บทที่ 259 ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 259 ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ

บทที่ 259 ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ

ภายในโรงยิมอันกว้างขวาง ปราณวิญญาณฟ้าดินได้ควบแน่นกลายเป็นหมอกปกคลุม

โจวอี้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้า ปราณที่ควบแน่นเป็นหมอกก็จะถูกสูดเข้าผ่านรูจมูกของเขาไปโดยปริยาย

ปราณวิญญาณฟ้าดินจำนวนมากได้ชะล้างร่างกายของโจวอี้อย่างต่อเนื่อง สิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหนังและโลหิตของเขาถูกชำระล้าง ส่งผลให้อากาศโดยรอบมีกลิ่นเหม็นฉุนที่รุนแรง

โจวอี้ไม่ได้กลิ่นหรือเห็นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น เขาหมกมุ่นอยู่กับการทะลวงระดับ และมีเพียงเจตจำนงของเขาเท่านั้นที่ควบคุมพลังปราณในร่างให้โจมตีสสารสีเทาและสีดำในจุดชีพจร

เวลาล่วงเลยไป

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ทันใดนั้นหมอกสีม่วงจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน หมอกสีม่วงภายในระยะหลายกิโลเมตรรอบ ๆ บริเวณนี้ถูกโจวอี้ดึงเข้ามาดูดซับเข้าไปในร่างกาย

ทันใดนั้น เสียงที่ฟังดูเหมือนจุกก๊อกระเบิดออกจากขวดแชมเปญก็ดังขึ้น

สสารสีเทาและสีดำที่ปิดกั้นจุดชีพจรอยู่เสมอนั้น ในที่สุดก็ถูกขจัดออกไปด้วยพลังปราณ และทะลวงผ่านช่องทางที่ปลายอีกด้านของช่องเปิด

ทะลวงระดับสำเร็จ!

สติของโจวอี้กลับคืนมาในทันที พลังอันมหาศาลโคจรไปทั่วร่างของเขาโดยไม่หยุดยั้ง

ทว่าเขายังไม่หยุด

แม้ว่าในขณะนี้อักขระสีแดงสดทั้งสามตัวในทะเลจิตสำนึกได้หายไปแล้ว แต่ปราณวิญญาณอันมหาศาลในร่างกายของเขาจำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาอย่างรวดเร็ว

นอกห้อง

แม่เฒ่าเทียนจี้และถงหู่รู้สึกว่าปราณวิญญาณฟ้าดินที่ไหลเข้าไปในห้องเริ่มช้าลง และมีแนวโน้มที่จะสลายหายไป ดังนั้นพวกเขาจึงเปิดประตูเบา ๆ และปรากฏตัวในห้องที่ล้อมรอบไปด้วยหมอกปราณวิญญาณ

เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าที่แดงก่ำและเสียงหัวใจที่เต้นแรงของโจวอี้ ความกังวลของพวกเขาก็มลายหายไป

“กลับ…” แม่เฒ่าเทียนจี้พูดผ่านกระแสปราณไปถึงถงหู่ จากนั้นพวกเขาก็ออกจากโรงยิมไปอย่างเงียบ ๆ

ภายในครัว

เหม่ยหลานกำลังยุ่ง เธอได้รู้จากถงหู่ว่าโจวอี้ไม่สามารถทำอาหารได้ในเช้านี้

ช่วงนี้ทักษะการทำอาหารของเธอพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะทุกครั้งที่โจวอี้ทำอาหาร เธอมักจะคอยอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเรียนรู้

“ฮะ?” เหม่ยหลานเพิ่งยกอาหารจานแรกออกไปก็เห็นร่างเล็ก ๆ ที่ประตู

“ทำไมเด็ก ๆ ตื่นเช้าจัง?” เหม่ยหลานถาม

“เราตื่นแล้ว!” ถังเหมียวเหมี่ยวยิ้มหวาน

ถังเสี่ยวรุ่ยพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร

เหม่ยหลานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ควรทราบว่าในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นถังเหมียวเหมี่ยวหรือถังเสี่ยวรุ่ย ถ้าโจวอี้ไม่ปลุกพวกเธอ พวกเธออาจจะหลับไปจนสายโด่ง

แต่วันนี้กลับไม่เหมือนทุกวัน

อันที่จริง หลังจากที่เธอตื่นขึ้น เธอก็รู้สึกว่าเมื่อคืนนี้เธอนอนหลับได้ดีกว่าทุกวัน

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก และยังรู้สึกว่าอากาศวันนี้สดชื่นขึ้นมากกว่าปกติ

เหม่ยหลานมองเด็กน้อยทั้งสองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อน! อาหารเช้าจะพร้อมในอีกยี่สิบนาทีนี้แหละ”

“ทำไมวันนี้พ่อไม่ทำอาหารเช้าคะ?” ถังเหมียวเหมี่ยวถาม

“พ่อโจวของเหมียวเหมี่ยวกำลังยุ่งน่ะ” เหม่ยหลานตอบ

“อื้ม” ถังเหมียวเหมี่ยวและถังเสี่ยวรุ่ยจับมือกันและเดินไปที่ห้องน้ำ

พวกเธอไม่ได้เรื่องมากเรื่องฝีมือการทำอาหารของเหม่ยหลาน แม้ว่ารสชาติและความหลากหลายจะไม่ดีเท่าของโจวอี้แต่ก็ยังอร่อยอยู่ดี

หลังอาหารเช้า ถงหู่และเหม่ยหลานขับรถพาถังเหมียวเหมี่ยวไปที่โรงเรียน

เมื่อปราณวิญญาณฟ้าดินกลับสู่สภาพเดิม โจวอี้ก็ยุติการบ่มเพาะ

เส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์ และเส้นลมปราณทั้งหลายก็ยังกว้างขึ้นด้วย เวลานี้ปริมาณของพลังปราณสามารถโคจรไหลผ่านเพิ่มขึ้นได้อย่างน้อยสิบเท่าจากเมื่อก่อน

พลังที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาสามารถเตะรถ Knight XV ซึ่งมีน้ำหนักห้าหรือหกตันให้กระเด็นไปไกลได้หลายสิบเมตรเลยทีเดียว

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจที่สุดคือการที่เขาพบว่าเขาไวต่อปราณวิญญาณฟ้าดินมาก และยังสามารถดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาใช้ได้ด้วย

“ทะลวงแล้ว?” แม่เฒ่าเทียนจี้ปรากฏตัวต่อหน้าโจวอี้ แววตาของเธอเปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“หลังจากใช้ยาทลายขอบเขตไปสองเม็ด ในที่สุดผมก็ทะลวงได้” โจวอี้หัวเราะ

“ตอนนี้เจ้ามีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงยังไงบ้างล่ะ หรือมีความผิดปกติอย่างอื่นหรือเปล่า?”

“ผมรู้สึกว่าผมสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินได้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก” โจวอี้กล่าว

เขาพูดความจริง แต่โจวอี้จงใจไม่เอ่ยถึงอักขระสีแดงลึกลับสามตัวที่อยู่ในทะเลจิตสำนึก

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในแม่เฒ่าเทียนจี้ แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าอักขระพวกนั้นมันคืออะไร

แม่เฒ่าเทียนจี้ครุ่นคิดโดยไม่พูดอะไร

งั้นหรือ?

เธอรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าโจวอี้ไม่ได้บอกความจริงเธอทั้งหมด แต่เธอไม่โกรธ เธอกลับรู้สึกว่าการที่โจวอี้รู้วิธีซ่อนความลับแบบนี้เป็นเรื่องดีแล้ว

ทุกคนต้องมีความลับเป็นของตัวเอง

ในอนาคต หากโจวอี้ไม่ตายก่อนวัยอันควร เขาจะต้องรับตำแหน่งประมุขสำนักโอสถ

ประมุขของสำนักต้องมีไพ่ลับที่พึ่งพาได้และไม่ควรมีใครรู้

เธอคิดด้วยซ้ำว่ายิ่งโจวอี้มีความลับมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น โจวอี้จำเป็นต้องมีไพ่ลับให้มากที่สุดเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เขาจะได้สามารถสร้างประโยชน์มากมายให้กับสำนักโอสถได้ในอนาคต

“คุณย่าช่วยลองสู้กับผมได้ไหม?” โจวอี้อยากลองพละกำลังของตัวเอง

“ยายเฒ่าอย่างฉันไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ งั้นเราก็มาเล่นกัน” แม่เฒ่าเทียนจี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากนั้น

พวกเขาก็ไปที่สนาม

แม่เฒ่าเทียนจี้ยืนหลังค่อมค้ำไม้เท้าพลางยื่นมือออกไปกวักเรียกโจวอี้ให้เริ่มลงมือ

“คุณย่าระวังตัวด้วย!”

หลังจากพูดจบ ร่างของโจวอี้ก็ไปปรากฏขึ้นต่อหน้าแม่เฒ่าเทียนจี้ กำปั้นของเขาพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า ซึ่งมันเร็วกว่าก่อนการทะลวงระดับหลายเท่า

“หืม?” หญิงชรายกมือขึ้นปัดทำลายกำปั้นทั้งหมดที่โจวอี้โจมตีเข้ามา

ความแรงนี้

ความเร็วนี้

แววตาของแม่เฒ่าเทียนจี้เผยความแปลกใจ เธอปล่อยให้โจวอี้โจมตีอย่างต่อเนื่อง และเธอก็ยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับไปไหน การป้องกันของเธอแข็งแกร่งอย่างมาก

แต่เธอก็แอบประหลาดใจ

โจวอี้คือผู้สืบทอดคนต่อไป ฉู่เทียนฮุ่ยนั้นเก่งในการหลอมยาและทักษะทางการแพทย์ที่สุด แต่ทักษะการต่อสู้ไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่นัก อย่างน้อยถงหู่ซึ่งอายุน้อยกว่าโจวอี้ไม่กี่ปีก็ยังดีกว่าโจวอี้ในด้านระดับการบ่มเพาะ

อย่างไรก็ตาม โจวอี้ที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์กลับมีพละกำลังและความเร็วที่เหนือกว่าปรมาจารย์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

ระดับปรมาจารย์นั้นแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย และขั้นสมบูรณ์พร้อม

โจวอี้เพิ่งทะลวงเข้าระดับปรมาจารย์ แต่ความแข็งแกร่งของเขาสามารถเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นกลางหรือสูงกว่านั้น ซึ่งมันน่าเหลือเชื่อเกินไป

ณ ชั้นสองของวิลล่า

เหม่ยหลานยืนอยู่ที่หน้าต่างพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เธอจ้องมองโจวอี้และแม่เฒ่าเทียนจี้ที่อยู่ในสนาม สีหน้าของเธอตกตะลึงอย่างมาก

แม้ว่าเธอจะขยี้ตาหลายรอบ แต่เธอก็พบว่าเธอไม่ได้ตาฝาด

นั่นอะไร?

พวกเขาเป็นยอดมนุษย์กันงั้นเหรอ?

ร่างกายของเหม่ยหลานสั่นเล็กน้อย และดวงตาของเธอเฝ้าดูโจวอี้โจมตีแม่เฒ่าเทียนจี้ เธอรู้สึกตกใจกับความรุนแรงของหมัดจากโจวอี้ที่สามารถทำให้อากาศรอบ ๆ เกิดเสียงระเบิดดังคล้ายกับฟ้าผ่า

“ไม่ต้องกลัว”

จู่ ๆ มือข้างหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของเหม่ยหลาน ถงหู่มาถึงพร้อมกับถังเสี่ยวรุ่ยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา