บทที่ 251 มื้ออาหารอันโอชะ

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 251 มื้ออาหารอันโอชะ

บทที่ 251 มื้ออาหารอันโอชะ

ภายในห้องอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารว่างแบบเย็น ๆ ที่มีสีสันหลากหลาย อาหารชนิดผัดต่าง ๆ ที่ดูยอดเยี่ยม รวมไปถึงซุปร้อน ๆ ที่มีกลิ่นหอมฟุ้งซึ่งยังคงปล่อยควันขาวลอยออกมา

อาหารแปดจาน และซุปอีกหนึ่ง

เรียกได้ว่าเป็นมื้ออาหารที่อุดมสมบูรณ์และให้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน

หลี่เล่ยเล่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอมองไปยังจานที่อยู่ข้างหน้าและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

“คุณโจว คุณทำทั้งหมดนี้เองเลยเหรอ?” หลี่เล่ยเล่ยถาม

“ใช่ ผมทำเอง แต่น่าเสียดายที่วันนี้มีเวลาน้อยเกินไป ผมก็เลยทำได้แค่อาหารง่าย ๆ เท่านั้นเอง หวังว่าคุณเล่ยเล่ยจะไม่รู้สึกรังเกียจนะครับ” โจวอี้ยิ้ม

มีเวลาน้อย?

อาหารง่าย ๆ เนี่ยนะ?

หลี่เล่ยเล่ยพูดไม่ออก ทำได้เพียงหยิบตะเกียบขึ้นมาเมื่อโจวอี้ผายมือเชื้อเชิญ

อาหารว่างแบบเย็น ๆ สองจาน เนื้อผัดซอสฮัวเตียว[1]ที่ถูกจัดจานเป็นรูปดอกไม้ และยังมีเป็ดเค็มจินหลิง

สำหรับเนื้อผัดซอสฮัวเตียวนั้น โจวอี้จัดจานมาอย่างสวยงาม เขาวางชิ้นเนื้อเรียงออกมาเป็นรูปดอกไม้บาน หลี่เล่ยเล่ยรู้สึกอายที่จะทำลายความสวยงามของอาหารจานนี้ ดังนั้นเธอจึงคีบเป็ดเค็มชิ้นหนึ่งมาแทน

เนื้อขาวและนุ่ม มีไขมันแต่ไม่มันเยิ้ม

แววตาของหลี่เล่ยเล่ยเป็นประกาย ต่อมรับรสของเธอนั้นราวกับว่ากำลังมีความสุขอย่างมาก เธอพึงพอใจกับรสชาติอันโอชะเช่นนี้มาก

อร่อย!

เธอกินเป็ดเค็มมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอไม่เคยกินเป็ดเค็มที่อร่อยแบบนี้มาก่อน!

หนึ่งนาทีต่อมา เธอก็ถูกความอร่อยของเนื้อผัดซอสฮัวเตียวเอาชนะไปได้

ห้านาทีต่อมา อาหารจานผัดทั้ง 4 คอร์สนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกว่าการทานอาหารคือความสุขที่สุดในโลก

และแปดนาทีต่อมา เธอก็พอใจกับซุปด้วยเช่นกัน

“ลองดื่มซุป” โจวอี้เสิร์ฟด้วยชามซุปทะเลถึงแปดอย่าง

หลี่เล่ยเล่ยไม่ต้องการดื่มซุปเพราะเธอรู้สึกว่าการหยุดกินอาหารอื่น ๆ อาจทำให้เสียอรรถรส และซุปจะเป็นการล้างปากอย่างโหดร้ายต่อการรับรสของเธอ

แต่ก็ยากนักที่จะปฏิเสธโจวอี้… ดังนั้นเธอจึงใช้ช้อนคนซุปทะเลแปดอย่างในชาม จากนั้นก็ตักขึ้นมาชิม

“รสชาตินี้…”

“อร่อยเกินไปแล้ว!”

หลี่เล่ยเล่ยวางช้อนลงทันที และใช้สองมือประคองชาม ยกชามซุปซดอีกสองสามอึก

อร่อยและมีกลิ่นหอมมาก!

หลังจากดื่มซุปลงท้อง รูขุมขนทั่วร่างกายของเธอก็ดูเหมือนจะเปิดออก มันทำให้ร่างกายของเธออบอุ่นมากขึ้น

หลี่เล่ยเล่ยใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการกินและดื่มอย่างเพลิดเพลิน

อย่างไรก็ตาม ในสิบห้านาทีของการกิน ปากของเธอไม่ได้หยุดเคี้ยวเลยสักนิด ดังนั้นแค่เพียงการกินในเวลาสั้น ๆ เธอก็รู้สึกว่าท้องของเธอป่องออกและตอนนี้เธอก็กินต่อไปไม่ไหวแล้ว

“อึก…” หลี่เล่ยเล่ยพิงเก้าอี้และลูบท้องด้วยความจุก แต่แล้วเธอก็ได้ยินถังเหมียวเหมี่ยวหัวเราะอยู่ข้าง ๆ เธอ เธอจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตอนที่เธอเพิ่งกินข้าวไปนั้น เธอมัวเมาไปกับความอร่อยจนไม่สนใจใครเลย ซึ่งมันดูเสียมารยาทอย่างมาก

“อะแฮ่ม…ฝีมือทำอาหารของคุณโจวดีเยี่ยมจริง ๆ ฉันไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้มาก่อนเลย” หลี่เล่ยเล่ยหน้าแดง เธอฝืนความเขินอายและยิ้มแห้ง ๆ ออกมา

“คุณสามารถกินได้มากกว่านี้เลยนะครับ และคุณสามารถมาเยี่ยมเราได้ทุกเมื่อ” โจวอี้ยิ้ม

“อืม…”

แม้ว่าหลี่เล่ยเล่ยจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอับอาย แต่เธอก็ยังตัดสินใจที่จะถือเอาคำพูดของโจวอี้เป็นคำอนุญาตจริงจัง เธอจะหาโอกาสมาที่นี่อีกเพื่อทานอาหารอร่อย ๆ!

“บาร์บีคิวที่พี่ชายทำเนี่ยโอชารสที่สุดในโลก” ถงหู่พูดเสริมขึ้นมา

บาร์บีคิว?

แววตาของหลี่เล่ยเล่ยเป็นประกาย

เธอชอบกินบาร์บีคิวมาก ว่าแต่บาร์บีคิวของคุณโจวดีกว่าอาหารพวกนี้อีกเหรอ?

ถ้าได้กิน คงต้องเป็นมื้อที่วิเศษที่สุดแน่ ๆ

หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ ถงหู่ก็มีหน้าที่ขจัดเศษอาหารและทำความสะอาดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ในขณะที่คนอื่น ๆ มาที่ห้องนั่งเล่น

“คุณโจว ฉันคุยกับเสี่ยวรุ่ยมาก่อนแล้วก็เลยได้รู้ว่าเธอยังไม่ได้ไปโรงเรียน ทำไมคุณไม่ส่งเธอกับเหมียวเหมี่ยวไปโรงเรียนด้วยกันล่ะ?” หลี่เล่ยเล่ยถามด้วยความสงสัย

“เสี่ยวรุ่ยมีปัญหากับขาของเธอครับ ไม่สะดวกที่จะไปโรงเรียนในตอนนี้ แต่ผมกำลังรักษาขาให้เธออยู่ ซึ่งหลังจากนี้สักระยะหนึ่งคงจะหายดีแล้ว หลังจากนั้นผมก็จะให้เธอไปโรงเรียน” โจวอี้อธิบาย

ทันใดนั้นหลี่เล่ยเล่ยก็เห็นความผิดปกติกับขาซ้ายของถังเสี่ยวรุ่ย

“ครูเล่ยเล่ย ว่าแต่คืนนี้คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?” โจวอี้ถาม

“อ้า… ดูความจำของฉันสิ เฮ้อ…” หลี่เล่ยเล่ยตบหน้าผากและพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง “อันที่จริงฉันมาเยี่ยมคุณเพื่ออะไรบางอย่างน่ะ”

“พูดมาได้เลยครับ” โจวอี้พยักหน้า

“คุณโจว ช่วงนี้ที่โรงเรียนเรามีไข้หวัดระบาด เด็กกว่าครึ่งในชั้นเรียนของเราเป็นหวัดและมีไข้ บางคนมีอาการร้ายแรงถึงขนาดต้องขอลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ฉันรู้ว่าคุณเป็นแพทย์จีนและทักษะทางการแพทย์ของคุณก็ดีมาก ฉันก็เลยมาที่นี่เพื่อถามว่าคุณสามารถหาเวลาไปโรงเรียนเราและให้ยาจีนที่ป้องกันหวัดโดยไม่มีผลข้างเคียงให้กับเด็ก ๆ ไหม?”

“ได้สิครับ!” โจวอี้ตกลงทันที

ลูกสาวของเขาเองก็ต้องไปโรงเรียนทุกวัน การที่เด็กในชั้นเป็นหวัดมีไข้หลายคน มันย่อมมีความเสี่ยงสูงที่ลูกสาวของเขาจะติดหวัดมาด้วย

“ขอบคุณค่ะ! ว่าแต่คุณโจวคิดว่าสะดวกเมื่อไหร่คะ?” หลี่เล่ยเล่ยถามอย่างเร่งรีบ

“พรุ่งนี้เช้าผมจะไปตลาดยาเพื่อซื้อวัตถุดิบยาทั้งหมดที่จำเป็น แล้วผมจะไปโรงเรียน จริงสิ ผมใช้ครัวของโรงเรียนได้ไหม? ผมต้องการสถานที่สำหรับปรุงยา”

“ได้เลย คุณสามารถใช้ครัวของเราได้เลย”

“พรุ่งนี้ผมจะไปโรงเรียนกับเหมียวเหมี่ยว แต่อาจจะสายกว่าเดิมสักหน่อย”

“ได้ ๆ”

เช้าวันรุ่งขึ้น

อากาศหนาวเย็นพัดโหมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

ถงหู่กำลังขับ Knight XV อยู่บนถนนซึ่งมันดูเจ๋งมาก แต่บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้ขับรถบ่อยนัก ดังนั้นจึงรู้สึกประหม่าเมื่อเขาจับพวงมาลัยรถคันนี้

เขาไม่กลัวอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เขากลัวที่จะชนรถคันอื่นและฆ่าคนอื่นโดยไม่ตั้งใจด้วยรถคันมหึมานี้มากกว่า

“เสี่ยวหู่ได้ใบขับขี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” โจวอี้ถามขณะอุ้มถังเหมียวเหมี่ยวอยู่ที่เบาะหลัง

“เมื่อเกือบสองปีที่แล้วน่ะ ตอนที่ผมออกจากภูเขาชางหลางครั้งล่าสุดไง”

“นายขับรถไม่เก่งเลย! ไม่ต่างจากคนไม่มีใบขับขี่เลย!” โจวอี้หยอกล้อ

“มันแน่อยู่แล้ว เพราะหลังจากสอบใบขับขี่เสร็จ ผมก็ไม่ได้แตะรถอีกเลย” ถงหู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้ ทำไมไม่บอกฉันก่อนล่ะ! ฉันจะได้ซื้อให้นายสักคัน”

“พี่คิดว่ามีรถแบบไหนบ้างที่สามารถเอาไปขับในภูเขาชางหลางได้?” ถงหู่ถามกลับ

“ก็จริง”

โจวอี้หัวเราะแห้ง ๆ

ภูเขาชางหลางมีแต่เส้นทางเดินเท้าที่ทั้งแคบและขรุขระ แน่นอนว่าไม่มีถนนสำหรับรถ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านโจวเมี่ยวถึงไม่มีรถยนต์สักคัน

แม้แต่เครื่องจักรการเกษตรที่ทุกคนในหมู่บ้านแบ่งกันใช้ก็ดูเหมือนจะถูกชาวบ้านขนย้ายกันไปเอง

ปัง!

ทันใดนั้นเสียงกระทบหนัก ๆ ก็ดังขึ้น

โจวอี้อุ้มลูกสาวและมองออกไปทางหน้าต่างรถ ทันใดนั้นเขาก็เห็นรถสีแดงที่คุ้นเคย

ป้ายทะเบียนรถคันนี้…

โจวอี้หรี่ตาและยิ้มออกมา

เขาจำได้ว่าเป็นรถของเหวินเสี่ยวเซียวที่เคยชนรถเขาเมื่อวานนี้ แต่วันนี้สถานการณ์กลับกัน เพราะมันเป็นรถอีกคันที่ชนรถของเธอ

“หญิงสาวผู้โชคร้าย…” โจวอี้พึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม

“พ่อคะ ใครคือหญิงสาวผู้โชคร้าย” ถังเหมียวเหมี่ยวถาม

“คุณป้าผู้อาภัพมากคนนั้นยังไงล่ะ” โจวอี้ชี้ออกไปนอกหน้าต่าง

เขาเห็นเหวินเสี่ยวเซียวลงจากรถด้วยสีหน้าตกตะลึง แล้ววิ่งไปที่หลังรถเพื่อตรวจสอบสภาพรถ ในขณะที่ชายหนุ่มที่ชนรถของเธอก็ลงจากรถด้วยท่าทางสำนึกผิด

[1] ซอสฮัวเตียว (Huadiao Sauce) เป็นซอสที่คนจีนนิยมใช้สำหรับปรุงรส หมัก ผัด ตุ๋น