ตอนที่ 75 เมืองที่ถูกเรียกว่าอิชกะ

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 75 เมืองที่ถูกเรียกว่าอิชกะ

ในวันเดียวกันนั้นเอง ก็ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้กับประชาชนทั้งหมดของเมืองอิชกะให้ทราบ ในนามของสำนักงานเมืองอิชกะและกิลด์นักผจญภัยอิชกะ

โดยเนื้อหาในประกาศนั้นกล่าวถึงฝูงมอนสเตอร์ที่กำลังจะทะลักออกมาจากป่าทีทิสตรงมาที่เมืองอิชกะ

ส่งผลทำให้เหล่านักผจญภัยภายในเมืองตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก ท้องถนนตอนนี้ก็ถูกลุมล้อมไปด้วยบรรยากาศแห่งความวุ่นวายจากพวกเขา

แต่อย่างไรก็ตาม มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ถือเป็นภัยคุมคามจริงๆ

เพราะหากได้อาศัยอยู่ในเมืองอิชกะซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งนักผจญภัยแล้ว การได้ยินเรื่องของมอนสเตอร์ก็ต้องผ่านหูพวกเขามาทุกวันอยู่แล้วไม่ว่าจะต้องการหรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์นั่นปรากฏตัวตรงนั้น ไอ้ตัวนี้เจอตรงนี้ การส่งคนไปปราบมอนสเตอร์ เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกวันอยู่แล้ว ถึงจะเป็นคนธรรมาก็สามารถรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเย็นเลย

ทว่า มันก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่มีกลุ่มมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ทำลายหรือปีนข้ามกำแพงเมือง จนหลุดเข้ามาได้เลย

เพราะความเสียหายจากการปะทุของพวกมอนสเตอร์ที่คลุ้มคลั่งในอดีตจากเขาสกิมทำให้กำแพงเมืองอิชกะตอนนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแน่นหนากว่าเดิมหลายเท่า

พอผู้คนรู้ถึงเรื่องเหล่านี้มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสบายใจมากขึ้นเท่านั้น

พวกเขาต่างเชื่อว่า ไม่มีทางที่ฝูงมอนสเตอร์จะหลุดเข้ามายังเมืองอิชกะได้ แต่ถึงจะหลุดเข้ามามันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่หลวงอะไร ยังไงพวกมันก็น่าจะถูกทหารไม่ก็นักผจญภัยจัดการอยู่แล้ว

หลังจากที่ผมกลับมาจากกิลด์ ผมก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะเม้มริมฝีปาก

ก็ไม่ได้มีเจตนาอยากจะดูถูกการมองโลกในแง่ดีของพวกเขาว่าเป็นพวกโง่เง่าที่ใช้ชีวิตอย่างสงบมาตลอดหรอกนะ

เหตุผลที่เมืองอิชกะยังสามารถดำเนินต่อไปได้แม้จะมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นก็เพราะชาวเมืองเชื่อว่า “เดี๋ยวทุกอย่างก็จะออกมาดีเอง”

พวกเขาคุ้นเคยกับการที่เห็นพวกมอนสเตอร์ถูกจัดการและพวกเขาก็เชื่อมั่นในทหารและเหล่านักผจญภัยว่าสามารถปกป้องเมืองแห่งนี้ได้ จึงตัดสินใจใช้ชีวิตกันต่อไปโดยไม่ตื่นตระหนก จะว่าไปนี่คงเป็นอีกหนึ่งในจุดแข็งของเมืองอิชกะเลยมั้ง

――แต่ก็เพราะแบบนี้แหละเลย รู้สึกเหมือนโดนประชดอยู่เลยแฮะ

ถ้าจะถามว่าเพราะอะไรก็คงจะเป็นเพราะผมรู้ว่าเอลการ์ดทำไมจำเป็นต้องเตะผมออกมาจากกิลด์แล้วพยายามจบเรื่องก่อนหน้านี้อย่างเงียบๆ ไง สถานการณ์ในตอนนี้มันบอกได้ชัดเลย

หากผมเปิดเผยเรื่องการกระทำที่แสนน่าอับอายของดาบฮายาบูสะไป..กระแสสังคมอาจจะคิดขึ้นมาก็ได้ว่า”พวกนักผจญภัยที่มีอยู่อาจจะใช้พวกตนเป็นเหยื่อล่อแล้วหนีไปแทน” ยิ่งถ้ามีสถานการณ์ตอนนี้เข้ามาสุมไฟด้วยแล้วคงไม่ต้องนึกถึงสภาพความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในเมือง

เรื่องต่างๆ ก็คงจะเลวร้ายไปมากกว่านี้หลายขุม

พอผมเห็นแบบนี้แล้ว การกระทำของเอลการ์ดก็ดันสมเหตุสมผลขึ้นมาซะงั้น――เอาเถอะถึงจะน่ารำคาญไปบ้างแต่เขาก็ไม่ผิดจริงๆ นั่นแหละ

「น่ารำคาญจริงๆ เลยน้า」

พอผมเข้ามาในห้องของตัวเอง ผมก็ถอนหายใจพร้อมกับส่งเสียงออกมา

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน มนุษย์ก็มีมุมมองเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ถึงเอลการ์ดจะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะให้อภัยต่อการตัดสินใจของเขาหรอกนะ

หลังจากจบเรื่องมอนสเตอร์คลุ้มคลั่งนี่แล้ว ผมก็จะดำเนินแผนการต่อสู้กับกิลด์อย่างสันติส่วนท้ายในทันที

นอกจากนี้ผมน่าจะใช้ เซอร์เกร (กิลด์มาสเตอร์เมืองหลวงคานาเรีย) มาเป็นหมากได้ด้วย จากนั้นก็ทำการเตะลิดเดลออกจากกิลด์ไป ก็จริงว่าถ้าไปขอเฉยๆ คงจะไม่ได้ผล แต่ถ้าผมลองบอกว่า”การตัดสินใจของเธอจะช่วยกิลด์มาสเตอร์ของเธอได้นะ” โอกาสที่จะเตะเธอออกกิลด์ก็ไม่น่าจะเป็นศูนย์

ถึงพนักงานต้อนรับคนนี้จะไม่ค่อยแสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมามากนักแต่เธอก็เป็นศัตรูและแสดงความระมัดระวังกับผมเป็นอย่างมากไม่ต่างจากมิโรสลาฟในอดีตเลย

ระหว่างที่คิดเรื่องพวกนี้ ผมว่ามันก็น่าจะได้เวลาเดินทางละนะ

ที่แรกที่ผมจะเดินทางไปไม่ใช่ป่าทีทิส แต่เป็นหมู่บ้านที่อยู่ทางต้นน้ำของแม่น้ำเคล ซึ่งมีเรื่องของโรคระบาดปรากฏขึ้น

เพราะมันไม่มีทางอยู่แล้วที่มอนสเตอร์ทั้งป่าจะโถมมายังเมืองอิชกะอย่างเดียว หากคิดดูดีๆ มันคงจะสมเหตุสมผลกว่าถ้ามีบางส่วนหมายจะโจมตีหมู่บ้านที่ใกล้ป่ามากที่สุด

เหล่าทหารและนักผจญภัยต่างก็เริ่มจัดเตรียมกองกำลังเพื่อไปยังหมู่บ้านนั้นเช่นเดียวกัน แต่ผมที่สามารถขี่ไวเวิร์นได้ ก็คงต้องบอกว่าไม่มีใครเดินทางได้เร็วเท่าผมแล้วล่ะนะ

ผมรับคำขอของเอลการ์ดอย่างไม่ลังเล ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่ามันสามารถสร้างชื่อให้กับแคลนผมได้ นอกจากนี้ผมก็อยากรู้ด้วยว่าพิษระดับไหนกันที่ผลจิไรอาโอคุสมันไม่ได้ผล

ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ยารักษาที่สร้างจากสหภาพองค์กรค้าทาส ซึ่งนำผลจิไรอาโอคุสมาเจือจางเพื่อทำยา

ผมอยากจะรู้ว่ามันเป็นที่ตัวยารักษาไม่ได้ผลหรือผลจิไรอาโอคุสไม่ได้ผลจริงๆ กันแน่

หากเป็นอย่างแรกก็คงจะหาทางแก้ไขกันไปได้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลังอันนี้ก็งานหยาบแน่

แน่นอนว่าผมก็คิดเผื่อๆ ไว้เหมือนกัน โดนส่วนหนึ่งก็ได้ไอเดียมาจากเรื่องที่ลูนามาเรียบอกผมก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงที่หลับนอนกับผมจะแข็งแกร่งขึ้น

จากที่ผมรู้ ผมก็น่าจะพอเดาได้ว่าของเหลวในร่างกายของผมมีผลต่อคนอื่น หากเป็นแบบนี้ผมน่าจะสามารถผสมมันเข้ากับยารักษาเพื่อเพิ่มพลังในการรักษาของมันได้ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้หรอกนะว่าผลที่ออกมาจะเป็นหน้าไหน

「เอาเป็นว่าฝากเรื่องนี้ไว้กับมิโรสลาฟก็แล้วกัน」

เหตุผลที่ผมขอให้มิโรสลาฟทดลองเรื่องพวกนี้แทนลูนามาเรียก็เพราะผมมองว่าจอมเวทสาวคนนี้น่าจะเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า

ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผมและเธอใช้เวลายามค่ำคืนร่วมกันแล้ว นอกจากนี้เธอก็เป็นคนที่ได้ลิ้มรสถึงพลังที่เพิ่มขึ้นจากของเหลวของผมด้วย แน่นอนว่าเธอพยักหน้ายอมรับหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่ลังเล

「เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะทำตามความคาดหวังของคุณให้ได้เอง มาสเตอร์」

「อื้ม งั้นก็ฝากเธอด้วยล่ะ ส่วนลูนามาเรีย ชีล แล้วก็ซูซูเมะ พวกเธอช่วยย้ายข้าวของคราว โซราสจากคอกมาที่นี่ให้หน่อยสิ」

เนื่องจากว่าคอกตอนนี้มันอยู่นอกกำแพงเมืองอาจจะมีปัญหาเรื่องการถูกมอนสเตอร์เข้าโจมตีได้ สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ผมว่าผมน่าจะคุยกับทางสำนักงานเมืองผ่านเอลการ์ดเพื่อขอใบรับรองได้นะ

โชคดีที่บ้านของผมมันมีขนาดใหญ่โดยไม่จำเป็น จนมีพื้นที่พอให้ไวเวิร์นสัก1-2ตัวอาศัยอยู่ได้

แต่ถ้าผมปล่อยให้มันอยู่ในสวนเฉยๆ มันก็คงได้งอนผมแน่ ดังนั้นผมคงต้องสร้างคอกมีหลังคาให้มันด้วย ดังนั้นผมจึงขอให้ลูนามาเรียช่วยเหลือในเรื่องนี้แทน

「ฉันฝากเรื่องนี้ไว้กับเธอแล้วกันนะ ถ้าเธออยากจะจ้างคนมาช่วยก็ใช้เงินส่วนนี้ได้ตามต้องการเลย」

「ค่ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันได้เลยนายท่าน」

「……ฉันไม่ใช่นายท่านของเธอแล้วสักหน่อย」

「…งั้นมายดาร์ลิงค์เป็นไงคะ」

「ขอเป็นมาสเตอร์ก็แล้วกันนะครับ….」

ผมละตกใจกับการกระทำและคำพูดของเอลฟ์คนนี้จริงๆ ที่ดันพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง ผมจึงเล่นไปตามน้ำ

ก็รู้หรอกนะว่าล้อเล่น แต่รอยยิ้มที่ลูนามาเรียส่งออกมามันทำให้ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ แฮะ หรือเธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่มิโรสลาฟเข้ามาร่วมแคลนกันนะ?

ก็จริงว่าพอมิโรสลาฟเข้าแคลนมา จำนวนครั้งที่ผมใช้ร่วมกันยามค่ำคืนกับลูนามาเรียมันน้อยลงกว่าครึ่ง….ไม่หรอกน่า…ไม่หรอกมั้ง ลูนามาเรียไม่น่าจะเป็นคนประเภทนั้นหรอกเนอะ

แต่ถ้าถามผมว่า”ถ้างั้นเธอเป็นคนประเภทไหนกันล่ะ?” ไอ้ผมก็คงจะตอบได้ยากอยู่ดีแหละ

ทางชีลเองก็เหมือนจะส่งสายตายั่วยวนมาให้ผมทุกคืนเลยนี่สิ….มันมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแหละ

ทางผมก็อยากได้คนมาเพิ่มสำหรับการกินวิญญาณหรอกนะ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนอะไรมันก็ออกมาดีไปหมดเลยล่ะ ไม่ค่อยสบายใจเลยแฮะที่ราบรื่นแบบนี้

「…เอาเถอะ สุดท้ายไม่ว่าเหรียญจะออกมาหน้าไหน มันก็เป็นการตัดสินใจของเราเองนี่ จะโทษใครได้」

ผมได้แต่พึมพำกับตัวเองโดยไม่ให้ใครได้ยิน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็คือคนที่ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา โดยไม่สามารถแย้งอะไรได้

ผมพยักหน้าให้กับตัวเองก่อนจะตอกฝากโลงแห่งความไม่สบายใจลงไป

◆◆◆

หลังจากนั้นผมก็ขึ้นขี่คราว โซราสแล้วเดินทางไปยังทางเหนือตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่ผมเห็นเป็นอย่างแรกเลยก็คือแนวกั้นที่พวกทหารของคานาเรียตั้งขึ้น

มีทั้งการสร้างสนามเพลาะและรั้วสามชั้นปิดทางเอาไว้ นอกจากนี้พวกเขายังสร้างหอคอยแบบง่ายขึ้นมาไว้สอดส่องด้วย แต่การกระทำทั้งหมดมันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ไม่สิถ้าเร็วขนาดนี้พวกเขาน่าจะใช้เวทมนตร์ละมั้ง

พอคราว โซราสผ่านเหนือหัวพวกเขาไป พวกทหารก็เงยหน้ามองบนฟ้าด้วยความตกใจ ก่อนที่จะส่งเสียงโห่ร้องออกมา

พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงเชียร์ผมหรอกนะเอ้อ แต่เป็นเจ้าคราว โซราสต่างหาก เป็นที่นิยมจังเลยน้อ

――แต่ถึงใจจะรู้ดี มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้หรอกนะ ก็แบบว่าผมไม่เคยถูกคนจำนวนมากตะโกนส่งเสียงเชียร์ขนาดนี้มาก่อน ตอนเป็นนักผจญภัยนี่นา

หลังจากนั้นพอพวกผมบินกันต่อไปเรื่อย ก็พบว่ามีกลุ่มควันลอยขึ้นมาในอากาศ

ต่อจากควันก็เป็นแสงสีแสงที่ส่องออกมา ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากแรงระเบิดของเวทไฟ พอผมมองเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่ามีกลุ่มคนกำลังแกว่งอาวุธของตนไปมากลางควันนั้น

ดูจากชุดที่ใส่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว คงจะไม่ใช่พวกทหาร ดังนั้นก็น่าจะเป็นพวกนักผจญภัยที่เอลการ์ดส่งมา แต่จำนวนมันก็ไม่ได้มากนัก เอลการ์ดน่าจะพอเดาได้แล้วมั้งว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ดูเหมือนพวกเขากำลังพยายามใช้เวทและลูกศรในการลดจำนวนของมอนสเตอร์ลงระหว่างการล่าถอย พวกเขากำลังพยายามจะซื้อเวลา แต่สภาพในตอนนี้ถึงจะเป็นกองทัพที่ถูกฝึกมาก็ยากจะรับมือได้ ดังนั้นนักผจญภัยพวกนี้ก็คงจะลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย

พอเห็นแบบนี้ผมก็ยิ้มออกมา

「ไปกันเลย คราว โซราส! ยังไงพวกเราก็ตั้งใจจะมาจัดการเรื่องพวกนี้อยู่แล้วนี่!」

พอผมตะโกนออกมาราวกับกำลังคำราม เจ้าไวเวิร์นของผมก็ส่งเสียงตอบรับที่น่าเชื่อถือกลับมา

ดูท่ามันจะตื่นเต้นจากเสียงเชียร์ก่อนหน้านี้เหมือนกันแฮะ

จากนั้นพวกผมทั้งสอง ซึ่งเป็นเจ้านายและอสูรรับใช้ก็ฝ่าลมกระโชกพุ่งพัดผ่านเข้าไปยังกลุ่มควันนั้น

———

Note 1 : มีคนไม่พอใจที่โดยแย่งเวลาไป หุหุ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code