บทที่ 276 รู้ว่าคนรักข้าดีมากแค่ไหนก็พอ
บทที่ 276 รู้ว่าคนรักข้าดีมากแค่ไหนก็พอ
หากเป็นไปได้ ชิงหลานเฟยไม่อยากให้พวกลูก ๆ ต้องไปข้องเกี่ยวกับความแค้นของคนรุ่นก่อนเลย
เห็นทั้งสองคนมีสีหน้าเคร่งขรึมไป ชิงอวี่ก็เลิกคิ้วเหลือบมองโหลวจวินเหยา จากนั้นเอ่ยคำเน้นยำทุกคำ “ข้าขออภัยด้วย คำต่อไปที่ข้าจะพูดอาจทำให้พวกท่านตกใจ แต่พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป”
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่อารามจันทร์กระจ่าง เรื่องท่านพ่อที่ข้ารู้ก็ออกมาจากปากสตรีผู้นั้น”
นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ หากแต่ทำให้ชิงหลานเฟยหน้าซีด ม่านตาเบิกกว้าง นางร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ชิงอวี่เหมือนคิดไว้แล้วว่าทั้งสองคงตอบสนองเช่นนี้ นาจึงยิ้มจนใจ “อาเหยา ท่านบอกพวกเขาแทนทีสิ?”
โหลวจวินเหยาพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นเอ่ยเสียงให้ความมั่นใจ “อาหลาน ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องมันไม่แย่อย่างที่ท่านคิด ชิงอวี่พลันถูกคนจากอารามพาตัวไป ชิงลั่วเยี่ยนไม่รู้ตัวตนนางแม้แต่น้อย ตอนนี้ไว้วางใจนางเต็มที่”
“ไร้สาระสิ้นดี!”
ม่อจิ่งอวี้โกรธจนตาเปลี่ยนเป็นสีแดง จ้องใบหน้าเด็กสาวบนจอเล็กเขม็งแล้วเอ่ยเสียงโกรธ “เจ้ายังรั้งอยู่ในที่อันตรายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? รู้หรือไม่ว่านางคนนั้นน่ากลัวขนาดไหน? นางไม่ลังเลที่จะลงมือสังหารเจ้าทันทีแน่หากรู้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเรา!”
นับเป็นครั้งแรกที่ชิงอวี่ถูกติเตียนรุนแรงเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นคำดุจากท่านพ่อ หากแต่นางไม่เสียใจสักนิด กลับรู้สึกมีชีวิตชีวาแทน
ชิงอวี่หัวเราะ “ท่านอย่ากังวลเลย แท้จริงแล้วนางก็สงสัยตัวตนข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว”
ยามเอ่ยคำออกมา สีหน้าม่อจิ่งอวี้ก็บูดบึ้งไปหมด
เด็กสาวจึงเอ่ยว่า “แต่ถึงจะสงสัย หากไร้หลักฐานยืนยัน นางก็ทำอะไรข้าไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้นางยังขาดข้าไม่ได้จึงไม่คิดสงสัยข้าแล้ว”
ชิงอวี่จึงเล่าเรื่องโรคนอนไม่หลับของชิงลั่วเยี่ยน และถูกฝันร้ายตามหลอกหลอนให้ฟังโดยคร่าว ๆ
“ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าเพียงแต่อยากนำสิ่งที่เป็นของท่านแม่กลับคืน ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่พวกท่านได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง!” ชิงอวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“เด็กโง่ เรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดกับเจ้าเลย” ชิงหลานเฟยนัยน์ตาแดงก่ำ ความรู้สึกในใจยิ่งซับซ้อน
“ข้าก็ไม่ได้ตัวคนเดียว อาเหยาช่วยเหลือข้ามาโดยตลอด ท่านแม่วางใจได้” ชิงอวี่เอ่ยตอบท่านแม่ตน
เมื่ออธิบายเรื่องกระจ่างแจ้งแล้ว ชิงหลานเฟยจึงนึกขึ้นได้ว่ามีอีกอย่างที่ยังไม่ได้ไถ่ถาม
นางหันไปมองโหลวจวินเหยาชั่วขณะ ก่อนเอ่ยถามดูลังเล “เสี่ยวอวี่ เจ้ากับจวินเอ๋อร์…..”
แม้นางจะไม่ได้คัดค้าน แต่ก็ประหลาดใจอยู่บ้างว่าวาสนาอันใดพาทั้งสองให้มาพบแล้วรักกันได้
ชิงหลานเฟยเอ่ยเช่นนั้น ม่อจิ่งอวี้ก็หน้าเคร่งทันที เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้มองบุรุษตรงหน้าดีสักเท่าไหร่ ลึกลับ ทั้งยังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง แต่กลับเป็นคนที่หมายตาลูกสาวคนสำคัญของเขาไว้
ชิงอวี่อดเหลือบมองชายที่มองหน้านางท่าทางกังวลเมื่อก่อนหน้าไม่ได้ นางคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราถูกดึงดูดเข้าหากันและรักกันจริง ๆ”
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยคำ เด็กสาวก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“ท่านพ่อ หวังว่าท่านจะไม่ขัดขวางพวกเรา ข้ารู้ว่าคนภายนอกมองอาเหยาไม่ดีนัก แต่ไม่ว่าเขาจะกระหายเลือดสักเพียงไหน ฆ่าคนตาไม่กะพริบสักเพียงไร อย่างไรเขาก็ไม่มีวันทำร้ายข้า เขารักข้ามากกว่ารักตนเองเสียอีก เท่านั้นก็มากพอแล้ว”
ชิงอวี่เอ่ยเสียงช้า ๆ และมั่นใจ เน้นย้ำทุกคำพูด มั่นคงทุกคำกล่าว
โหลวจวินเหยาได้ยินคำพูดของเด็กสาวแล้วก็ใจเต้นแรง เขารู้ว่านั่นเป็นเพราะในใจเขากำลังรู้สึกดีอกดีใจนั่นเอง
จิ้งจอกน้อยยอมรับเขาต่อหน้าบิดามารดานางอย่างกล้าหาญทีเดียว!
ยิ่งทำให้เขารักนางมากขึ้นไปอีก
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินคำชิงอวี่แล้ว ใบหน้าก็ดูไม่ดีเท่าไรนัก เขาเอ่ยเสียงเยาะเย็นชาออกมา “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน? เจ้ายังไม่รู้จักความรักด้วยซ้ำ หากต่อไปข้ารู้ว่าเขาไม่ได้จริงใจกับเจ้า…..”
“ท่านพ่อ ความรักไม่เกี่ยวกับอายุ ใครว่าคนหนุ่มสาวไม่อาจเข้าใจรัก? นั่นก็เพราะเขามักตัดสินคนหนุ่มสาวจากในมุมมองผู้ใหญ่ของตน ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสของข้า ขอท่านอย่าได้สงสัยข้าเช่นนั้นเหมือนกันได้หรือไม่?”
มุมปากชิงอวี่ยังคงรอยยิ้ม ทว่าสัมผัสได้ชัดเจนว่าอารมณ์นางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
คำพูดที่ชิงอวี่กล่าวกับม่อจิ่งอวี้ สำหรับเขากลับไม่ใช่คำพูดที่ฟังแล้วน่ายินดีด้วยนัก
เมื่อเห็นว่าลูกสาวที่เขาคิดถึงนักหนา กล่าวโต้เถียงกับเขาเพราะคนนอก ในใจของม่อจิ่งอวี้อย่างไรก็ต้องรู้สึกเศร้าเสียใจ
ชิงอวี่ที่อยู่อีกฝั่งก็จับสัมผัสได้ ท่าทีการพูดนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่? อาเหยามีร่างกายไม่เหมือนใครอื่น ทำให้ยามได้รับบาดเจ็บบาดแผลจะหายยากมาก แค่เลือดออกคนธรรมดาอาจไม่เป็นไร แต่สำหรับเขา แค่รอยกรีดเดียวก็อาจหมายถึงชีวิตได้”
“แต่เขาก็ยังยอมเสียเลือดจำนวนมากเพราะข้ามาก่อน หากเขาไม่ได้รักข้าจากใจจริง ข้ามีค่าอะไรเขาถึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยไว้เช่นนั้น?”
นั่นเป็นครั้งที่นางซึ้งใจที่สุดก็คือเมื่อครั้งเส้นพลังในร่างนางแข็งไปทั่วทั้งร่าง ชีวิตตกอยู่ในอันตราย
คนโง่ผู้นั้นเชื่อคำไหมไหมเสียสนิท ยอมถ่ายเลือดในร่างสู่กายนางเพื่อละลายน้ำแข็งภายในร่างให้นาง
ตอนนั้นนางหมดสติหลับลึกไป ร่างกายก็ดูดเอาความอบอุ่นมาโดยสัญชาตญาณ นางจะไปรู้หรือว่าแท้จริงแล้วมันคือเลือดของเขา? และหากนางไม่ฟื้นคืนสติเร็วไว เขาก็คงได้ตายเพราะเลือดหมดตัวไปแล้ว
แต่ถึงร่างกายจะถูกดูดเอาเรี่ยวแรงไป เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือนาง ด้วยกลัวว่าหากยอมแพ้ไปเมื่อไร นางอาจไม่ลืมตาตื่นมาพบเขาได้อีก
ในตอนนั้นใจนางซาบซึ้งกับการกระทำของเขามาก
ชายที่ที่มักจะถูกมองว่าเลือดเย็นและหยิ่งผยองกลับดีกับนางมากมาย ไม่เคยแม้จะปฏิเสธนางเพียงครั้ง กระทั่งยามถูกหลอกใช้โดยไม่ได้อะไรเลยก็ตาม เขาก็ยังเต็มใจยอมบาดเจ็บเพื่อช่วยนาง
แล้วนางจะไม่รักเขาได้อย่างไร?
ดังนั้นจึงกล่าวกันว่าความรักเป็นสิ่งที่แปลกและน่าอัศจรรย์นัก มันเกิดขึ้นมาเอง ทั้งยังไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยซ้ำ
หากคนอื่น ๆ ไม่เห็นพ้องกับนางแล้วจะอย่างไร? หากเกี่ยวกับคนที่นางชอบ นางคนเดียวรู้ว่าเขาดีเท่านั้นก็พอแล้ว
เรื่องร่างกายของโหลวจวินเหยา นอกจากไป๋จือเยี่ยนที่อยู่ข้างกายตลอดแล้ว คนอื่น ๆ ที่รู้ก็มีเพียงคนสนิทในแคว้นมารไม่กี่คนเท่านั้น
ส่วนชิงอวี่รู้เรื่องนั้น ประการแรกเพราะนางเป็นนักปรุงยาที่มักจับสัมผัสเรื่องเช่นนี้ได้ดีกว่าใครอื่น อีกทั้งนางยังช่างสังเกตมากด้วย
อีกอย่างหนึ่งคือมีหลายครั้งที่นางเห็นเขาได้แผลเล็ก ๆ แต่หน้าเขากลับซีดผิดปกติ ในภายหลังจึงรู้เรื่องร่างกายที่ไม่เหมือนใครของเขา
ทันทีที่มีบาดแผลบนร่าง เลือดในกายก็จะพลุ่งพล่านหลั่งไหลออกมาราวกับน้ำเขื่อนไหลหลาก ที่หลั่งไหลไม่หยุดหย่อน และมันจะหยุดลงก็ต่อเมื่อร่างกายไม่อาจทานไหวแล้วเท่านั้น
เมื่อชิงอวี่รู้เข้า นางก็ตอบสนองเหมือนไป๋จือเยี่ยนและคนอื่น ๆ ดูแลชายหนุ่มอย่างดีไม่ให้บาดเจ็บได้ ด้วยยามเห็นเขาอ่อนแอเปราะบางเช่นนั้นทำให้นางปวดใจนัก
เห็นเด็กสาวเอ่ยคำด้วยใบหน้าจริงจังเช่นนั้น กระทั่งชิงหลานเฟยยังตกใจ เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เพราะตัวนางเองยังไม่รู้ว่าโหลวจวินเหยามีร่างกายที่เสียเลือดได้ง่ายเช่นนั้น ในความคิดนาง เด็กคนนี้แข็งแกร่งมาโดยตลอด นางไม่เคยเห็นเขาบาดเจ็บเลย
เมื่อครั้งที่เขาฆ่าสังหารตระกูลศัตรูนั้น ซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา เลือดหลั่งไหลดั่งสายธาร ทั่วร่างเขาชุ่มโฉกด้วยเลือดแดงฉาน แต่ไม่มีเลือดสักหยดที่เป็นเลือดของเขา ตอนนั้นเขาคงจะสู้สุดตัวเพื่อไม่ให้ตนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งนับเป็นอุปสรรคในการต่อสู้เป็นอย่างมาก
และสำหรับเขา ร่างกายเช่นนี้นับเป็นจุดอ่อนถึงชีวิต เป็นความลับที่ไม่อาจแพร่งพรายได้
แต่เขากลับเผยจุดอ่อนที่อาจถึงชีวิตให้ชิงอวี่รู้ ซึ่งก็หมายความว่ายอมมอบชีวิตไว้ในกำมือนางแล้ว เช่นนั้นหากไม่ได้รักนางจากใจจริงแล้ว เขาจะมีจุดประสงค์อื่นใดได้อีก?
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่ถึงจะรู้ว่าชายหนุ่มไร้จุดประสงค์อื่นใด แต่ก็ยังชิงลูกสาวเขาไปอยู่ดี การที่ลูกสาวของตัวเองถูกช่วงชิงหัวใจไปให้คนนอกเช่นนี้ ทำให้ม่อจิ่งอวี้อดรู้สึกเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้
ชิงหลานเฟยมักอ่านใจเขาออกด้วยเข้าใจความคิดอีกฝ่าย นางจึงเอ่ยปลอบโยนเสียงนุ่มขึ้น “ลูก ๆ โตแล้ว ควรปล่อยให้จัดการเรื่องของตนเอง อีกทั้งข้าว่าจวินเอ๋อร์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ที่สำคัญที่สุดคือเขาชอบเสี่ยวอวี่ ท่านอยากเป็นท่านพ่อเข้มงวดที่พอได้พบหน้าลูกสาวแล้วก็แยกลูกสาวกับคนรักออกจากกันเลยงั้นหรือ?”
ม่อจิ่งอวี้ถอนหายใจจนใจ “เอาเถอะ ข้าไม่ยุ่งก็ได้”
พูดจบก็ยังมิวายส่งสายตาจ้องโหลวจวินเหยาที่ยืนไม่เอ่ยคำเขม็ง
“ขอบคุณท่านพ่อมาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องเข้าใจ”
เห็นดังนั้น เด็กสาวก็คลี่ยิ้มหวาน อีกทั้งยังเรียกเขาว่าเตีย*แทนที่จะใช้คำว่าฟู่ชินที่ฟังดูเหินห่างมากกว่า น้ำเสียงไพเราะอ่อนโยนทำเอาม่อจิ่งอวี้มึนงงไปเล็กน้อย ราวกับถูกทำให้ตกใจยามไม่ทันตั้งตัว
โหลวจวินเหยาส่งสายตารักใคร่เอ็นดูให้ชิงอวี่ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าจิ้งจอกน้อยมีแผนกันนะ? บุรุษน่าสงสารผู้นั้นตกหลุมพรางนางเข้าไม่ทันรู้ตัวเลย
เห็นจิ้งจอกน้อยคิดหัวแทบแตกเพื่อทำให้อีกฝ่ายยอมรับเขาแล้ว นางช่างน่ารักจริง ๆ
เป็นตอนนั้นเองที่มีคนเข้ามาหาชิงอวี่ นางรีบละสายตาจากไป ก่อนจะเอ่ยคำขึ้น “ข้ามีเรื่องต้องทำ คุยไม่ได้แล้วล่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูแลตนเองด้วย”
“มีข้าอยู่ เจ้าวางใจเถอะ” โหลวจวินเหยาพูดจบ ภาพเล็ก ๆ ก็ถูกตัดหายไปทันที
ชิงหลานเฟยพลันเอ่ยเสียงกังวลขึ้น “เสี่ยวอวี่อยู่ในอารามจันทร์กระจ่างจะไม่เป็นไรแน่หรือ?”
โหลวจวินเหยาส่ายหน้าหัวเราะ “นางเฉลียวฉลาดนัก ชิงลั่วเยี่ยนไม่มีทางรู้อะไรหรอก”
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ได้เห็นชิงอวี่ก็นับว่าคำขอข้อหนึ่งของชิงหลานเฟยได้รับการเติมเต็มแล้ว แต่นางยังไม่ลืมว่ายังมีเรื่องสำคัญกว่ากำลังรอนางอยู่
ชิงหลานเฟยหลุบตาลง ปิดบังความรู้สึกที่อาจแผ่ออกมา เมื่อเงยหน้าอีกครานัยน์ตาก็กระจ่างใส
นางหันไปเอ่ยคำกับโหลวจวินเหยาช้า ๆ “จวินเอ๋อร์ ข้ามีบางอย่างอยากให้เจ้าช่วย”
“อาหลานกล่าวตามตรงได้เลย ยังต้องสุภาพกับข้าอีกหรือ?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถาม
“ข้าอยากขอให้….. ช่วยปกป้องชิงอวี่กับชิงเป่ย ให้พวกเขาปลอดภัยไม่ว่าอย่างไร”
เชิงอรรถ
*ท่านพ่อ ในประโยคที่ชิงอวี่ใช้ในช่วงหลังคือคำว่า 爹爹 (เตีย) ที่ให้ความสนิทสนมมากกว่าคำว่า 父亲 (ฟู่ชิน) ที่ใช้เรียกในตอนแรก