บทที่ 349 เมืองโบราณที่หายสาบสูญ
บทที่ 349 เมืองโบราณที่หายสาบสูญ
ในเมืองมีผู้คนมากมาย แต่ทุกคนกลับสวมชุดโบราณ ถ้าไม่ใช่ว่าฉู่เหินรู้อยู่แล้วว่านี้ที่คือมิติที่แตกต่าง เขาคงคิดว่าตัวเองย้อนเวลาไปยุคสมัยโบราณแล้วล่ะ
ขณะที่พวกฉู่เหินกำลังตะลึงกันอยู่ก็มีเด็กอายุประมาณ 13-14 ปีคนหนึ่งวิ่งกระโดดโลนเต้นเข้ามาใกล้ จากนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นก็มองไปยังฉู่เหิน
“ขอถามลุงท่านหน่อย ท่านคงเพิ่งมาเมืองโบราณสินะ ข้าชื่ออาหม่า ยินดีเป็นผู้นำทางให้กับท่าน ท่านเพิ่งจะมาเมืองโบราณแห่งนี้คงมีคำถามมากมายและรู้สึกไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ท่านลุงไม่ลองจ้างข้าดูล่ะ ข้าจะช่วยท่านเอง!”
แม้ว่าอาหม่าจะอายุไม่มาก แต่คำพูดคำจาดูฉลาดเฉลียวยิ่ง โดยเฉพาะเวลาที่พูดก็มักจะยิ้มแย้มตลอดเวลา รูปร่างภายนอกก็น่ารักน่าชัง ทั้งตอนที่พูดจบเด็กชายก็กระพริบตาถี่ ๆ ทำให้ฉู่เหินและเสี่ยวชิงยิ้มอย่างจริงใจ
“พ่อหนุ่มน้อย เธอชื่ออาหม่าใช่ไหม งั้นชื่อเต็มของเธอชื่อว่าอะไรล่ะ” เสี่ยวชิงคุกเข่าพร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวอาหม่าเบา ๆ ดวงตาฉายแววเอื้อเอ็นดู
ติดตรงที่ว่า….ตอนนี้เสี่ยวชิงแต่งตัวเป็นผู้ชายอยู่ อีกทั้งใบหน้ายังมีรอยบากอีกด้วย ดังนั้นการแสดงออกซึ่งความเอ็นดูออกเธอจึงทำให้อาหม่ารู้สึกขนหัวลุก ฉู่เหินที่เห็นก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนเสี่ยวชิงเองก็รู้สึกกระอักกระอวนใจ มองค้อนฉู่เหินไปทีนึง เขาถึงได้หยุดหัวเราะ
“อาหม่า เมืองนี้มีชื่อว่าอะไรเหรอ คนที่มีวรยุทธสุงที่สุดเป็นคนอย่างไร” ฉู่เหินถามสิ่งที่คิดออกไป
“เรียนท่างลุง ที่นี่รู้จักในชื่อเมืองโบราณที่หายสาบสูญ แต่คนที่นี่เรียกเมืองแห่งนี้ว่าเมืองลับแล เพราะว่าเมืองนี้มันใหญ่มาก ถ้าคนนอกไม่รู้จักทางต้องเดินหลงแน่ ๆ อีกทั้งรอบเมืองยังถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกหนา ในทุก ๆ 8-10 วันก็จะมีพวกซอมบี้บุกเมืองอยู่เรื่อย ๆ จึงทำให้คนในเมืองลับแลนั้นแข็งแกร่งมาก”
หลังจากฟังอาหม่าแนะนำเสร็จแล้ว ฉู่เหินก็ได้ความรู้เบื้องต้นมาบ้าง คือเมืองนี้เป็นเมืองประหลาดเมืองหนึ่งเลยก็ว่าได้ มันคล้ายกับเป็นเมืองที่ปกครองตัวเอง อีกทั้งนอกเมืองยังมีหมอกหนาตลอดปี คนที่ออกจากเมืองไปแล้วก็จะไม่ได้กลับมาอีก ส่วนซอมบี้ที่บุกเมืองก็คล้ายจะเป็นคนที่เคยอยู่ในเมืองนี้มาก่อน
เมื่อฟังเสร็จเขาก็อดกังวลใจไม่ได้ เพราะหลังจากเขาเข้ามาในเมืองนี้แล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกไปได้ยังไงแล้วถ้าออกไปไม่ได้ก็จะต้องถูกจองจำไว้ในนี้ตลอดกาล!
“อาหม่า เธอพูดว่ามีคนนอกเข้ามาในนี้เหมือนกันสินะ แล้วพวกเขาทำยังไงถึงจะออกไปได้ล่ะ” ฉู่เหินขมวดคิ้วถาม
“ข้าก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แต่ที่เคยฟังมาจากพวกผู้ใหญ่ดูเหมือนว่าคนนอกอย่างพวกท่านจะต้องทำภารกิจบ้างอย่างเสียก่อน เพียงแค่พวกท่านทำภารกิจได้สำเร็จก็จะได้ออกไป แต่ข้าแค่เคยได้ยินมาเท่านั้นไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่!”
ฉู่เหินพยักหน้า เขารู้สึกว่าที่อาหม่าพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน ในเมื่อมีทางเข้าก็ต้องมีทางออก แต่คงต้องล้มลุกคลุกคลานไม่น้อย ถ้าทำให้ออกไปได้ ไม่ว่าภารกิจจะยากแค่ไหนเขาก็ไม่กลัว
“อาหม่า งั้นบอกฉันมาสิว่าเมืองโบราณมีที่ไหนน่าไปบ้าง” สำหรับเมืองโบราณแห่งนี้ ฉู่เหินไม่มีความรู้อะไรสักอย่าง อยากจะไปที่ไหนเขาก็ยิ่งไม่รู้ เขาไม่อยากเดินทางแบบสะเปะสะปะ แต่ฉู่เหินก็เกรงว่าค่าเงินหยวนของเขาใช่ไม่ได้กับที่นี่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ตัวเขาก็แค่คนจน ๆ คนหนึ่ง
“ท่านลุง เมืองโบราณนั้นมีสถานที่ดี ๆ ไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าท่านต้องการไปที่แบบใด! ถ้าท่านชอบท่องเที่ยวก็มีหอทิวากับหอดอกไม้ที่มีสาวงามมากมาย หากท่านชอบที่จะเรียนรู้ เราก็มีหอศึกษาไว้คอยถามคำถามร้อยแปด และหากท่านชอบฝึกยุทธก็มีทั้งห้องซ้อมและก็สนามประลอง”
แม้ฉู่เหินจะไม่เคยอยู่ยุคโบราณ แต่แค่ฟังเขาก็เข้าใจว่าหอทิวากับหอดอกไม้ก็คือ โรงเตี้ยมกับหอนางโลม ส่วนหอศึกษาก็เทียบเสมือนห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือเอาไว้ทั่วโลก แต่ห้องซ้อมกับสนามประลองนั้นเขาค่อนข้างสนใจ เพราะแค่ได้ยินก็รู้ว่าแล้วทั้งสองสถานที่นั้นเกี่ยวข้องกับวรยุทธ!
ฉู่เหินไม่คิดอะไรมากตัดสินเลือกจะไปห้องซ้อมทันที ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อเพิ่มพลังวรยุทธ ในเมื่อมีโอกาสวางไว้ตรงหน้าแล้วเขาจะทิ้งมันไปได้ยังไง
แต่ขณะที่ฉู่เหินกำลังอ้าปากพูด อาหม่าก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านลุงจะไปที่ใดก็ต้องไปที่จวนผู้ว่าการก่อน เพราะต้องไปที่จวนแล้วเอาหนังสือยืนยันตัวตน มา ถึงจะสามารถเดินทางในเมืองโบราณได้ ไม่งั้นนอกจากจะไม่สะดวกแล้วยังอันตรายอีกด้วย!”
เข้าเมืองตาลิ่วต้องลิ่วตาตาม เป็นคำกล่าวที่รู้กันอยู่แล้ว ในเมื่อที่นี่มีกฎงั้นก็ต้องทำตามกฏ อีกทั้งฉู่เหินยังรู้สึกสนใจเมืองนี้มาก เพราะงั้นคนที่สามารถเป็นผู้ว่าการของเมืองนี้ได้จะต้องรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้อย่างแน่นอน
จวนผู้ว่าการนั้นอยู่ที่ศูนย์กลางของเมืองโบราณ เป็นบ้านทรงจีนขนาดใหญ่ด้านหน้าประตู้นั้นมีทหารยืนคุ้มกันอยู่ สิงโตคู่สูงกว่าสองเมตรตั้งตระหง่านที่ด้านหน้าประตูทางเข้า ดวงตาของสิงโตคู่นั้นจ้องเขม็งอย่างดุร้าย ปากก็อ้ากว้างคล้ายกับต้องการกลืนกินท้องฟ้าเข้าไป
ทั้งทหารและก็สิงโตต่างก็ถืออาวุธเอาไว้ในมือ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม คล้ายกับว่าพวกเขายืนมานับพันปีแล้ว
หลังจากที่พวกