บทที่ 262 ศิษย์น้องตัวน้อย

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 262 ศิษย์น้องตัวน้อย

บทที่ 262 ศิษย์น้องตัวน้อย

ซีชิงอิ่ง?

ลูกพี่ลูกน้องของจ้านฉีคือซีชิงอิ่งเองงั้นเหรอ?

โจวอี้รู้สึกว่าสมองของเขาประมวลผลแทบไม่ทัน เพราะเขารู้สถานการณ์ครอบครัวของซีชิงอิ่งดี

ซีชิงอิ่งจะปล่อยให้จ้านฉีอยู่คนเดียวได้ยังไง?

โจวอี้มองที่ใบหน้าที่น่ารักของจ้านฉีแล้วถามว่า “ซีชิงอิ่งรู้ไหมว่าหนูมีความสามารถในการอ่านใจ”

“ไม่รู้ค่ะ”

พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็ก และเธอไม่มีญาติสนิท

นอกจากนี้ ความสามารถพิเศษที่อธิบายไม่ได้ก็ทำให้เธอประหม่าอยู่เสมอ

เธอมักจะปิดบังความสามารถในการอ่านใจของเธอ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะกลัวเธอและมีความคิดที่ไม่ดีกับเธอ

แม้แต่ลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเธออย่างซีชิงอิ่ง เธอก็ไม่ได้บอกความลับนี้ให้รู้ เพราะกลัวว่าเมื่อบอกไปแล้วอีกฝ่ายจะตีตัวออกห่างด้วยความกลัว

โจวอี้มองไปที่จ้านฉีด้วยสีหน้าซับซ้อน

จ้านฉีสามารถอ่านใจได้ ซึ่งเป็นความสามารถที่ทรงพลังอย่างยิ่ง หากใช้มันอย่างถูกต้อง มันจะเป็นอาวุธที่ทำให้ศัตรูทั้งหมดต้องตกตะลึง

“จ้านฉีน้อย หนูมาหาฉันเพื่อให้ฉันรักษาหนูเหรอ? หนูไม่ต้องการอ่านใจใครอีกต่อไปแล้วเหรอ?” โจวอี้ถาม

“อื้ม” จ้านฉีพยักหน้าเบา ๆ

เธอรู้สึกไม่ดีกับความสามารถนี้ เพราะการที่เธอสามารถได้ยินเสียงความคิดของผู้คนจำนวนมาก มันทำให้เธอมีภาระทางจิตใจอย่างหนัก

เธอแค่อยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติเท่านั้น

“จ้านฉีน้อย ฉันสามารถรักษาหนูได้ แต่ฉันคิดว่าหนูควรเจอคนผู้หนึ่งที่มีพลังมากกว่าฉัน ถ้าหนูได้เจอเธอคนนั้น ชะตาชีวิตของหนูอาจเปลี่ยนไปตลอดกาล และแน่นอนว่ามันจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น” โจวอี้กล่าว

“คนคนนั้นคือใครคะ?”

“อาจารย์ของฉันเอง เป็นหมอจีนที่ทรงพลังที่สุดในประเทศเรา”

“เธอจะสามารถรักษาหนูได้ใช่ไหม?” แววตาของจ้านฉีเป็นประกาย

“ใช่ หนูต้องการแบบนั้นไหม?”

“ต้องการค่ะ”

“ถ้าหนูตกลง อาจารย์ของฉันจะรักษาหนู แต่หนูคงต้องออกจากเมืองจินหลิงเพื่อไปอยู่กับอาจารย์ของฉันนะ” โจวอี้อธิบาย พลางมองไปที่จ้านฉีซึ่งเริ่มมีท่าทีลังเล

เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็เริ่มกังวลและกล่าวเสริมทันทีว่า “อาจารย์ของฉันเป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลก เธอไม่เพียงแต่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังมีจิตใจที่เมตตา ถ้หานูติดตามเธอไป เธอจะรักหนู และดูแลหนูเหมือนแม่ที่ดูแลลูก”

จ้านฉีงุนงงเล็กน้อย

“จ้านฉี ฉันคิดว่าหนูน่าจะเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับประโยคที่ว่า หมอคือพ่อแม่ อาจารย์ของฉันเป็นแพทย์แผนจีนที่ทรงพลังที่สุดในประเทศเรา ผู้คนนับไม่ถ้วนเคารพเธอและรักเธอมาก พูดตามตรง ฉันก็เป็นเด็กกำพร้า ฉันถูกรับเลี้ยงจากอาจารย์ตอนที่ฉันยังเด็ก เธอเลี้ยงดูฉันจนเติบใหญ่เลยล่ะ” โจวอี้กล่าว

“คุณ คุณก็เป็นเด็กกำพร้าด้วยเหรอ?” จ้านฉีถามด้วยความประหลาดใจ

“ฉันไม่ได้โกหกหนู ฉันเป็นเด็กกำพร้าจริง ๆ แต่ฉันโชคดีที่ได้พบกับอาจารย์ของฉัน เธอไม่เพียงแต่เลี้ยงดูฉัน แต่ยังสอนทักษะทางการแพทย์ สอนให้ฉันเป็นคนดี และสอนให้ฉันเชี่ยวชาญในทักษะอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าหนูอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแบบฉันในอนาคตก็เชื่อฉันเถอะ”

“หนู…”

จ้านฉีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนัก เป็นเรื่องยากที่จะเลือกได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้

เธอไม่ได้ยินเสียงความคิดของโจวอี้ จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่โจวอี้พูดนั้นจริงหรือเท็จ

หากเป็นเรื่องจริง เธอก็จะตกลง

แต่ถ้าเป็นเรื่องเท็จ…

เธอกลัวว่าจะถูกจับไปทดลองเหมือนหนูตัวหนึ่ง

โจวอี้เองก็เดาความคิดของเด็กน้อยคนนี้ได้เช่นกัน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจที่จะเสี่ยง

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเหลียนซาน และขอให้อีกฝ่ายกลับเข้ามาที่ห้องให้คำปรึกษา

ไม่นานเหลียนซานก็เข้ามา

โจวอี้มองไปที่เหลียนซานและถามว่า “ผมมีบางอย่างที่จะถามคุณ คุณต้องตอบตามจริง”

“ได้!” เหลียนซานพยักหน้าทันทีเมื่อเห็นโจวอี้ดูจริงจังมาก

“อาจารย์ของผม คุณน่าจะรู้นะว่าเธอเป็นคนยังไง” โจวอี้ถาม

“ใช่ ฉันรู้ เธอเป็นหมอจีนที่เก่งที่สุดในจีน เธอได้รับความเคารพอย่างสูงและมีจิตใจเมตตา” เหลียนซานกล่าวออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเธอเอง

จ้านฉีจ้องมองไปที่เหลียนซาน และเธอก็ได้ยินเสียงในใจของเหลียนซาน

ดังนั้นเธอจึงแน่ใจว่าสิ่งที่เหลียนซานพูดนั้นเป็นความจริง และสิ่งที่โจวอี้พูดก่อนหน้านี้ก็เป็นความจริง

“หนูตกลงค่ะ” จ้านฉีหันไปพูดกับโจวอี้

“จ้านฉีน้อย ฉันรับประกันว่าในอนาคตหนูจะดีใจกับการตัดสินใจในวันนี้ของหนู และขอขอบคุณอย่างจริงใจที่เชื่อในตัวฉัน” โจวอี้ยิ้ม “ก่อนอื่น ตามหมอเหลียนไปที่ห้องถัดไปนะ แล้วรอฉันก่อน หลังจากที่ฉันรักษาคนไข้ที่เหลือเสร็จแล้ว ฉันจะพาหนูไปทานอาหารเย็น หมอเหลียน ช่วยดูแลเธอให้ผมก่อนนะ”

“หา? ให้ฉันดูแล?” เหลียนซานตกตะลึงและลังเล

เมื่อเห็นท่าทางของเหลียนซานเป็นเช่นนี้ จ้านฉีก็มีสีหน้ามืดหม่นทันที

เธอได้ยินว่าหมอเหลียนกลัวเธอและไม่อยากอยู่ใกล้

“หนู…หนูจะออกไปรอข้างนอกเอง” จ้านฉีพูดแล้ววิ่งออกไป

โจวอี้พยายามที่จะหยุดเด็กน้อย แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้

เขาเดาว่าเหลียนชานคงไม่เต็มใจเท่าไหร่ และจ้านฉีก็ได้ยินความคิดนั้น

ช่วงเวลานี้เขารู้สึกสงสารจ้านฉีน้อยจริง ๆ

20 นาทีต่อมา โจวอี้ก็รักษาผู้ป่วยที่เหลืออีกสองรายจนเสร็จสิ้น จากนั้นจึงถอดชุดกาวน์ออกและโทรหาฉู่เทียนฮุ่ยผู้เป็นอาจารย์ของเขา

“มีเรื่องอะไร?” เสียงของฉู่เทียนฮุ่ยดูเหนื่อยเล็กน้อย

“อาจารย์! อาจารย์กำลังทำอะไรอยู่? ทำไมฟังดูเหมือนกำลังเหนื่อย?” โจวอี้ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“กำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่” ฉู่เทียนฮุ่ยตอบกลับ

“เอาเถอะ อาจารย์ทำอะไรก็เรื่องใหญ่หมดอยู่ดีแหละ” โจวอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมมีคนที่อยากให้อาจารย์รับไปอยู่ด้วย ผมหวังว่าอาจารย์จะดูแลเธอได้”

“หมายความว่าไง? ใคร?”

“เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เธออายุประมาณสิบเอ็ดปี เธอชื่อจ้านฉี เป็นเด็กกำพร้า”

“แล้วทำไมนายไม่รับเลี้ยงเอง? ทำไมต้องยัดเยียดให้ฉันด้วย?”

“ผมไม่สามารถดูแลเธอไหวน่ะสิ” โจวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว

“หมายความว่ายังไง?”

“เธอมีพลังจิต สามารถอ่านใจคนได้”

“อ่านใจได้เหรอ? แน่ใจแล้วใช่ไหม?” ฉู่เทียนฮุ่ยเริ่มจริงจังขึ้นมาทันที

“ผมแน่ใจ เด็กคนนี้น่าสงสารมาก เธอคิดว่าตัวเองเป็นโรคประหลาดก็เลยมาหาผมและหวังให้ผมรักษาเธอ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องอ่านความคิดของคนอื่นอีก”

“รอฉันก่อน ฉันจะไปถึงเมืองจินหลิงอย่างช้าที่สุดตอนเย็น”

“อืม ผมจะเตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้อาจารย์นะ”

เมื่อจบการสนทนา

โจวอี้ก็เดินออกจากห้องและเห็นจ้านฉีกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอก เธอก้มหน้าลงโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“จ้านฉีน้อย ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปกินของอร่อย ๆ” โจวอี้ยิ้ม

“หนูมีเงินค่ะ” จ้านฉีเอ่ยขึ้น

“จะใช้เงินทำไมในเมื่อมีฉันอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าหนูจะติดตามฉันหรืออาจารย์ของฉัน นับจากนี้หนูไม่จำเป็นต้องใช้เงินอีกแล้วล่ะ” โจวอี้พูดพร้อมเอื้อมไปจับมือเด็กน้อย

ร่างกายของจ้านฉีสั่นสะท้านและต้องการชักมือกลับโดยไม่รู้ตัว แต่โจวอี้จับไว้แน่นจนเธอดึงกลับไปไม่ได้

“จ้านฉีน้อย หลังจากนี้หนูจะต้องเรียกฉันว่าศิษย์พี่นะ”

ศิษย์พี่?

จ้านฉีนึกถึงพวกผู้ฝึกยุทธ์โบราณทั้งหลายแหล่ที่เห็นในละครทีวี

ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง นั่นคือครอบครัว

ชายคนนี้… ถือว่าเธอเป็นครอบครัวเขาแล้วงั้นเหรอ?

จ้านฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้น โจวอี้ก็จูงมือเธอเดินไปข้างหน้า

…และเธอก็ไม่ได้ต่อต้านเขาอีกต่อไป