บทที่ 221 โชคครั้งใหญ่

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 221 โชคครั้งใหญ่

บทที่ 221 โชคครั้งใหญ่

หลี่ฝานคีบด้วยตะเกียบ เห็ดตี้มู่มีรสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รวมถึงกลิ่นหอมของไข่ผสมด้วยรสเผ็ดร้อนของพริกไทย ทำให้รสชาติต่าง ๆ กระจายคละคลุ้งในปาก อาหารจานนี้เปิดต่อมรับรสได้จริง ๆ

หลังจากที่หลี่ฝานได้ลิ้มรสแล้ว ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย และก็เติมข้าวจนเต็มชาม

กู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าเขากล่าวว่า ‘จานนี้อร่อย’

ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะกล่าวอะไร หลี่ฝานก็วางจานที่ว่างเปล่าไว้ในถาด และเดินออกไป “สาวน้อยเสี่ยวหวาน ไปรอข้าอยู่ในห้องก่อนเถิด”

กู้เสี่ยวหวานตอบรับหนึ่งคำและรู้สึกอธิบายไม่ถูกเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเดินออกมาและถามเสี่ยวเซิ่งจื่อที่กำลังเดินเข้ามาในเวลานี้ด้วย “เถ้าแก่ไปทำอะไรหรือ?”

ตอนนี้เลยเวลาอาหารมาแล้ว และภายในร้านจิ่นฝูก็ไม่มีลูกค้า แล้วเถ้าแก่หลี่จะนำอาหารไปให้ผู้ใดกินกัน? หรือว่ามีลูกค้ามาในช่วงเวลานี้อย่างนั้นหรือ?

“แม่นางไม่ต้องกังวล คราวนี้ลองคิดดูว่าอาหารจานนี้ราคาดีแค่ไหน!” เสี่ยวเซิ่งจื่อรู้ดีว่าเถาแก่กำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาไม่สามารถบอกกู้เสี่ยวหวานได้ จึงทำได้เพียงบอกให้นางคิดถึงราคาของอาหารจานนี้

กู้เสี่ยวหวานรออยู่ในห้องและดื่มชาหลายถ้วย ก่อนเถ้าแก่หลี่จะกลับเข้ามาด้วยใบหน้าเอิบอิ่ม

หลังจากที่เขาเข้ามา ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะได้กล่าวอะไร เถ้าแก่หลี่ก็มองไปที่นางราวกับว่าเป็นผู้ช่วยชีวิต “สาวน้อยเสี่ยวหวาน เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้ง!”

กู้เสี่ยวหวานงุนงง มันเป็นเพียงอาหารเท่านั้น… จะช่วยชีวิตคนได้อย่างไร?

เมื่อเห็นท่าทางที่งุนงงของกู้เสี่ยวหวาน หลี่ฝานก็รู้ได้ว่านางไม่เข้าใจที่ตนเองกล่าว “ข้าพอใจกับอาหารของเจ้ามาก สาวน้อยเสี่ยวหวาน ครั้งนี้ดีกว่าครั้งที่แล้ว ข้าจะจ่ายเป็นเงินสองร้อยตำลึงเงิน เจ้าว่าอย่างไร?”

กู้เสี่ยวหวานแทบระงับความสุขไว้ไม่อยู่ เงินสองร้อยตำลึงเงิน นางไม่เคยคิดถึงราคาที่สูงเช่นนี้มาก่อนเลย

ดีเสียจริง!

เมื่อกู้หนิงผิงได้ยินราคา เขาก็ตกใจมากจนไม่ได้สังเกตว่าขนมในมือตกลงไปที่พื้น คนผู้นั้นบอกว่าจะจ่ายเงินให้พี่สาวเป็นเงินสองร้อยตำลึงเงิน นี่เขาได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่?

หลี่ฝานที่เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่กล่าวอะไรเสียที เขาจึงคิดว่ามันน้อยเกินไปจึงรีบกล่าวว่า “ข้าต้องการซื้อเห็ดตี้มู่ทั้งหมดที่เจ้ามี ในอนาคตถ้ามีอีกข้าจะให้ห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งชั่ง เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เมื่อกล่าวจบก็กลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะเปลี่ยนใจ จึงรีบเรียกเสี่ยวเซิ่งจื่อ “เสี่ยวเซิ่งจื่อ เจ้าเอาเห็ดตี้มู่นี้ไปชั่งน้ำหนักและดูว่าทั้งหมดมีกี่ชั่ง?”

เสี่ยวเซิ่งจื่อรีบตอบรับและหยิบตะกร้าออกไป

กู้เสี่ยวหวานพอใจกับราคานี้เป็นอย่างมาก นางชั่งน้ำหนักเห็ดตี้มู่ก่อนจะมาที่นี่ มันมีน้ำหนักประมาณยี่สิบชั่ง ถ้าราคาห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งชั่งก็จะเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเงิน เมื่อรวมกับราคาสูตรอาหารก็เป็นเงินถึงสามร้อยตำลึงเงิน!

กู้เสี่ยวหวานพึงพอใจเป็นอย่างมาก

เมื่อหลี่ฝานเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานตกลงแล้ว และข้อตกลงนี่ก็เสร็จสิ้น ในใจของเขาคิดว่าทุกครั้งที่สาวน้อยผู้นี้ปรากฏตัวออกมา ร้านของตนเองจะเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก นี่เป็นโชคครั้งใหญ่ของร้านจิ่นฝูแล้ว!

นอกจากจะมีความสุขแล้ว เขายังเอ่ยถามอีกว่า “สาวน้อยเสี่ยวหวาน คราวที่แล้วเรื่องหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ได้ยินมาว่าเจ้าไม่ได้มาขายที่ร้านจิ่นฝูหรือ? เราตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือ?” ตั้งแต่สิ้นปี หลี่ฝานก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลิวเจียมาหลายวัน ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในเมืองรุ่ยเสียนเพื่อเปิดร้านใหม่เสียมากกว่า และแน่นอนว่ามีหลายสิ่งที่เขาต้องจัดการ

กู้เสี่ยวหวานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และบอกว่านางไปที่ร้านจิ่นฝูแล้ว แต่เพราะนางหาใครไม่เจอ ดังนั้นจึงไม่ขายมัน

เมื่อหลี่ฝานได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เจ้าไปที่ร้านจิ่นฝูแล้วหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า นางไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเหมียวเอ้อร์ เหมียวเอ้อร์เป็นคนอย่างไรหลี่ฝานนั้นรู้ดี แต่เขาไม่ถูกไล่ออกเพราะมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง ถ้ากู้เสี่ยวหวานกล่าวถึงเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับเหมียวเอ้อร์ ถ้าหลี่ฝานไม่ฟังนาง เขาคงคิดว่าตนเองเป็นคนใจแคบแน่ ดังนั้นนางจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้จนกว่าจะมีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับมันในภายหลัง

“แล้วทำไมคนในร้านอาหารถึงไม่เคยบอกข้า และข้าก็กระตุ้นให้เสี่ยวเซิ่งจื่อตามหาพวกเจ้าอยู่ตลอด ต่อมาร้านจิ่นฝูในเมืองรุ่ยเสียนเปิดทำการ ข้าจึงไม่เคยมีเวลาถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลิวเจียแห่งนี้บ้าง” หลี่ฝานยังกล่าวอีกว่า “ข้ายังมีเวลาที่นี่อีกมากกว่าครึ่งเดือน และก็เกือบจะมาถูกทางแล้ว ถ้าเจ้ามีอะไรดี ๆ ก็ส่งมาที่ร้านจิ่นฝูในเมืองหลิวเจียได้เลย ข้าจะจ่ายเงินให้ตามราคาของเมืองรุ่ยเสียนด้วย”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยิน นั่นถือว่าเป็นราคาสูงเลยทีเดียว เศรษฐกิจของเมืองรุ่ยเสียนนั้นดีกว่าเมืองหลิวเจียมาก เมื่อครู่นี้นางไม่มีอะไรทำจึงถามเสี่ยวเซิ่งจื่อเกี่ยวกับราคาอาหารที่นั่น เมื่อได้ยิน นางก็เดาะลิ้น… อาหารแบบเดียวกันในเมืองรุ่ยเสียนมีราคาแพงกว่าเมืองหลิวเจียสองถึงสามเท่า!

“ร้านจิ่นฝูของเราตอนนี้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองแล้ว คนที่มาทานอาหารที่นี่ล้วนเป็นคนร่ำรวย และรวยกว่าคนในเมืองหลิวเจียเสียอีก ถ้าพวกเขาต้องการกิน เช่นนั้นจะมาที่ร้านจิ่นฝู การทานอาหารที่นี่ไม่ใช่แค่การใช้จ่ายเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะอีกด้วย” หลี่ฝานอธิบาย

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า นางเข้าใจอย่างชัดเจน ระดับของร้านอาหารหรือราคาของร้านอาหารล้วนเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะทั้งสิ้น ร้านที่เปิดกิจการมายาวนานอย่างร้านจิ่นฝูถูกจัดให้เป็นร้านอาหารระดับสูง ร้านนี่ทั้งประณีตและหรูหรา คนที่มาทานอาหารที่นี่ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่กี่คน โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่สนใจว่าจะจ่ายเงินไปเท่าไร

เมื่อเสี่ยวเซิ่งจื่อกลับมา เขาบอกว่ามีน้ำหนักมากกว่าสิบเก้าชั่ง หลี่ฝานจึงคำนวณเงินราคาสำหรับน้ำหนักยี่สิบชั่ง และมอบเงินให้กู้เสี่ยวหวานสามร้อยตำลึงเงิน

หลังจากรับเงินมา กู้เสี่ยวหวานก็นำเงินใส่ในถุงเงินและใส่ไว้ในอก ในใจรู้สึกมีความสุขมาก… การมาในครั้งนี้ไม่ได้เปล่าประโยชน์เลย ซ้ำยังสามารถหาเงินได้ถึงสามร้อยตำลึงเงิน!

“สาวน้อยหวาน สิ่งนี้เป็นของดีจริง ๆ ถ้าเจ้ามีเท่าไรก็เก็บไว้ให้ข้าทั้งหมด แล้วส่งไปที่ร้านจิ่นฝูในเมือง มีเท่าไรข้าเอาเท่านั้น ข้าจะให้ราคาเช่นเดียวกับที่นี่!” หลี่ฝานยิ้ม

ทุกคนมีความสุขมาก ยิ้มและพูดคุยกันไม่หยุด แต่ไม่มีใครเห็น บนชั้นสามฝั่งตรงข้ามมีร่างเงาสีดำแวบผ่านไป

หลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นสวีเฉิงเจ๋อก็มา ธุระของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และธุระของกู้เสี่ยวหวานก็เสร็จสิ้นเช่นกัน

“เสี่ยวหวาน ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมชมเมืองรุ่ยเสียน” หลังจากที่สวีเฉิงเจ๋อทำธุระเสร็จก็รีบไปที่ร้านจิ่นฝู ก่อนที่เขาจะรีบกลับไป เขาจึงพาพวกกู้เสี่ยวหวานไปเดินเล่น