บทที่ 222 ขายกล่องไม้ไผ่

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 222 ขายกล่องไม้ไผ่

บทที่ 222 ขายกล่องไม้ไผ่

หลังจากบอกลาหลี่ฝานและคนอื่น ๆ แล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เดินตามสวีเฉิงเจ๋อออกจากร้านจิ่นฝู

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าที่หน้าต่างห้องรับรองบนชั้นสามของร้านจิ่นฝูถูกเปิดเล็กน้อย และมีชายคนหนึ่งที่หล่อเหลาราวกับพระเจ้าที่จ้องมองมาที่พวกเขา

ชายผู้นั้นมีผมสีดำที่ผูกด้วยผ้าสีขาว สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำ มีพู่ไหมสีดำยาวรอบเอว และชิ้นหยกสีขาวเนื้อละเอียดผูกอยู่ด้านบน เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ ชายผู้นี้ดูดีมาก กล่าวได้ว่าเขาดูมีเสน่ห์เหลือล้น สันจมูกตั้งตรง ริมฝีปากบาง ผิวขาวเนียน นัยน์ตาดำขลับราวกับไข่มุกดำที่ส่องประกายระยิบระยับ

แม้ว่าชายผู้นั้นจะหล่อเหลาและใบหน้าดูโดดเด่น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากริมฝีปากที่บอบช้ำและคลื่นสีฟ้าในดวงตา ก็ไม่ยากที่จะรู้ได้ว่าบุคคลนี้มีอารมณ์เย็นชาและมีออร่าที่ชั่วร้าย!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นร่างอันบอบบางที่ชั้นล่าง ริมฝีปากของเขาดูเหมือนจะโค้งขึ้น เดิมทีมันเย็นเยียบราวกับสระน้ำลึก แต่เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวาน แววตาก็พลันเปล่งประกาย

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองนางอยู่

จนกระทั่งกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ เดินลับสายตาไป ฉินเย่จือก็ปิดหน้าต่าง

“อาโม่ เรียกหลี่ฝานมา”

อาโม่รับคำสั่ง ฉินเย่จือจับบริเวณที่เขาได้รับบาดเจ็บและลูบมัน ราวกับกำลังคิดถึงบางสิ่งที่น่าสนใจ ดวงตาเรียวยาวของเขาก็โค้งขึ้นราวกับพระจันทร์เสี้ยวสองดวง ริมฝีปากบางยิ้มจนเป็นแนวโค้งที่สวยงาม ราวกับเป็นความอบอุ่นที่หาได้ยากของฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อหลี่ฝานเข้ามา เขาก็ทำความเคารพ “นายท่าน”

ฉินเย่จือโบกมือและเข้าประเด็น “ใครสอนวิธีทำเห็ดตี้มู่ผัดไข่ให้เจ้า?” ชายผู้นี้อยู่กับเขามานานกว่าสิบปีแล้ว และรู้แม้กระทั่งว่าเขามีแปรงอยู่กี่อัน

หลี่ฝานไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงฉินเย่จือ เพราะรู้ว่าไม่สามารถหลอกเขาได้ ดังนั้นเขาจึงบอกเรื่องของกู้เสี่ยวหวานทั้งหมด

ฉินเย่จือเลิกคิ้วที่สวยงามขึ้น “แค่เด็กผู้หญิงเก้าขวบผู้นั้นหรือ? กู้เสี่ยวหวาน?” มันดูไม่น่าเชื่อนิดหน่อย

หลี่ฝานกลัวว่าฉินเย่จือจะไม่เชื่อ ดังนั้นจึงรีบบอกชื่ออาหารอีกสองจานที่กู้เสี่ยวหวานทำเมื่อปีที่แล้ว ในเวลานั้นฉินเย่จือก็อยู่ที่นั่นและได้ชิมมัน ทั้งสองรสชาติมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ เขาพยักหน้าและเชื่อมัน

“นายท่าน อย่าคิดว่านางอายุน้อย แต่นางรู้วิธีปรุงอาหารที่อร่อยจริง ๆ และยังเป็นคนเฉลียวฉลาด” หลี่ฝานกล่าวยกย่องกู้เสี่ยวหวาน

ฉินเย่จือมีใบหน้าที่เย็นชาอยู่เสมอ เมื่อได้ยินหลี่ฝานชื่นชมกู้เสี่ยวหวานเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเวลานั้นหลี่ฝานเงยหน้าขึ้นมองพอดี เมื่อเห็นฉินเย่จือดูเหมือนจะยิ้ม แต่เม้มปากอีกครั้ง จึงไม่รู้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่

ฉินเย่จือยังคงหมกมุ่นอยู่กับคำพูดของหลี่ฝาน เมื่อนึกถึงเด็กหญิงผู้นี้ นางไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น ทว่ายังกล้าหาญอีกด้วย ในตอนนั้นที่ฉินเย่จือได้รับบาดเจ็บ ถ้าคนธรรมดาเห็นจะหนีไปด้วยความตกใจ แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่กลัว และบอกว่าถ้ารอดนางจะช่วย แต่ถ้าตายนางจะฝัง

นางมีความกล้ามากจริง ๆ

ในเวลานั้น แม้ว่าฉินเย่จือจะเสียเลือดมาก ซ้ำยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสติอยู่เพียงน้อยนิด เขาจึงรู้ว่าระหว่างทางกู้เสี่ยวหวานได้แบกตนเดินลงเขา… ฉินเย่จือรู้ทั้งหมด

