ตอนที่ 292 ว่าที่ลูกเขยพบพ่อตา
“หมอแผนจีนเย่คนนั้นรักษาอวี้หลงสองครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? ได้ผลอะไรบ้างไหม?”
เสิ่นเถี่ยจวินเอ่ยตอบ “ก็เหมือนเดิมครับ”
ผู้เฒ่าเสิ่นได้ยินดังนั้น มือแห้งกร้านของเขาพลันตบลงบนต้นขาอย่างแรงสองครั้ง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน “เฮ้อ ไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้นะ”
เขาหงุดหงิดไม่น้อย เสิ่นอวี้หลงเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลเสิ่น หากเสิ่นเถี่ยจวินหย่ากับเซี่ยหลาน เขาย่อมต้องการให้หลานชายอยู่กับครอบครัวของเขาเป็นธรรมดา
เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเลือก
ทว่าหากอาการของเสิ่นอวี้หลงไม่ดีขึ้นและต้องนอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลอย่างไร้สติ ชายชราก็ยังไม่กล้าปล่อยให้ลูกชายของเขาต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเสิ่นอวี้หลง
“พรุ่งนี้แกไปหาหมอแผนจีนเย่เป็นการส่วนตัว ถามถามเขาถึงสถานการณ์ของอวี้หลง หากหลานฟื้นขึ้นมา ในวันข้างหน้าตระกูลเสิ่นของเราจะมีความหวัง และถ้าหากถึงจุดที่ต้องหย่าร้างจริง ๆ เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูอวี้หลง“
เสิ่นอวี้อิ๋งเก็บกระเป๋านักเรียนและเสื้อผ้าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังจะเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็พลันได้ยินถ้อยคำของผู้เฒ่าเสิ่นอยู่หน้าประตู ใบหน้าของหญิงสาวพลันมืดมนพร้อมกับฝีเท้าที่หยุดชะงัก
หากเสิ่นอวี้หลงฟื้นขึ้นมา ตระกูลเสิ่นของพวกเขาจึงจะมีความหวัง?
แท้จริงแล้วตระกูลที่มีหน้ามีตามีบารมีเช่นตระกูลเสิ่นก็ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นกัน
ภายนอกพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขารักหล่อนมากเพียงใด แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่คิดว่าหล่อนเป็นหลานสาวเสียด้วยซ้ำไป
อนาคตของของตระกูลเสิ่น พวกเขาคงไม่ฝากฝังไว้ในมือหล่อน เสิ่นอวี้อิ๋งเป็นแน่
แม้ว่าหล่อนจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ครอบครัวก็ไม่เคยมองว่าหล่อนเป็นความหวังของตระกูล
แล้วหล่อนจะพยายามไปเพื่ออะไร?
เสิ่นอวี้อิ๋งซ่อนใบหน้าบึงตึงและเย็นชาเอาไว้ ก่อนเอ่ยตะโกนเข้าไปด้านในห้อง “พ่อคะ หนูเก็บของเสร็จแล้ว”
“อืม กลับบ้านกันเถอะ”
ครั้นสองพ่อลูกกลับมาถึงเขตพักอาศัย พ่อแม่ของหลิวจื้อหมิงและหลิวลี่ลี่ก็รออยู่ที่หน้าประตูแล้วด้วยความร้อนใจจนแทบล้นอก
‘”ผู้อำนวยการเสิ่น เกิดอะไรขึ้นกับจื้อหมิงของเราหรือ? ทำไมเขาถึงถูกควบคุมตัวไป? คุณต้องช่วยเขานะ”
เสิ่นเถี่ยจวินเห็นพวกเขาแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย ปริปากเอ่ยปลอบพวกเขาว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่มีเรื่องอะไรครับ วันนี้ผมไปหาเขามาแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะกลับมา”
แม่หลิวดูวิตกกังวล เมื่อได้ยินว่าลูกชายกระทำความผิดบางอย่าง และมีแนวโน้มที่จะถูกตัดสินลงอาญา
หล่อนกลัวว่าเสิ่นเถี่ยจวินจะกล่าวบอกแบบขอไปที จึงมองไปยังเสิ่นอวี้อิ๋ง พร้อมขยับเข้ามาใกล้ “ผู้อำนวยการเสิ่น เขาเป็นว่าที่ลูกเขยของคุณ คุณจะปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับเขาไม่ได้นะคะ ไม่เช่นนั้นแล้วอวี้อิ๋งจะทำอย่างไรต่อไป?”
