื่อจะพูดเช่นนั้น เขาจึงรู้สึกมึนงงเล็กน้อยและสับสนไม่รู้จะทำอย่างไร

ซุนซื่อรู้ว่ากู้จือเหวินไม่เข้าใจ นางมองสายตาสับสนของกู้ซินเถาก็คิดว่าควรจะรอพวกเขาโตอีกหน่อย แล้วค่อยบอกเรื่องนี้กับพวกเขา

กู้ฉวนลู่เป็นนักทำบัญชีในร้านอาหารมาเกือบทั้งชีวิต มีคนแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยพบเจอ เรื่องแปลก ๆ เรื่องไหนบ้างที่ไม่เคยได้ยิน และมีสถานการณ์อะไรบ้างที่เขาไม่เคยเห็น

การสอบซิ่วไฉนั้น นอกจากมีความรู้แล้วก็ยังต้องมีเงินตราด้วย!

เพียงแต่ว่าซุนซื่อยังไม่คิดจะเอาเรื่องเหล่านี้มาบอกแก่กู้จือเหวิน แต่กลับพูดตักเตือนว่า “เหวินเอ๋อร์ เจ้าเพียงแต่ต้องขยันอ่านหนังสือก็พอ สิ่งอันใดไม่ต้องสนใจ! กู้หนิงอันนั่นเทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วชี้นิ้วเดียวของเจ้า! ครอบครัวของพวกเขาทั้งหมดก็สู้พวกเราไม่ได้เช่นกัน!”

ตอนซุนซื่อพูดสองประโยคสุดท้าย นางก็กัดฟันอย่างแค้นเคือง ใครบังอาจกล้าฉุดรั้งลูกของนาง นางก็จะไม่ปล่อยมันผู้นั้นไป

เมื่อมองท่าทางของกู้ซินเถาและกู้จือเหวินที่ตะลึงงันไปแล้ว ซุนซื่อจึงรู้ตัวว่าประโยคนั้นของตัวเองดุร้ายเกินไป จึงรีบอธิบาย “เหวินเอ๋อร์ ซินเถา ไม่ว่าใครก็เทียบชั้นพวกเจ้าไม่ได้ เหวินเอ๋อร์ของข้า ต่อไปเจ้าจะต้องเป็นขุนนางใหญ่ ซินเถาของข้า ต่อไปเจ้าก็จะได้เป็นคุณนาย! ลองถามคนในเมืองหลิวเจียดูสิว่าต่อไปใครจะเปรียบชั้นครอบครัวของเราได้!”

พอคิดว่ากู้จือเหวินจะได้เข้ารับราชการ ใจของซุนซื่อก็ลิงโลดขึ้นเล็กน้อย เมื่อถึงตอนนั้นคนทั้งเมืองจะต้องก้มหัวให้กับครอบครัวของพวกเขา

กู้จือเหวินกับกู้ซินเถาถูกคำพูดนั้นของซุนซื่อทำให้ตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดจึงพากันยืดหลังตั้งตรง สายตามุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับว่าตอนนี้พวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดและได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากผู้คนทั่วทุกสารทิศ

เป็นเพราะต้องเดินทางหนึ่งวันเต็ม ทำให้วันถัดมาของกู้เสี่ยวหวานตื่นสายโด่ง

จนกระทั่งดวงอาทิตย์เกือบจะขึ้นสูงเหนือภูเขาแล้ว กู้เสี่ยวหวานถึงจะตื่น ครั้นนางตื่นมาก็พบว่าบนเตียงนั้นว่างเปล่า เหลือแค่นางเพียงคนเดียว นางก็ตกใจตัวสั่นระริก อ้าปากตะโกนเรียก “หนิงผิง เสี่ยวอี้!”

สักพักก็มีเสียงจากด้านนอกขานกลับมา

“ท่านพี่”

หนิงผิงกับเสี่ยวอี้เดินเข้ามาในห้อง เมื่อกู้เสี่ยวหวานมองเห็นเด็กสองคนไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงค่อยวางใจลง “เหตุใดพวกเจ้าถึงออกไปข้างนอกกัน เหตุใดตื่นแล้วจึงไม่เรียกข้า หิวแล้วล่ะสิ เดี๋ยวข้าไปทำข้าวเช้าให้พวกเจ้า!”

คิดไม่ถึงว่ากู้หนิงผิงจะกดตัวกู้เสี่ยวหวานที่ทำท่าจะลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านนอนลงก่อนเถอะ ข้ากับน้องสาวไปทำกับข้าวไว้แล้ว เมื่อวานท่านออกไปทั้งวัน คงจะเหนื่อยน่าดู ดังนั้นพวกข้าจึงไม่ได้ปลุกท่านแต่เช้าตรู่ และข้ากับเสี่ยวอี้ก็ทำกับข้าวไว้ให้แล้ว!”

“ท่านพี่ ข้าจุดไฟด้วยล่ะ!” กู้เสี่ยวอี้ชูมือข้างหนึ่ง มือขาว ๆ นั่นเต็มไปด้วยเขม่าดำ

ครั้นเห็นน้องสองคนเป็นห่วงตัวเองเช่นนี้ ในใจของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกตื้นตัน นอนก็นอนอิ่มแล้ว อารมณ์จึงแจ่มใสอย่างยิ่ง

เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ กู้เสี่ยวหวานก็เดินให้อาหารย่อยอยู่ในสวน พลางคิดถึงเรื่องเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้

ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็พบว่าใต้หลังคาของสวนมีตะกร้าแขวนอยู่หนึ่งใบ เมื่อมองพิจารณาอย่างละเอียด ตะกร้าที่สานอย่างหนาแน่น ทุก ๆ ช่องมีสัดส่วนที่พอดีกันหมด ดูเหมือนตะตร้าไม้ไผ่นี้จะเป็นคนมีฝีมือไม่เลวเลย

“หนิงผิง ตะกร้าใหม่ใบนี้เอามาจากไหนหรือ” กู้เสี่ยวหวานตะโกนถามกู้หนิงผิงที่ยังล้างจานอยู่ในห้องครัว

“โอ้ ท่านพี่ นั่นเป็นของที่พี่ฉือโถว เขาเอามาให้เมื่อวาน!” กู้หนิงผิงตอบ “เมื่อวานพี่ฉือโถวขึ้นภูเขาไปตัดไม้ไผ่ พอผ่านบ้านเราก็ให้ตะกร้าแก่พวกเราสองสามใบ ใต้ชายคามีหนึ่งใบ ยังมีตะกร้าใบใหม่อีกหนึ่งใบ ข้าวางไว้ในบ้านแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานพูดอืมหนึ่งคำ จู่ ๆ ก็คิดบางอย่างขึ้นได้จึงรีบวิ่งไปในห้องโถง เปิดชั้นวางของแล้วนำรูปวาดครั้งก่อนของตัวเองที่เป็นรูปต้นหญ้าแผ่นหนึ่งออกมา