บทที่ 277 ในสายตาท่านไม่เคยมีข้าเลย! โกรธ!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 277 ในสายตาท่านไม่เคยมีข้าเลย! โกรธ!
บทที่ 277 ในสายตาท่านไม่เคยมีข้าเลย! โกรธ!

คำนาง….. เจือแวววิงวอนอย่างจริงจังและจริงใจ

โหลวจวินเหยาประหลาดใจเล็กน้อยและสัมผัสได้ถึงความหมายภายใต้คำกล่าวนั่น

ซึ่งฟังดูเหมือนว่านางกำลังจะจากไปและไม่กลับมาอีก

เห็นเขาไม่ตอบ นัยน์ตาของชิงหลานเฟยก็หม่นแสง ยังคงจ้องมองเขาแล้วเอ่ยต่อ “สัญญากับข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องพวกเขาและ….. อย่าให้พวกเขาไปยอดเขาใจสงบ”

“เพราะอะไร?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถามเสียงงุนงงพลางมุ่นคิ้ว

ตอนที่กลับไปอารามศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ยินว่าชิงลั่วเยี่ยนบอกจะนำชิงอวี่ขึ้นยอดเขาใจสงบไปกับนางด้วย แต่ทำไมอาหลานถึงไม่ยอมกัน?

ชิงหลานเฟยจ้องนัยน์ตาสับสนคู่นั้น ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงแต่ส่งสายตาซับซ้อนกลับไป “ที่นั่นไม่ได้ดีอย่างที่คนภายนอกกล่าวอ้าง อีกทั้งมันยังอาจเป็นสถานที่สุดท้ายที่คนบางคนจะได้ไปเหยียบอีกด้วย”

แม้โหลวจวินเหยาจะไม่เข้าใจคำนางอย่างสมบูรณ์ แต่ก็พอจับใจความได้ ว่าที่นั่นอันตรายนัก นางกังวลว่าอาจเกิดเรื่องกับชิงอวี่

“ยอดเขาใจสงบปรากฏขึ้นทุกพันปี นับเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ทั้งจำนวนคนเข้ายังมีจำกัด ใครที่พลาดต้องรอไปอีกพันปี อาหลาน ชิงอวี่ย่อมต้องไป แต่ท่านอย่าห่วง ข้าไม่ปล่อยให้นางเกิดเรื่องแน่”

“เจ้าไม่เข้าใจ” ชิงหลานเฟยส่ายหน้าเคร่งขรึม “จวินเอ๋อร์ ตอนนี้มีบางอย่างที่ข้าไม่อาจอธิบายให้ฟังได้ทั้งหมด แต่อย่างหนึ่งที่บอกได้คือชิงอวี่และชิงเป่ยห้ามเดินทางไปยอดเขาใจสงบเด็ดขาด นอกจากจะห้ามไปที่นั่นแล้ว ต้องซ่อนพวกเขาไว้ให้ดี เอาไปซ่อนในสถานที่ลับตาไร้ผู้คนจะดีที่สุด”

ถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะสมองทึบเพียงไหนก็ไม่มีทางที่โหลวจวินเหยาจะไม่อาจสัมผัสถึงความประหม่าและความร้ายแรงที่ชิงหลานเฟยรู้สึกต่อเรื่องนี้ได้

ดูท่าอาหลาน….. ไม่ได้ห่วงเพียงความปลอดภัยของชิงอวี่กับชิงเป่ยเพียงอย่างเดียว

น้ำเสียงนั่น….. เหมือนพยายามจะบอกว่าทั้งสองตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างที่อาจเกี่ยวกับยอดเขาใจสงบ ซึ่งหากขึ้นไปแล้วก็อาจเอาชีวิตไปทิ้งได้

สีหน้าเรียบเฉยเขาจางลงเล็กน้อย เหลือบสายตามองไปทางม่อจิ่งอวี้ เห็นสีหน้าอีกฝ่ายเคร่งขรึมอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่มือก็กำแน่นไม่คลายออกมาตลอด เห็นได้ชัดว่ากำลังกดดัน สีหน้าเองก็ดูซีดอยู่บ้างด้วยความจนใจ

เมื่อเห็นสถานการณ์หนักหน่วงเช่นนี้ โหลวจวินเหยาจึงลังเลนิดหน่อย ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรที่บอกข้าไม่ได้หรือ? ให้ข้าช่วยอะไรได้หรือไม่?”

ชิงหลานเฟยนัยน์ตาพลันอ่อนโยน นางคลี่ยิ้มให้เขา “ปกป้องให้พวกเขาปลอดภัยก็ช่วยเขาได้มากที่สุดแล้ว”

โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็ไม่ถามอีก เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยคำ “ท่านวางใจ ข้าจะหาโอกาสพูดกับชิงอวี่เรื่องยอดเขาใจสงบ ทั้งสองคนจะไม่ไปที่นั่นและจะไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน”

ในเมื่ออาหลานไม่อยากพูด เขาก็ได้แต่ต้องตามสืบเองเท่านั้น เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่านางปิดบังอะไรไว้

ในเมื่อมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชิงอวี่ เขายิ่งไม่อาจปล่อยไว้ได้

โหลวจวินเหยาไม่รั้งอยู่นานอีก หลังจากคุยกับชิงหลานเฟยอีกสักพักก็จากไป

รอเมื่อชายหนุ่มไปแล้ว ม่อจิ่งอวี้จึงเอ่ยเสียงทุ้มขึ้น “ทำไมถึงไว้ใจเขามากเช่นนั้น? ถึงจะมีความสามารถสักหน่อย แต่เขาจะปกป้องลูกเราให้ปลอดภัยได้จริงหรือ?”

ชิงหลานเฟยมองไปที่บานประตูแล้วถอนหายใจ “จิ่งอวี้ ตอนนี้ข้าได้แต่ฝากหวังไว้กับจวินเอ๋อร์แล้ว หากกระทั่งเขายังคุ้มภัยให้เสี่ยวอวี่กับเสี่ยวเป่ยไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีใครทำได้”

“เขามีความสามารถขั้นนั้นเลยหรือ?” ม่อจิ่งอวี้มุ่นคิ้ว นางประเมินโหลวจวินเหยาผู้นั้นสูงไปกระมัง?

แดนเมฆาสวรรค์มีจอมยุทธ์มากฝีมืออยู่ไม่น้อย แล้วเจ้าเด็กนั่นอายุเท่าไหร่กันเชียว? จะแกร่งกว่าพวกตาแก่อายุหลายพันปีพวกนั้นได้งั้นหรือ?

ชิงหลานเฟยส่งสายตามีความหมายมองเขาก่อนค่อย ๆ เอ่ยคำ “หากพูดถึงเรื่องพลังบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นข้าว่าไม่มีใครบนแดนเมฆาสวรรค์จะเหนือไปกว่าเขาได้ เด็กคนนั้นแลกกระบวนท่ากับท่านหลายกระบวนท่า แต่ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบสักนิด ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กรุ่น ๆ อีกทั้ง….. มันยังไม่ได้เกี่ยวกับพรสวรรค์ของเขาเพียงอย่างเดียว”

เบื้องหลังต้นกำเนิดของเด็กคนนั้นมีความลับใหญ่อยู่!

———————————————

ที่อีกฟากหนึ่ง ณ สมาพันธ์นักล่า

จูเก่อฉงจู่ ๆ ก็มีอารมณ์ขึ้นมา ปิดห้องตำราและอยู่ภายในนั้นเกือบทั้งวัน จนกระทั่งตะวันลอยต่ำถึงขอบฟ้าถึงได้เหยียดร่างแล้วเดินออกจากห้อง

เขาแหงนมองสีเมฆบนฟ้าแล้วสั่งให้ข้ารับใช้นำอาหารมาให้เขาที่ห้องหนังสือ จากนั้นเดินกลับเข้าไป จังหวะที่เขาหมุนตัวกลับ ก็ประหลาดใจนักเมื่อเห็นชายคนหนึ่งนั่งเอนร่างพิงเก้าอี้ตัวที่เขาเพิ่งลุกมา

ชายผู้นั้นใช้มือหนึ่งเท้าคางดูเฉยเมยนัก ตาก็จ้องมองประเมินกระดาษชั้นดีในมือตนที่หมึกยังไม่แห้งดี

จูเก่อฉงตกใจนักก่อนรีบเดินมายังโต๊ะ น้ำเสียงดูลุกลี้ลุกลน “รีบวางของสำคัญข้าลงเดี๋ยวนี้เลย! หากทำมันเสียจะว่าอย่างไร?!”

อีกฝ่ายได้ยินแล้วก็เหลือบสายตาไร้อารมณ์มามองแล้ววางกระดาษชั้นดีลงบนโต๊ะเงียบ ๆ

เด็กสาวรูปร่างเพรียวเล็กในชุดสีชมพูปรากฏอยู่บนแผ่นกระดาษ ใบหน้านางงดงามนัก หากแต่มีสีหน้าเย็นชาสันโดษ ความโกรธจาง ๆ ที่อยู่บนหว่างคิ้วของนางถูกถ่ายทอดออกมาได้เหมือนจริงนักจนทำให้ใบหน้าเย็นชาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอยู่บ้าง

จูเก่อฉงเป็นนักวาดภาพฝีมือดีไม่น้อย กระทั่งนัยน์ตาอันโดดเด่นของนางยังถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้เต็มเปี่ยม ดูเหมือนจริงนัก

และบนภาพวาดนั้นจะเป็นใครไปได้นอกจากชิงอวี่?

ราวกับว่าจูเก่อฉงถูกพิษก็มิปาน ตั้งแต่กลับมาก็ไม่อาจหักใจไม่ให้คิดถึงนางได้ จนกระทั่งวาดรูปนางจนเสร็จเขาถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

เมื่อเห็นอีกฝ่ายวางรูปลงแล้ว จูเก่อฉงก็ถอนใจโล่งอก เขายื่นมือไปหมายจะเก็บภาพกลับมา มือใหญ่ที่เห็นสันกระดูกชัดก็พลันยับยั้งไว้ “ภาพวาดที่วาดนี่ เป็นใครกัน?”

จูเก่อฉงชะงักไปเล็กน้อย คิดว่าอีกฝ่ายก็คงสนใจแม่นางเช่นกัน ดังนั้นยามกล่าวคำจึงเจือแววระแวดระวัง “ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ถามข้าเช่นนั้น?”

“ข้ามีสหายเก่าคนหนึ่ง หน้าตาเหมือนสตรีในภาพนี้มาก ข้าเพียงต้องการยืนยันว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่” บุรุษผู้นั้นกล่าว

ได้ยินแล้วจูเก่อฉงจึงวาดใจแล้วเอ่ยอธิบาย “เช่นนั้นเจ้าก็คงจำผิดแล้ว คนงามตัวน้อยนี่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของชิงลั่วเยี่ยน ตัวจริงงามกว่าในรูปภาพนัก แต่นิสัยไม่ค่อยงามเท่าไหร่ ดูท่าชิงลั่วเยี่ยนจะเอาอกเอาใจนางจนเสียนิสัย แต่เช่นนี้ล่ะที่เรียกว่ามีรสชาติจัดจ้าน”

ดูท่าอีกฝ่ายสนใจเพราะเขาเลิกคิ้วขึ้น “นางชื่อว่าอะไร?”

“นางชื่อว่าอวี่ชิง เป็นชื่อที่ฟังดูเพราะไม่น้อย” จูเก่อฉงหัวเราะ

“อวี่ชิง…..” มุมปากอีกฝ่ายพลันยกขึ้นยามเอ่ยย้ำคำ “บังเอิญจริง!”

เขาก็สงสัยมาตลอดว่าคนผู้นั้นจู่ ๆ หายไปโดยไร้ร่องรอยได้อย่างไร!

มาหลบซ่อนอยู่ที่นี่นี่เอง

จูเก่อฉงไม่ได้ใส่ใจคำที่อีกฝ่ายกล่าว แต่กำลังรอให้หมึกบนภาพแห้งสนิทอยู่ จากนั้นก็ม้วนมันอย่างระมัดระวังแล้ววางมันไว้บนชั้นวางของ ก่อนหันมาหาอีกฝ่าย “แล้วมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

“ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่อยากมาบอกว่าข้าจะขึ้นยอดเขาใจสงบไปกับเจ้าด้วย” อีกฝ่ายกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

จูเก่อฉงเลิกคิ้ว “ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่ไปและจะส่งลูกน้องไปแทน แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนใจเล่า?”

อีกฝ่ายยิ่งกดรอยยิ้มให้ลึกขึ้น “เพราะข้าพบเรื่องสนใจเข้า เลยคิดว่าข้าคงต้องไปโผล่หน้าที่นั่นสักหน่อย”

จูเก่อฉงยักไหล่ไม่ใส่ใจ “ก็แล้วแต่เจ้า แต่เราตกลงกันแล้วว่าเมื่อได้ของมาเราจะแบ่งกันคนละครึ่ง หากเจ้ากลับคำพูดก็ถือว่าความร่วมมือจบลงที่ตรงนั้น และเจ้าจะกลายเป็นคนที่สมาพันธ์นักล่าต้องการตัวมากที่สุด”

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เคยกลับคำพูด” เขาว่าพลางหัวเราะ

— อารามจันทร์กระจ่าง —

ชิงอวี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเมฆ ดวงตาทั้งสองหลับลง กำลังอยู่ในการทำสมาธิ

หลังจากเข้าอารามศักดิ์สิทธิ์มา ด้วยพลังวิญญาณที่นี่มีอยู่มากกว่าในแดนต่ำนัก ความเร็วในการบำเพ็ญพลังของนางจึงรุดหน้าขึ้นเร็วมาก ทำให้วิชาฝังวิญญาณเพิ่มจากระดับหกไปเป็นแปด และอีกไม่นานจะถึงขั้นเก้า กลับไปยังขั้นสูงสุดที่นางเคยมีเมื่อครั้งชาติก่อน

และเมื่อนางแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ จิตวิญญาณอาวุธของนางก็ตกลงสู่ห้วงนิทราลึกล้ำอีกครา ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะหลับไปอีกนานเท่าไร

ตำราแพทย์แดนเซียนถูกปลดออกอีกราวยี่สิบหน้า เจ้าตัวแขนขาเล็กร่างสีแดงในนั้นก็เติบโตขึ้นเล็กน้อย ในช่วงที่ไหมไหมกำลังหลับนั้น ก็มีเจ้าตัวจ้อยนี่ที่คอยอยู่กับนางตลอด

เห็นดังนั้น ชิงอวี่จึงตั้งสมาธิเข้ามาในมิติส่วนตัว เจ้าตัวน้อยย่อมต้องเห็นว่านางเข้ามา

เขาเดินวนรอบกายชิงอวี่อย่างมีความสุข วนไปวนมา จนกระทั่งชิงอวี่เริ่มมึนจึงผลักออกไป คิดว่าทำไมไหมไหมตอนยังตัวน้อย ๆ ไม่เห็นติดหนึบขนาดนี้ ทว่าเจ้าตัวเล็กนี่กลับติดนางชนิดที่แทบเอาไม่ออก

ถูกชิงอวี่ผลักออกไปโดยไร้ใจเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กก็ไม่โกรธ เพียงแต่บุ้ยปากใส่ “นายหญิง ท่านลำเอียงนัก ทำไมถึงได้ชอบเจ้างูนั่นนักแต่กลับผลักไสไล่ส่งข้าตลอด?”

“ไหมไหมเป็นจิตวิญญาณอาวุธของข้า เติบโตมาด้วยกันกับข้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีความสัมพันธ์ล้ำลึกกว่า” ชิงอวี่พลันหยุดคำ เหลือบสายตามองเจ้าตัวเล็กเล็กน้อย “ส่วนเจ้า….. ข้ายังไม่รู้จักเจ้าดีเพียงนั้น”

“นายหญิง ข้าเองก็เติบโตมาพร้อมกับท่านเหมือนกันนะ!? แต่ท่านก็เห็นแต่เจ้างูนั่น ไม่เคยเห็นข้าบ้าง!!”

เห็นเจ้าตัวเล็กแทบกระโดดด้วยความโกรธราวกับนางทำเรื่องเลวร้ายนักหนาให้เขาเศร้าใจ ชิงอวี่จึงอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “แล้วทำไมข้าถึงจำเจ้าไม่ได้?”

นางจำได้ว่าเจ้าตัวเล็กเคยบอกว่าเขาเป็นจิตวิญญาณตำราของตำราแพทย์แดนเซียนกระมัง?

จิตวิญญาณตัวจ้อยจากตำรานั่นหรือ?

แต่นางจำไม่ได้แม้สักนิดว่าเคยมีเขาอยู่ในทั้งสองชาติ ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน!

“นายหญิงคิดให้ถี่ถ้วนเถอะ ท่านจำข้าไม่ได้บ้างเลยหรือ?!

ชิงอวี่ส่ายหน้าจนใจ

เห็นแล้วเจ้าตัวเล็กก็เบิกตากว้าง แขนน้อย ๆ โบกคราหนึ่ง ตำราเล่มหนาขนาดใหญ่ซึ่งก็คือตำราแพทย์แดนเซียนร่วงลงโดยแรงข้างกายนาง เจ้าตัวเล็กชี้ไปที่หน้าปกแล้วถาม “นายหญิงไม่รู้สึกว่ามันมีที่ใดแปลกไปงั้นหรือ?”

ชิงอวี่มองตามนิ้วน้อย ๆ ที่ชี้ไป มองไปอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร จนกระทั่งสายตาวาดผ่านไปจับจุดหนึ่งที่ทำนางชะงักไป

ประเดี๋ยวก่อน

ตรงจุดนี้…..

นางไล้นิ้วไปตามลวดลายซับซ้อนบนปกตำรา มันมีจุดที่ยุบลงไปอยู่ เป็นจุดที่นางจำได้ว่ามีเมล็ดแปลกประหลาดเคยฝังอยู่

มันมีมาอยู่ตั้งแต่ตำราแพทย์แดนเซียนเกิดขึ้นมา ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร อีกทั้งยังไม่อาจเอาออกมาได้ เหมือนกับว่ามันเติบโตมาจากตัวตำรา

แต่ตอนนี้…..

เมล็ดนั่น….. หายไปแล้ว