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นครับ”
เสิ่นเถี่ยจวินเหลือบมองเสิ่นอวี้อิ๋ง พร้อมเอ่ยตัดบทเสียงเย็น จากนั้นจึงไขประตูเข้าบ้านไป
เสิ่นอวี้อิ๋งต้องการตามเขาเข้าไป ทว่าแม่หลิวดึงมือของเสิ่นอวี้อิ๋งเอาไว้ แล้วขอร้องว่า “อวี้อิ๋ง เธอเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของครอบครัวเรา เธอต้องบอกให้คุณพ่อของเธอช่วยจื้อหมิงนะ”
แม่หลิวเอ่ยเสียงดัง ทำให้เสิ่นอวี้อิ๋งตกใจเสียจนคิ้วขมวด “เบาเสียงลงหน่อยค่ะ คนอื่นได้ยินหมดแล้ว”
แม่หลิวนั้นมีท่าทางเหมือนคนที่ผ่านไปมา หล่อนยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย “เธอกลัวอะไร ครั้งก่อนที่เธออยู่กับจื้อหมิงในห้องของเขา ฉันเองได้ยินทุกอย่าง ยังจะมาเขินอายเรื่องอะไรอีก?”
เสิ่นอวี้อิ๋งก้มหน้าลงด้วยความอาย แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน
หลิวลี่ลี่มองไปยังประตูบ้านที่ถูกปิดแน่นของครอบครัวเสิ่น แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่คะ พี่ชายทำอะไรกับอวี้อิ๋งในห้องของเขาเหรอ?”
“ลูกไม่ต้องถาม กลับบ้านกันก่อนเถอะ”
…………..
เช้าวันรุ่งขึ้น ทันทีที่หลินเซี่ยมาถึงร้านเสริมสาย เซี่ยไห่ก็รีบเร่งรุดเข้ามาหา
เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เซี่ยเซี่ย อาของเธอโทรมา พวกเขาอยู่บนรถไฟแล้ว บ่ายนี้เราไปรับพวกเขาที่สถานีกัน”
“ฉันต้องไปด้วยเหรอคะ?” หลินเซี่ยชี้มาที่ตัวเอง
เซี่ยไห่กล่าวว่า “แน่นอนว่าเธอต้องไปด้วย เจียเหอเองก็เลิกงานตอนบ่าย พวกเราไปด้วยกันเลย นั่นคือคุณย่า คุณพ่อ แล้วก็คุณอาของเธอเลยนะ”
เซี่ยไห่คึกคักอย่างยิ่งราวกับไปตลาดอย่างไรอย่างนั้น “ฉันจะไปหาพี่สาวอิงจื่อตอนนี้เพื่อถามความคิดเห็นของหล่อน ถ้าหล่อนไปได้จะดีที่สุด”
หลินเซี่ยเอ่ยรั้งเขาไว้ “คุณไม่ต้องไปถามแม่ฉันหรอกค่ะ รอเมื่อพวกเขามาถึงก็ให้พักผ่อนสักหน่อย แล้วพวกเราค่อยนัดวันเวลาให้ทุกคนได้พบหน้ากันอีกครั้ง ถ้าคุณจะให้แม่ฉันไปตอนนี้ หล่อนจะไม่ยินยอมอย่างแน่นอน”
“ก็จริง”
เซี่ยไห่เอ่ยกับเธอต่อ “แล้วเธอล่ะ? เธอต้องไปนะ”
“ให้ฉันไปน่ะได้” หลินเซี่ยแสดงความกังวลของตัวเองออกมา “แต่พี่ใหญ่ของคุณกำลังทุกข์ทรมานจากการสูญเสียความทรงจำ ถ้าฉันไปแล้วคุณจะแนะนำฉันว่าอย่างไร? ถ้าคุณย่าตื่นเต้นเมื่อได้พบหน้าฉัน แล้วกอดกันร้องไห้ขึ้นมา คุณจะอธิบายสถานะของฉันว่าอย่างไร? เขาจำแม่ฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาจะรับมือกับเรื่องที่ว่าตัวเองมีลูกสาวได้ไหม? คุณลองคิดไตร่ตรองดูให้ดี ถึงอย่างไรฉันก็ว่าตามคุณอยู่แล้ว”
เมื่อเซี่ยไห่ได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยวิเคราะห์ ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
เมื่อหญิงชราเห็นหลานสาวคนโตของตน นางย่อมต้องตื่นเต้นมากจนร้องไห้กอดหลานจริง ๆ และหากพี่ใหญ่ถามขึ้นมา เขาก็อธิบายไม่ได้จริง ๆ
จุดสำคัญคือในตอนที่หญิงชราอยู่ที่ฮ่องกง นางไม่กล้าเล่าเรื่องราวในอดีตให้พี่ใหญ่ฟังเสียด้วยซ้ำไป
เมื่อลองคิดดูว่าหากให้หลิวกุ้ยอิงก็ปรากฏตัวต่อหน้าพี่ใหญ่อย่างกะทันหัน ดูจะไม่เป็นการหย่อนระเบิดเกินไปหน่อยหรือ
ดังนั้นระหว่างนี้ ปลอดภัยสักหน่อยและไม่ทำให้เขาตกใจจะดีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับเจียเหอ เมื่อได้พบกันแล้ว ฉันจะฉีดวัคซีนป้องกันให้คุณย่าของเธอก่อน เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ตื่นเต้นจนเกินไปนัก หรือพวกเธอจะพบกันตามลำพัง สามารถกอดคอร้องไห้กันได้ตามที่ต้องการ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ค่อยไปพบคุณพ่อของเธอ”
หลินเซี่ย “…”
ในตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ อาจารย์หวังและชุนฟางยังไม่มา มีเพียงหลินเยี่ยนซึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่ข้างใน เซี่ยไห่จึงเอ่ยถามหลินเซี่ย “ฉันได้ยินจินซานพูดว่าเธอกำลังสอบถามเรื่องร้านค้าต่าง ๆ เธอจะทำอะไร?”
“เปิดร้านใหม่”
หลินเซี่ยแนะนำแผนพิมพ์เขียวของตัวเองให้เขาฟัง “ฉันวางแผนจะขยายธุรกิจ โดยจะเปิดร้านแต่งหน้าทำผมเจ้าสาวและให้เช่าชุดแต่งงาน”
“ร้านตัดผมตอนนี้มีอาจารย์หวังและชุนฟางแล้ว ฉันสามารถใช้เวลาไปกับการตระเตรียมการอื่นได้ ไต่ไปทีละขั้น ๆ สู่ธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่สามารถเก็บร้านตัดผมแห่งนี้ไว้ได้ตลอดไป”
เซี่ยไห่สนับสนุนในคามฉลาดและทะเยอะทยานในหน้าที่การงานของหญิงสาวอย่างยิ่ง “ที่เธอพูดมานั้นถูกต้อง ตั้งใจว่าจะเปิดที่ไหนเหรอ ฉันจะให้คนหาดูให้”
หลินเซี่ยเอ่ยตอบ “เฉินเจียเหอบอกว่าโรงงานแห่งใหม่ของพวกเขาจำเป็นต้องย้ายที่ตั้ง ฉันจึงตั้งใจว่าจะเปิดร้านใหม่ใกล้ ๆ กับโรงงานแห่งใหม่ของพวกเขา ตอนนี้กำลังมองหาร้านอยู่ เพื่อที่จะจัดการให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาโดยเร็ว”
เซี่ยไห่ชูกำปั้นให้เธอเพื่อให้กำลังใจ “สู้ ๆ นะ สมาชิกตระกูลเซี่ยของเราทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจ ในอนาคตย่อมประสบความสำเร็จแน่ และในวันข้างหน้า เราสองอาหลานจะร่วมมือกันเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต“
เซี่ยไห่เอ่ยชมเชยหลินเซี่ย แล้วก็ถือโอกาสชมตัวเองด้วย ก่อนที่เขาจะจากไปราวสายลม
เมื่อเซี่ยไห่ขับรถออกไป หลินจินซานก็เดินเข้ามาอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
หลินเซี่ยเมื่อเห็นหลินจินซานที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเช่นนี้ก็พลันพูดไม่ออกอยู่เล็ก ๆ “พี่ชาย ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ ตื่นเช้าขนาดนี้แล้วตอนกลางคืนจะไปทำงานได้อย่างไร?”
“นอนไม่หลับ” หลินจินซานนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสายตาที่เหม่อลอย
ช่วงนี้หลินเยี่ยนไม่มีอะไรทำ หลินเซี่ยจึงเรียกให้มาที่เรียนรู้งานที่ร้านเสริมสวย
หากแต่ไม่ได้มาเรียนตัดผม แต่ใช้เวลาไปกับแต่งหน้าแทน
หลินเซี่ยต้องการฝึกหลินเยี่ยนให้เป็นช่างแต่งหน้า
สาวน้อยทำงานในร้ายขายอาหารนั้นหนักหน่วงเกินไป
การเรียนศิลปะการแต่งหน้าย่อมมีอนาคตแน่นอน
หลินเซี่ยมีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน หากเป็นไปตามแผนที่พวกเขาวางไว้ว่าจะให้เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเปิดร้านอาหารด้วยกัน หลิวเยี่ยนย่อมไม่อาจติดตามหลิวกุ้ยอิงไปเป็นก้างขวางคอได้
หลินเยี่ยนเหลือบมองหลินจินซาน แล้วกระซิบบอกหลินเซี่ย “พี่คะ หลายวันมานี้พี่ชายจิตใจแห้งเหี่ยวมาก”
หลินเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองหลินเยี่ยนด้วยความงุนงง “เพราะอะไร?”
หลินเยี่ยนลดเสียงลงและอธิบายอย่างระมัดระวัง “เขากลัวว่าเมื่อพ่อที่แท้จริงของพี่มาถึง พี่กับแม่จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วไม่สนใจเราสองคน”
อันที่จริง นี่ไม่ใช่แค่หลินจินซานที่กังวล ทว่านี่ยังเป็นสิ่งที่หลินเยี่ยนกลัวที่สุดด้วยเช่นกัน
แม้ว่าแม่จะพร่ำบอกกับหล่อนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ในใจของพวกเขาก็ยังคงกระวนกระวาย
กลัวจะกลายเป็นเด็กไม่มีครอบครัว
“พวกเธอสองคนกังวลเกินไปแล้ว”
หลินเซี่ยมองไปยังทั้งสองคน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราต่างเป็นพี่น้องกัน พวกเธอเองก็อยากให้ปม่มีความสุขใช่ไหม?”
“พี่คะ พี่เองอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว เมื่อพบคู่ครองที่เหมาะสมก็ต้องสร้างครอบครัวของตัวเอง เสี่ยวเยี่ยนก็ต้องแต่งงานเหมือนกัน หลังจากที่เราทุกคนต่างมีครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเองแล้ว แม่ก็โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่เพียงลำพังจะทำอย่างไร? แม่อายุเพียงสี่สิบต้น ๆ แก่กว่าเซี่ยไห่สามปี ดูสภาพจิตใจของพวกเขาสิ คนหนึ่งเหมือนคนเฒ่าคนแก่ ในขณะที่อีกคนราวกับเด็กวัยรุ่นใช่ไหมล่ะ? แม่ยังมีเวลาเหลือให้ใช้ชีวิตอีกตั้งยี่สิบสามสิบปี พวกเธอทนเห็นแม่อยู่โดดเดี่ยวอ้างว้างได้หรือเปล่างั้นเหรอ?”
“ฉันเคารพความคิดเห็นของแม่ ในขณะเดียวกันฉันก็สนับสนุนให้แม่แสวงหาความสุข มากกว่าอ้างหลักศีลธรรมมาบังคับให้คนคนหนึ่งทำตามที่ตนเห็นว่าดี โดยไม่คำนึงว่าแม่นั้นยินยอมพร้อมใจหรือไม่ ล่ามเธอไว้กับลูกชายลูกสาว ซึ่งจะไม่ยุติธรรมสำหรับแม่”
วาจาของหลินเซี่ย ทำให้ทั้งหลินจินซานและหลินเยี่ยนก้มหน้าลงด้วยความละอาย
ทั้งสองคนไม่มีสำนึกตัวเช่นหลินเซี่ย หรือการยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองของเธอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย
หลินจินซานพลันรู้สึกละอายใจ
เขาเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีที่ แต่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยจนถึงตอนนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าหลิวกุ้ยอิงมีแนวโน้มจะกลับไปคืนดีกับคนรักเก่าอย่างพ่อแท้ ๆ ของหลินเซี่ยอีกครั้ง เขาก็รู้สึกไม่มั่นคงจริง ๆ
หลินเยี่ยนเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่ จึงอยู่ไม่ได้หากไม่มีแม่
“เอาล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ มุ่งความสนใจไปให้กับงาน หากมีผู้หญิงคนไหนที่ชอบก็ไปตามจีบเธอเสีย ติดตามหล่อน พาหล่อนไปออกเดต และใช้ชีวิตให้เต็มที่ จะได้ไม่มีเวลามาคิดฟุ้งซ่าน”
“เธอเองก็เหมือนกัน เสี่ยวเยี่ยน เรียนแต่งหน้ากับพี่อย่างจริงจัง พอเปิดร้านใหม่แล้วมีหน้าที่ยิ่งใหญ่รอให้เธอรับผิดชอบอยู่”
ด้วยการกำลังใจจากหลินเซี่ย สองพี่น้องจึงกลับสู่ตำแหน่งหน้าที่ของตน
ตอนบ่าย เซี่ยไห่ขับรถไปรับเฉินเจียเหอแล้วไปยังสถานีรถไฟ
เซี่ยไห่มองไปยังเฉินเจียเหอที่ตั้งใจแต่งตัวมาอย่างดี ทำท่าวางมาด ทั้งยังหายใจเข้าลึกอย่างกระวนกระวายใจแล้ว มุมปากของเขาพลันกระตุกยิ้มเล็กน้อย
ท่าทางร้อนอกร้อนใจของเขานี้เหมือนกับว่าที่ลูกเคยที่ได้พบพ่อตาเป็นครั้งแรก
เขาอดเอ่ยกำชับเฉินเจียเหอไม่ได้ “อีกครู่เมื่อได้พบกันก็อย่าตื่นเต้นเกินไป เวลาแนะนำตัวก็บอกว่าเป็นเพื่อนฉัน อย่าซื่อบื้อเรียกฉันว่าพี่ภรรยา ในความทรงจำของพี่ใหญ่ของฉัน ตัวเขายังคงเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน นายอย่าไปเรียกว่าพ่อตาให้คนฟาดเอา”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สร้างเนื้อสร้างตัวให้ดีกันนะจินซานเสี่ยวเยี่ยน ถึงเวลานั้นก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นแหละที่พึ่งพาได้
เอาล่ะ เตี๊ยมกันให้ดีๆ นะ อย่าได้โป๊ะ
ไหหม่า(海馬)