ตอนที่ 76-3 หนอนพิษ

ทหารองครักษ์กําลังจะร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเขารู้สึกว่า บริเวณจากปากไปจนถึงใบหน้าของเขาแสบร้อนและสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าเปลวไฟกําลังจะลุกลามไปยังส่วนที่เหลือ

“หลี่เว่ยหยางเจ้าทําอะไรลงไป?”

ทั่วเปาหยูหันมาหานางทันที ขณะที่หลี่เว่ยหยางยิ้มจนเผยให้เห็นลักยิ้มของนาง

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันหญิงสาวคู่นี้มีความโหดเหี้ยมและน่าหวาดกลัว ซึ่งไม่น่าให้อภัยและดูไม่เหมาะกับคนในวัยของนาง

“องค์ชายเจ็ด ท่านเห็นด้วยตาของตนเองหรือยังว่า มีหนอนพิษคลานออกมาจากลูกปัดอธิษฐาน!”

ทั่วเปาหยุตกตะลึงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า หลังจากนั้นราวกับเขารู้บางอย่าง และรีบโบกมือส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์จากระยะไกลเข้ามา

“เขาไม่ระวังตัวจึงถูกหนอนพิษกัดช่วยนําตัวเขาออกไปที”

ก่อนหน้านี้ทหารองครักษ์เหล่านี้ยืนอยู่ห่างออกไปมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ตอนนี้เมื่อเห็นการแสดงออกที่ไม่พอใจขององค์ชายเจ็ด พวกเขาก็เข้าใจและรีบพาทหารองครักษ์ผู้นั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

“ลูกปัดอธิษฐานมีพิษ”

คํากล่าวของทั่วเปาหยูเป็นการยืนยัน

หลี่เว่ยหยางไม่ตอบสนอง ขณะที่หญิงสาวถือถ้วยที่เต็มไปด้วยชากลีบดอกไม้และค่อย ๆ จิบมันสองครั้ง

ทําให้นางได้ลิ้มรสชาที่ค้างอยู่ในลําคอที่ชัดเจนและมีกลิ่นหอม ซึ่งมีรสชาติหวานของน้ําผึ้งหลังจากนั้นจึงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า

“นี่คือหนอนผีเสื้อพิษจากซินเจียง ปกติมันจะไม่ยอมออกมา เป็นที่น่าเสียดายที่มันชอบของหวานและด้วยเหตุนี้การหลอกล่อมันจึงมิใช่เรื่องยาก”

“ทําเพียงแค่นี้ มันก็สามารถออกมาฆ่าศัตรูได้อย่างนั้นหรือ? ”

มุมปากของหลี่เว่ยหยางยกขึ้นเล็กน้อย

“อายุการใช้งานของหนอนพิษที่อยู่ในลูกปัดอธิษฐานนั้นค่อนข้างสั้นโดยจะต้องรอให้มันถึงระยะที่เป็นตัวเต็มวัยแต่ก่อนมันจึงจะสามารถบินออกมาได้

ฝ่ายตรงข้ามมิได้ตั้งใจที่จะใช้ประคําอธิษฐานในขณะนี้ เนื่องจากยังมิใช่เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้าเข้ามาแทรกแซงในกิจการของผู้อื่นพวกเขา จึงมิมีทางเลือกและมิสามารถรอจนกว่าจะครบกําหนดได้ เมื่อข้ากล่าวเช่นนี้แล้ว องค์ชายคงจะพอเข้าใจ”

เมื่อโดนคลื่นกระแทกและลมแรงปะทะเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่มทําให้ทั่วเปาหยุไม่สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้อีกต่อไป

ตอนนี้ใกล้ค่ํามากแล้ว ดังนั้นจึงมีแสงจาง ๆ พุ่งผ่านก้อนเมฆและส่องกระทบใบหน้าของเขาเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างามเหมือนดั่งภาพวาด:

“เมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจดีเกี่ยวกับพิษชนิดนี้”

คิ้วของหลี่เว่ยหยางขมวดมากขึ้นขณะที่นางยิ้มอย่างเย็นชา

“ข้ามสามารถกล่าวได้มากนัก แต่ข้ารู้มากพอที่จะเข้าใจว่า หากองค์ชายสวมลูกปัดอธิษฐานนี้ไว้เป็นเวลาหนึ่งปีอายุของท่านก็จะสั้นลง10-20 ปี”

อันที่จริงแล้วหลี่เว่ยหยางไม่ต้อง การรู้เรื่องนี้เลย แต่น่าเสียดายที่นางได้อยู่กับตัวเปาเจิ้นซึ่งเป็นศูนย์กลางของการแย่งชิงอํานาจของแคว้นต้าหลี่

โดยธรรมชาติแล้วนางจึงมีโอกาสได้พบกับข้อมูลที่สําคัญที่สุดบางอย่าง

ยิ่งไปกว่านั้นข่าวเหล่านี้มีรายละเอียดอีกหลายอย่าง ซึ่งสาเหตุที่นางได้รับรู้อาจจะเป็นเพราะความเกรงใจของทั่วเปาเจิ้นที่มีต่อนางไม่มากก็น้อยถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเป็นปัจเจกบุคคล

แม้ว่าเขาจะระมัดระวังตัวกับนางมาก แต่เมื่อต้องรับมือกับศัตรู เขาจึงจําเป็นต้องเปิดเผยไม่น้อยเพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากนาง

หากทั่วเปาหยูเก็บลูกประคําอธิษฐานเอาไว้กับตนเอง…. ความคิดนี้ทําให้เขาถึงกับหน้าซีดขณะที่มีเหงื่อเย็นไหลลงมาจากหลังของเขา

เขาคิดเกี่ยวกับมันแล้วจึงยิ้มออกมาทันที ก่อนหน้านี้หลี่เว่ยหยางรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขามีสายลมในฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นและสามารถปลุกใจผู้อื่น

ตอนนี้มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยนางรู้สึกค่อนข้างอึดอัดและขมวดคิ้วเข้าหากัน

“หากองค์ชายเสียใจเกี่ยวกับเรื่องของทหารองครักษ์ผู้นั้น ก็ให้คิดว่าข้าเป็นผู้ที่ไร้มารยาทก็แล้วกัน”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นจบ นางก็มีทีท่าว่าจะหันหลังและเดินจากไป

ทันใดนั้นทั่วเปาหยูก็ยืนอยู่ตรงหน้านาง และหยุดหญิงสาวด้วยดวงตาที่ชัดเจนคู่นั้น

“ช้าก่อน! ถ้าต้องการจะขอบคุณเจ้า เพราะหากเจ้ามิเข้ามาแทรก แซงในวันนี้ ข้าคงโดนแผนการนี้หลอก”

“องค์ชายมีโทษข้าที่ทําร้ายทหารองครักษ์ผู้นั้นหรือ?”

หลี่เว่ยหยางเลิกคิ้ว ขณะที่ทั่วเปาหยยิ้มเล็กน้อย

“เขาอาจจะอยู่เคียงข้างข้ามานานหลายปีแล้ว แต่มมีอันใดรับประกันได้ว่า เขาจะเป็นผู้ที่สามารถไว้วางใจได้

คํากล่าวเหล่านั้นทําให้หลี่เว่ยหยางทราบแล้วว่า ความพยายามของตนเองนั้นมิได้สูญเปล่าเลย

“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้อาจเป็นผู้ที่อยู่ในห้องโถงนี้ได้หรือไม่” หัวเปาหยได้กล่าวขึ้น

หลี่เว่ยหยางกระพริบตาและกล่าวว่า:

“องค์ชายคิดอย่างไร?”

ทั่วเปาหยูยิ้มอย่างสิ้น ๆ :

“เป็นองค์รัชทายาทใช่หรือไม่ที่ต้องการให้ข้าตาย?”

หลี่เว่ยหยางส่ายหัว ขณะที่มีรอยยิ้มอันว่างเปล่าและการแสดงออกที่ไร้ความสุข

“ข้าคิดอยู่แล้วว่า หากมีอันใดเกิดขึ้นท่านจะต้องกล่าวโทษองค์รัชทายาทผู้ซึ่งมิได้รู้อันใดเลยอย่างแน่นอน”

มุมปากของทั่วเปาหยูเปลี่ยนไปเป็นการเยาะเย้ยอย่างอ่อนโยน:

“ทั่วเปาเจิ้น”

หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างห่างเหินราวกับพุทราที่บานสะพรั่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงทําให้คนอื่นๆใจอ่อน:

“นับว่าองค์ชายเจ็ดมีความคิดที่ลึกซึ้ง”

การแสดงออกของทั่วเปาหยุดูเคร่งขรึมขึ้นขณะที่กล่าวว่า

“ในหัวใจของเขาคงจะเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า!”

ทุกอย่างที่เขาทํานับตั้งแต่การแอบอ้างชื่อและอํานาจขององค์รัชทายาทเพื่อทําให้คนอื่นคิดว่าเป็นการทําของรัชทายาท เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทั่วป่าเจินเป็นผู้ที่รับมือได้ยาก!

มุมปากของหลี่เว่ยหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ :

“เนื่องจากองค์ชายรู้ตัวแล้ว ดังนั้นจึงควรระมัดระวังให้ดีที่สุด”

ใบหน้าทางด้านข้างของทั่วเปาหมูสะท้อนให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของเขา แต่คํากล่าวของเขากลับแฝงอารมณ์ขันอย่างคลุมเครือ:

“อันที่จริง ข้าต้องการทราบว่า เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไรและเหตุใดเจ้าจึงช่วยข้า”

หลี่เว่ยหยางไม่สามารถบอกกล่าวความจริงกับเขาได้ แต่นางก็ไม่ต้องการหลอกลวงเขาเช่นกันดังนั้นจึงนิ่งเงียบ

“หลี่เว่ยหยาง”

ทั่วเปาหยูเข้าใจและรู้ว่านางไม่ต้องการเปล่าอันใด เขาจึงไม่สอดรู้สอดเห็น ขณะที่ริมฝีปากของชายหนุ่มโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ :

“ในวันปกติเจ้ายิ้มให้กับผู้อื่นเช่นนี้บ่อยหรือไม่?”

“ฮะ?”

หลี่เว่ยหยางตะลึงเล็กน้อย เมื่อรับรู้ถึงการเยาะเย้ยในคํากล่าวของเขาจากนั้นใบหน้าของนางจึงกลายเป็นบึงตึงในทันที

“องค์ชายอย่าเข้าใจเจตนาดีของข้าผิดไป”

นางไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสา ดังนั้นไม่ว่าเขาจะกล่าวเช่นใดนางก็สามารถล่วงรู้ถึงจุด ประสงค์ของชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

ทั่วเปาหยูหัวเราะและกล่าวว่า

“โชคดีที่ข้าได้พบเจ้า มิเช่นนั้นมิทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้

จากนั้นเขาหันไปทันทีและเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา

“เจ้าเริ่มคุ้นเคยกับสถานที่นี้แล้วหรือยัง?”