ตอนที่ 76 วิธีต่อสู้แบบอัศวินมังกร
หลังจากผมพุ่งลงไปยังพื้นที่การต่อสู้พร้อมกับคราว โซราส ผมก็ชักดาบออกมาแล้วเริ่มจัดการกับศัตรูด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว――แต่ผมทำอย่างที่บอกไม่ได้หรอกนะ
ถ้าจะให้พูดก็คือระยะดาบของผมที่ขี่ไวเวิร์นอยู่มันไม่ถึงตัวศัตรูน่ะสิ จากที่แอสทริดได้บอกกับผมระหว่างที่อยู่เมืองหลวง เหล่าอัศวินมังกรของอาณาจักรคานาเรียมักจะใช้หอกยาวกับหน้าไม้เป็นอาวุธพื้นฐานตอนอยู่บนหลังไวเวิร์น
ตอนแรกผมก็กะจะทำแบบนั้นตามหรอกนะ แต่ในกรณีของผมที่มีทั้งการโจมตีระยะไกลจากพลังคิ นอกจากนี้ก็มีเวทไฟที่มิโรสลาฟสอน? ให้ผมอีกด้วย ดังนั้นของพวกนี้จึงไม่จำเป็นสำหรับผม แถมไม่มีความจำเป็นต้องเลือกจับอาวุธที่ตนไม่คุ้นเคยด้วย
อีกทั้งยังมีพลังของคราว โซราสอีก แค่ผมปล่อยให้มันจัดการ ผมว่าพลังทำลายล้างก็น่าจะมากกว่าหอกหรือหน้าไม้ไปไกลโขแล้ว
บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่ขวางการเคลื่อนไหวของมันด้วยซ้ำ
เหมือนผมจะเคยบอกไปแล้วมั้ง ว่าไวเวิร์นมันไม่ได้ใช้แค่ปีกของมันในการควบคุมการบิน แต่มันยังใช้มานาในร่างกายของมันประคองร่างไปด้วย ไม่ว่าจะบินขึ้นลงหรือโฉบไปมา
สำหรับตอนนี้คราว โซราสมันก็เสริมพลังด้วยมานาและพุ่งลงมากระแทกพื้นอย่างเต็มกำลัง ผลกระทบจากการกระทำมันรุนแรงพอๆ กับการที่หินก้อนใหญ่ถูกยิงออกมาจากหนังสติ๊กกระแทกกับพื้น
มีเศษดินและหินจำนวนมากปลิวว่อนอยู่ในอากาศ ทันทีที่สิ้นเสียงกระแทกก่อนจะร่วงลงสู่พื้นราวกับสายฝน
บริเวณที่คราว โซราสลงจอดนั้นเป็นหลุมราวกับมีอุกกาบาตตกลงมา มอนสเตอร์ที่เคยยืนอยู่ตรงจุดนั้นก็เละจนไม่เหลือซากเดิม
เศษเลือดของพวกมันกระจายไปทั่วจนย้อมผืนดินให้กลายเป็นสีแดง
พวกมอนสเตอร์ที่คลุ้มคลั่งซึ่งกำลังพยายามจู่โจมพวกนักผจญภัย ก็หยุดมือราวกับตกตะลึงถึงสิ่งที่เห็น
ในด้านของพวกนักผจญภัยก็ไม่ต่างกัน ความเงียบงันได้ปกคลุมพวกเขาทันทีหลังจากเห็นภาพทุ่งสังหารตรงหน้า ผมใช้จังหวะนี้ในการตะโกนบอกพวกเขาด้วยเสียงที่ดังลั่น
「พวกนักผจญภัยทั้งหลาย! ตรงนี้แคลนดาบควันโลหิตจะเป็นคนรับมือเอง! รีบถอยไปได้แล้ว!」
ผมพูดออกมาอย่างสง่าจนอยากจะเอามือไปแตะจมูกหน่อยๆ เลยแฮะ
――ตรงนี้ไว้ใจฉันได้เลยแล้วก็รีบไปซะ!
ถึงลักษณะคำพูดที่คิดไว้จะต่างกันเล็กน้อย แต่อย่างน้อยผมก็อยากจะพูดประโยคทำนองนี้สักครั้งหนึ่งมานานแล้ว ก็รู้หรอกนะว่าไม่ควรแต่มันอดรู้สึกดีไม่ไหวจริงๆ
ระหว่างที่ผมคิดเรื่องนี้อยู่พวกมอนสเตอร์ก็เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ถึงจะมีพวกที่ตกใจ สับสน หรือกลัว คราวโซราสอยู่ก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ผลกับพวกมอนสเตอร์ที่ตามมาด้านหลังจากนี้
หลังจากที่พวกผมจัดการ กระทืบ กวาดล้างพวกที่กำลังตกใจอยู่ มอนสเตอร์ฝูงใหม่ที่ตามมาจากด้านหลังก็เริ่มกรูเข้ามาหาพวกผมทีละตัว จนหลังๆ มันโถมเข้ามาหนักขนาดที่เหยียบพวกเดียวกันด้วยซ้ำ
ผมก็เลยบอกให้คราว โซราสบินขึ้นด้านบนเพราะถ้าปล่อยให้ตัวเองถูกล้อมไว้แบบนี้เดี๋ยวจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกเอา
「คราว โซราส ลุยกันต่อเลย แต่รอบนี้เราจะไม่สู้บนพื้นแต่เปลี่ยนเป็นบินโฉบพวกมันแทน」
「กิ้ว!」
คราว โซราสตอบรับคำสั่งของผมก่อนจะกางปีกออกกว้าง
ทว่า หากต้องการจะบินโฉบลงไปด้านล่างเพื่อสร้างความเสียหาย ก็จำเป็นต้องบินวนไปมาในอากาศเพื่อเพิ่มความเร็วเสียก่อน พอพิจารณาถึงความเร็วของพวกมอนสเตอร์ฝูงใหม่แล้ว พวกมันอาจจะตามพวกนักผจญภัยทันก่อนที่ผมจะจัดการหมดก็ได้
ชิ! ผมเดาะลิ้น
ก็รู้แหละว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่เลยในการต่อสู้กับฝูงมอนสเตอร์จำนวนมากขนาดนี้ ก็คงต้องยอมรับว่าผมไม่มีประสบการณ์ในฐานะอัศวินมังกรจริงๆ
หากเป็นดยุกดรากูนอทหรือแอสทริด ผมมั่นใจเลยว่าพวกเขาคงหาทางสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าผมเยอะ
「เอาเถอะ จะมาเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร เอาเป็นว่าต้องหาทางหยุดพวกมันให้ได้ก่อน――『ดอกไม้แห่งเปลวไฟ ที่กำเนิดมาจากเปลวเพลิง จงเติบโตและเบ่งบาน ออกผลและร่วงหล่น』」
ผมได้ทำการร่ายเวทใหม่ที่มิโรสลาฟส่งผ่านมาให้กับผม
มันเป็นเวทที่แท้จริงระดับ 3 ถึงพลังของมันจะไม่ได้ใกล้เคียงกับ 『องค์หญิงแห่งเปลวเพลิง』ซึ่งเป็นเวทที่แท้จริงระดับ 5 แต่เวทนี้มันใช้งานบนหลังไวเวิร์นได้ง่ายกว่า
เป็นเวทที่จะทำการทิ้งระเบิดหลังจากร่ายเสร็จ
「『จงระเบิด――โฮเซ็นกะ』」
มีสิ่งที่คล้ายกับผลไม้สีแดงปรากฎขึ้นมาในอากาศ 30 ลูก โดยที่แต่ละลูกมีขนาดพอๆ กับหัวของผม จากนั้นพวกมันก็เริ่มร่วงหล่นลงไปที่พื้นราวกับว่ารับน้ำหนักของร่างตนไว้ไม่อยู่
วินาทีที่ผลเหล่านั้นตกลงสู่พื้น พวกมันก็ระเบิดขึ้นทันที
เปลวเพลิงที่บรรจุอยู่ภายในนั้นลุกโชนออกมาและกระจายออกไปรอบๆ ความร้อนได้ฟุ้งไปทั่ว จนรุนแรงพอจะเผาไหม้ผิวหนังของมนุษย์ได้โดยง่าย
ซึ่งมันส่งผลทำให้เหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่บนพื้นส่งเสียงร้องออกมา
ก็อย่างที่ว่าไป พลังของโฮเซ็นกะ (ดอกไม้แห่งฟินิกซ์) มันไม่ได้เท่า องค์หญิงแห่งเปลวเพลิงหรอกถ้าเทียบในการโจมตีโดยตรง แต่หากเป็นการโจมตีวงกว้างไอ้นี่ก็จะได้ผลพอที่จะทำให้พวกมอนสเตอร์กรีดร้องออกมา
นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบของมนตร์ที่เน้นไปในการสกัดพวกมอนเตอร์แล้วทั้งในแง่การของร่ายที่สั้นและสามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องละบทร่ายบางส่วนจนทำให้พลังทำลายลดลง อีกทั้งยังเร่งความรุนแรงของมันได้โดยการกระตุ้นใส่พลังคิลงในเวทได้ด้วย
ด้วยเวทที่ผมใช้บนหลังไวเวิร์นนี้ก็จะทำให้พวกมอนสเตอร์ไม่สามารถกระจุกกันเป็นกลุ่มได้
จบเรื่องนี้คงต้องไปขอบคุณมิโรสลาฟที่ช่วยหาเวทซึ่งเหมาะสำหรับใช้บนหลังไวเวิร์นซะแล้วสิ
「เฮ้อ น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแฮะ..」
「กิ๊ว……」
「ม-ไม่ใช่อย่างงั้นสักหน่อย ฉันไม่ได้จะโทษนายนะ! การโจมตีเมื่อกี้ของนายก็ได้ผลดีออก!」
「กิ้ว? 」
「จริงๆ นะเอ้อ!」
สุดท้ายก็ต้องมาให้กำลังใจคราว โซราสใหม่ ไม่นานนักภารกิจที่ผมได้รับมาก็เหมือนจะเสร็จสักที
พอผมมองดูสภาพโดยรอบ ก็พบว่านักผจญภัยส่วนใหญ่เริ่มล่าถอยกันไปไกลแล้ว พวกนักผจญภัยก็มักจะเคลื่อนไหวกันตามความต้องการของตัวเองนี่แหละน้อ จะดีแย่ยังไงเดี๋ยวพวกเขาก็ไปรับผลทีหลังเอง ซึ่งแตกต่างจากพวกทหารที่ต้องทำการคำสั่งผู้บังคับบัญชา
หากความเร็วยังประมาณนี้ผมน่าจะถอยกลับได้เหมือนกันหลังจากเก็บพวกมอนสเตอร์อีกสัก 2-3กลุ่มใหญ่ๆ
ผมยังมีเรื่องที่ค้างคาในใจอย่างหมู่บ้านที่เกิดโรคระบาดขึ้นมาได้ด้วย ดังนั้นก็รีบๆ จบงานตรงหน้านี้ก่อนแล้วกัน
พอคิดได้แบบนี้ผมก็เริ่มโน้มตัวเข้าไปชิดกับอานเพื่อเตรียมตัวโจมตีอีกระลอก
◆◆◆
หลังจากช่วยพวกนักผจญภัยเสร็จแล้ว ผมก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำเคลตามแผนที่วางไว้
บริเวณแม่น้ำเคลมีเรือเยอะกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ
ซึ่งเรือดังกล่าวก็น่าจะเป็นเรืออพยพของคนในหมู่บ้าน เพราะตอนนี้มอนสเตอร์มันอยู่เต็มถนนไปหมดเลยนี่เนอะ เส้นทางน้ำก็เลยเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสุดในตอนนี้
พอคนบนเรือเห็นคราว โซราสเข้าก็ดูเหมือนจะเข้าใจผิดกันว่าเป็นมอนสเตอร์แล้วส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่พอผมโบกมือให้พวกเขา เสียงกรีดร้องดังกล่าวก็กลายเป็นเสียงเชียร์ด้วยความยินดีแทน
พวกเขาอาจจะคิดว่าภาคีอัศวินมังกรจากเมืองหลวงส่งกองกำลังมาช่วยพวกเขาแล้ว เอาเถอะถึงจะไม่ใช่แต่ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีบแก้ข่าวอะไรมากหรอก
จากนั้นผมก็ร่อนลงมาที่หมู่บ้านซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ
สภาพที่ผมเห็น หมู่บ้านนี้ก็ไม่รอดพ้นจากการโจมตีของพวกมอนสเตอร์ แต่ร่องรอยความเสียหายก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก ตรงจุดนี้น่าจะเป็นเพราะพวกยามรักษาการณ์หมู่บ้านกับพวกชาวบ้านช่วยกันขับไล่มอนสเตอร์ได้สำเร็จ
หลังจากรับมือกับพวกมันเสร็จ พวกเขาก็น่าจะเริ่มอพยพกันด้วยเรือที่ทางเมืองอิชกะส่งมา
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถอพยพออกจากหมู่บ้านได้ในทันที ตรงจุดนี้แหละที่พวกเจ้าหน้าที่เมืองกังวลกันว่าจะทำยังไงดี
พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับคนที่ป่วยจนไม่สามารถขยับได้เพราะพิษ
พอผมรู้แบบนั้นก็เลยไปบอกกับพวกเขาว่าผมมีของที่สามารถช่วยแก้พิษได้ดีกว่าอันที่ขายในตลาด แต่ถึงเขาจะได้ยินแบบนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
เพราะผู้ป่วยที่เหลืออยู่ตอนนี้อยู่ในระยะที่ถึงมียารักษาก็ไม่น่าช่วยได้แล้ว――ผมเก็บเรื่องที่คุยกับเจ้าหน้าที่มาคิด ก่อนจะเดินเข้าไปยังจุดที่ผู้ป่วยกักตัวอยู่
ทันทีที่ผมเข้ามาถึง กลิ่นฉุนของเนื้อที่เน่าก็โชยมาโดนจมูกผม นี่ขนาดว่าผมใช้ผ้าปกปากหลายชั้นที่เจ้าหน้าที่ให้มาแล้วนะ กลิ่นยังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
ภายในนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกลื่นเหม็นและความมืดมิด ผมไม่ได้ยินเสียงใครพูดออกมาเลย ไม่สิขนาดเสียงร้องครวญครางยังไม่ได้ยินเลย
ผมขมวดคิ้วออกมาโดยไม่รู้ตัว และเท้าของผมก็หยุดลงราวกับว่า…สถานที่แห่งนี้ปฏิเสธสิ่งมีชีวิตและไม่ยอมให้ตัวตนเหล่านั้นเข้ามาได้
แต่จะกลับไปตอนนี้เลยก็ไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจก้าวเดินต่อไป
และพอผมเดินไปถึงเตียงของผู้ป่วยคนหนึ่ง ผมก็ได้ทำการตรวจสอบร่างของเขาที่นอนอยู่
ภาพที่ผมเห็น…มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจจริงๆ
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code