“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ออกไปได้แล้ว!” ฉินเย่จือโบกมืออีกครั้ง และปล่อยให้หลี่ฝานออกไป

ฉินเย่จือติดนิสัยลูบนิ้วโป้ง และเมื่อแตะนิ้วที่ว่างเปล่า เขาจำได้ว่าแหวนหยกล้ำค่าของบรรพบุรุษถูกเขา ‘ทิ้ง’ ไว้ในหมู่บ้านอู๋ซี

ดูเหมือนว่าเขาคงต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อดูว่าจะนำมันกลับมาได้หรือไม่ เมื่อนึกถึงตอนนั้นที่กู้เสี่ยวหวานโกรธแต่พยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ ฉินเย่จือก็หรี่ตา สาวน้อยผู้นี้ค่อนข้างตลก นางช่วยชีวิตเขาไว้ และเขาก็ควรตอบแทนนาง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือก็นึกถึงข้อแก้ตัวที่ดีสำหรับตัวเองที่จะกลับไปที่หมู่บ้านอู๋ซี

เมื่อหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สั่งอาโม่ว่า “พรุ่งนี้เช้า เราจะกลับไป! ”

“แต่นายท่าน อาการบาดเจ็บของท่านล่ะ?” อาโม่เอ่ยถามด้วยความกังวล

“นี่เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่นานก็หายแล้ว” แผลเล็กน้อยเช่นนี้ ฉินเย่จือจึงไม่ได้มองมันอยู่ในสายตา ไม่นานมันก็หายแล้ว

อาโม่รับคำสั่ง เขาหันหลังกลับและไปจัดของ

กู้เสี่ยวหวานกำลังเดินอยู่บนถนนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองรุ่ยเสียน และรู้สึกว่าแค่ตาสองข้างคงจะใช้มองไม่พอ นางจึงมองไปรอบ ๆ พลางถือกล่องไม้ไผ่ที่นำมาด้วย โดยนึกถึงโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น

“ท่านพี่กำลังถืออะไรอยู่?” กู้หนิงอันสงสัยเป็นอย่างมาก เขางงเล็กน้อยกับกล่องไม้ไผ่ใบเล็ก ๆ นี้ ขนาดเล็กเช่นนี้จะใส่อะไรได้?

“ท่านลุงจางเป็นผู้สร้างขึ้น ท่านพี่นำมาเพื่อต้องการช่วยเขาขายมัน!” กู้หนิงผิงอธิบายและตระหนักได้ในทันใด เมื่อสวีเฉิงเจ๋อได้ยิน เขาก็มองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความชื่นชมมากขึ้น

กู้เสี่ยวหวานพบร้านติ่มซำชื่อร้านขนมอวี๋จี้ ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านนี้น่าจะแซ่อวี๋

ตัวร้านตกแต่งอย่างดี สะอาด เป็นระเบียบ และมีความหลากหลาย

หลังจากสังเกตจากข้างนอก กิจการของร้านติ่มซำแห่งนี้ก็ดีมาก ๆ หลังจากยืนอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งเค่อก็พบว่าลูกค้ามาซื้อของที่นั่นมีหลายสิบคน

เมื่อมีลูกค้ามาซื้อของ พนักงานจะห่อด้วยกระดาษอย่างระมัดระวัง เพราะขนมนั้นบอบบางจึงไม่สามารถใช้แรงมากได้ แต่ก็ไม่สามารถจับเบาจนเกินไปได้ ถ้าจับเบาเกินไป ห่อขนมจะแตกและขนมก็จะพัง

กู้เสี่ยวหวานคาดว่าการที่พวกเขาห่อขนมชิ้นนึงต้องใช้เวลาสักพัก ลูกค้าที่มาซื้อขนมต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งในการรอ อีกทั้งคนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังก็ดูไม่ค่อยอดทน และคอยกระตุ้นให้พวกเขารีบขึ้น

พนักงานยังคงคงห่อต่อไป แม้ว่าจะพูดด้วยรอยยิ้มว่าทำเร็วแล้ว แต่ความเร็วในมือกลับไม่เพิ่มขึ้น ไม่มีทาง… ขนมนี้เปราะบางนัก จึงไม่สามารถจัดการอย่างลวก ๆ ได้

ลูกค้าบางคนที่รีบร้อนพึมพำสองสามคำแล้วจากไป กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ามันใช้เวลานานมาก จึงมีลูกค้าสามหรือสี่คนเดินออกไป เพราะพวกเขารอไม่ไหว

กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างมั่นใจ และขอให้ทุกคนยืนรออยู่ข้างนอก สวีเฉิงเจ๋อเป็นกังวลและยืนกรานที่จะเข้าไปกับนาง กู้เสี่ยวหวานจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพาเขาไปที่ร้านด้วยกัน นางกล่าวกับพนักงานคนหนึ่งว่า “พี่ชาย รบกวนด้วย ข้าอยากพบเจ้าของร้าน”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เด็กน้อยเสี่ยวหวานนอกจากฉลาดแล้วยังมีความเห็นใจผู้ เป็นเด็กดีเสียจริง ๆ

ไหหม่า(海馬)