บทที่ 275 สามสิบล้าน

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 275 สามสิบล้าน

การก่อตั้งศูนย์การแพทย์แห่งนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างมาก ทว่าก็ยังมีคนจำนวนมากที่รอการรักษาอยู่

ประชากรภายในเมืองมีจำนวนหลายแสนเฉียดล้านคน เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่มีสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าใดๆ ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมๆ แล้วหลายแสนราย

ปัจจุบัน ยอดผู้สูญหายที่ได้รับการยืนยันแล้วอยู่ที่แปดหมื่นราย เสียชีวิตแล้วสามหมื่นรายและบาดเจ็บอีกสองแสนเจ็ดหมื่นราย

สถิติดังกล่าวทำให้ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับชีวิตและความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ

ในจำนวนผู้สูญหายกว่าแปดหมื่นราย มีจำนวนที่ยืนยันว่าเสียชีวิตแล้วสามหมื่นราย ส่วนอีกห้าหมื่นรายที่เหลือไปอยู่ที่ไหนกัน

นี่ก็ผ่านมาเจ็ดแปดวันนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวแล้ว ทว่าก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้คนเหล่านั้น ความหวังที่จะหาร่างพวกเขาพบก็ริบหรี่ลงไปทุกที

อย่างไรก็ตาม ทีมกู้ภัยก็ไม่ยอมแพ้ในการค้นหา ทางการเมียนมาได้ทุ่มเทกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากไปกับความพยายามในครั้งนี้

ไป๋เยี่ยกลายเป็นผู้รับผิดชอบของศูนย์การแพทย์แห่งนี้แล้ว แม้แต่รองผู้อำนวยการอย่างหลี่หมิงและหัวหน้าเซวียก็ยังต้องร่วมมือกันกับไป๋เยี่ย

ทว่าทุกสิ่งย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จู่ๆ หลี่หมิงก็มาหาไป๋เยี่ยด้วยท่าทีร้อนรน “เสี่ยวเยี่ย มีคนมาที่ฐานเรามากขึ้นทุกวัน วัสดุกับยาของเราใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว”

“แถมตอนนี้…เลือดก็เหลือไม่เยอะแล้วด้วย ธนาคารเลือดของเมียนมามีเลือดในคลังไม่เยอะ อีกอย่างหลังจากที่เกิดแผ่นดินไหว ธนาคารเลือดในเมืองนี้ก็วุ่นวายไปหมด เลือดจำนวนมากก็เอามาใช้ไม่ได้แล้ว”

ไป๋เยี่ยเองก็ใจคอไม่ดีสักเท่าไหร่ “ผมจะลองไปหาผู้รับผิดชอบดูครับ เรื่องนี้…จะมัวช้าไม่ได้แล้ว!”

หลี่หมิงพยักหน้าลง ตอนนี้ไป๋เยี่ยกลายเป็นคนมีอำนาจของที่นี่แล้ว เรื่องต่างๆ จึงต้องให้ไป๋เยี่ยเป็นคนไปจัดการ

หลี่หมิงคิดแล้วก็หัวเราะเบาๆ พลางครุ่นคิดว่าสถานะและตัวตนของเขานั้นเทียบกับคนหนุ่มตรงหน้าไม่ได้เลย หลี่หมิงส่ายหัว เด็กคนนี้เก่งเกินไปจริงๆ เก่งจนเขาไม่รู้สึกอิจฉาเลย เพราะนั่นก็ควรเป็นสิ่งที่ไป๋เยี่ยได้รับอยู่แล้ว

ในเมื่อมีการสร้างศูนย์การแพทย์ขึ้นมาแล้ว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บาดเจ็บและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ก็มากขึ้นไปด้วย ซึ่งไป๋เยี่ยก็กลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดไปแล้ว

เรื่องที่เขาอยู่รักษาผู้บาดเจ็บตลอดสี่สิบชั่วโมงโดยไม่พักผ่อนและได้นอนเพียงแค่สองสามชั่วโมงต่อวันเท่านั้นถูกพูดถึงไปทั่วทั้งศูนย์การแพทย์

ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนจึงแฝงไปด้วยความรู้สึกประทับใจและชื่นชมในตัวไป๋เยี่ยด้วย มีเหตุผลใดที่เราควรไปอิจฉาคนที่มีคุณธรรมอันดีและทักษะอันยอดเยี่ยมเช่นเขาด้วย

หลังจากที่ไป๋เยี่ยทำงานของตนเสร็จแล้ว เขาก็ไปพบหัวหน้าทีมกู้ภัยทันที แม้หัวหน้าทีมกู้ภัยจะเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพย่อยๆ ของเมียนมา แต่เขาก็นอบน้อมต่อไป๋เยี่ยมาก

ชายคนนี้มีอายุราวๆ สี่สิบปี มีคิ้วหนาและดวงตากลมโต ดูเป็นคนทำงานราชการ “หมอไป๋ เชิญนั่งลงก่อน”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ผบ.เหอครับ ตอนนี้ที่ศูนย์การแพทย์ของเรามีเวชภัณฑ์เหลือน้อยแล้ว ผมคิดว่าคงจะใช้ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ”

เหอเจิ้นเหนียนเข้าใจถึงประเด็นนี้ดี เขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ไม่ต้องกังวลครับ ทางเราจะจัดส่งเวชภัณฑ์ให้โดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า…ตอนนี้เวชภัณฑ์สำรองในคลังของประเทศเราก็หมดไปนานแล้ว อีกทั้งโรงพยาบาลก็จัดแบ่งมาให้ไม่ได้ด้วย ตอนนี้ผู้ผลิตเวชภัณฑ์ในประเทศเองก็พยายามผลิตเต็มที่แล้ว… อีกอย่าง การจัดซื้อเวชภัณฑ์จากต่างประเทศยังต้องใช้เวลาและต้องผ่านขั้นตอนเยอะด้วย เพราะฉะนั้นรอก่อนได้ไหม ไว้ผมจะลองโทรถามให้”

ไป๋เยี่ยทำได้เพียงพยักหน้า ไม่มีทางอื่นแล้ว ตอนที่เมืองถังซานเกิดแผ่นดินไหวก็ขาดแคลนเวชภัณฑ์เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะว่าประเทศจีนมีดินแดนอันกว้างใหญ่และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีผู้ผลิตเวชภัณฑ์จำนวนมากนั้น ต่อให้สถานการณ์ในตอนนั้นเหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เมียนมา ก็คงจะได้รับการบริจาคทรัพยากรต่างๆ ผู้ผลิตเวชภัณฑ์และองค์กรต่างๆ จากทั้งในและนอกประเทศ

เหอเจิ้นเหนียนเดินออกไปข้างนอกกว่าสิบนาทีแล้ว ก่อนจะเดินกลับมาด้วยสีหน้าวิตกกังวล “หมอไป๋ครับ คือว่า ตอนนี้องค์การอนามัยโลกและสภากาชาดได้จัดเตรียมเวชภัณฑ์ไว้ให้แล้วและทางการของเราก็กำลังดำเนินการสั่งซื้อเวชภัณฑ์เช่นกัน ของน่าจะมาถึงที่นี่อย่างเร็วก็ภายในสองสามวันครับ”

ไป๋เยี่ยครุ่นคิด เวชภัณฑ์ที่ต้องใช้ในแต่ละวันนั้นมีจำนวนมากเกินไป ยังมีเวชภัณฑ์พื้นฐานอย่างผ้าก๊อซ ยาชา ยาห้ามเลือด ยาต้านเชื้อแบคทีเรียและลดอักเสบที่ต้องถูกใช้ในทุกๆ วันด้วย

เหอเจิ้นเหนียนเห็นไป๋เยี่ยเงียบไปก็ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง ไม่มีใครอยากให้เรื่องราวมาถึงจุดนี้หรอก

เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน ทุกฝ่ายก็ต้องเข้ามาสนับสนุนอยู่แล้ว

การเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเขตเมืองเช่นนี้ย่อมใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ประเทศเมียนมาไม่ใช่ประเทศที่มีฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง การจะเพิ่มมูลค่าทางการค้าได้ต้องคอยอาศัยการบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจพอตัว

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น “ผบ.เหอครับ ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ”

เหอเจิ้นเหนียนพยักหน้าและยื่นโทรศัพท์ให้ไป๋เยี่ย “ผมตั้งค่าไว้แล้ว โทรไปจีนได้”

ไป๋เยี่ยรับโทรศัพท์มาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดต่อสายหาโจวเม่า

บริษัทจื้อเหิงเป็นบริษัทที่จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์พื้นฐานตามราคามาตรฐาน หลังจากที่ไป๋เยี่ยส่งผ้าก๊อซห้ามเลือดไปให้ทางบริษัทวิจัยในตอนนั้นแล้ว ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการผลิต ยังไม่ได้วางจำหน่ายในตลาดแต่อย่างใด เพราะว่ายังไม่ผ่านการอนุมัติ

ขั้นตอนการอนุมัติเวชภัณฑ์นั้นช้ามาก ทำให้จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็เกิดความคิดที่จะลองผลิตผ้าก๊อซห้ามเลือดในประเทศเมียนมา

ไม่ใช่แค่ผ้าก๊อซ แต่ยังมีสเปรย์ลิโดเคนด้วย

ไป๋เยี่ยคิดว่าตอนนั้นเขาเปิดใช้งานแพ็คไอเทมพิเศษน้อยเกินไปจริงๆ จึงไม่ได้รับเวชภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม มิเช่นนั้นนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีก็เป็นได้

เพียงแค่อาศัยผลการตรวจสอบประสิทธิภาพของการรักษาระหว่างช่วงที่เกิดแผ่นดินไหวและทำการเก็บข้อมูล ก็เผยแพร่ผลิตภัณฑ์ได้แล้ว

ไป๋เยี่ยต่อสายหาโจวเม่าจากบริษัทจื้อเหิงทันที

ใช้เวลาต่อสายไม่นาน ในที่สุดโจวเม่าก็รับสายแล้ว น้ำเสียงของเขาฟังดูประหลาดใจเล็กน้อย “เสี่ยวเยี่ย! กว่าจะโทรมานะ”

ไป๋เยี่ยขัด “ลุงโจว เรื่องนั้นไว้ก่อนนะครับ ตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญอยากถาม”

โจวเม่าได้ยินดังนั้นก็ถามต่อทันที “โอ้ มีอะไรเหรอเสี่ยวเยี่ย”

ไป๋เยี่ยจึงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง “ที่บริษัทของเรามีผ้าก๊อซห้ามเลือดและสเปรย์ลิโดเคนเหลืออยู่เท่าไหร่ครับ”

โจวเม่าตอบ “ตั้งแต่เสี่ยวเยี่ยเอาของพวกนั้นมา บริษัทของเราก็ผลิตมันเป็นจำนวนมากมาโดยตลอดนะ ตอนนี้เราก็แค่ทดลองผลิตภัณฑ์นี้โดยอาศัยความร่วมมือจากแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อของผู่เจ๋อเท่านั้น ในคลังยังเหลืออีกเยอะเลยแหละ”

ไป๋เยี่ยพูดต่อ “ลุงโจว ตอนนี้ที่นี่มีคนจำนวนมากที่รอของพวกนี้อยู่ ลุงโจวเห็นไหมครับ…เพราะงั้นช่วยส่งผ้าก๊อซห้ามเลือดห้าร้อยกล่องกับสเปรย์ลิโดเคนหนึ่งแสนขวดมาที่นี่ทีครับ”

เหตุผลที่ไป๋เยี่ยออกปากเช่นนี้ ก็เพราะว่าไป๋เยี่ยไม่สามารถตัดสินใจทุกอย่างในบริษัทได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทตัวเองแต่ก็ต้องมีการดำเนินการตามแบบฉบับของบริษัทเช่นกัน นั่นคือทุกคนต้องร่วมกันตัดสินใจ การที่ไป๋เยี่ยพูดออกไปแบบนั้นก็เพราะเขายังเคารพโจวเม่าอยู่

โจวเม่ามีท่าทีลังเลเล็กน้อย การลงทุนครั้งนี้อาศัยเงินจำนวนมาก อย่างน้อยๆ ก็หลายล้านหยวน ทว่าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิด ในฐานะที่บริษัทถูกก่อตั้งขึ้นมาเป็นบริษัทเวชภัณฑ์แห่งหนึ่ง การได้รับชื่อเสียงจากเรื่องนี้ย่อมถือเป็นสิ่งที่ดี

โจวเม่ากล่าว “แล้ว…ที่นั่นเขาให้ใช้ของพวกนี้ได้เหรอ มันยังไม่ผ่านการอนุมัติเลยนะ”

ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจอธิบายเรื่องนี้ให้ผู้บัญชาการเหอ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน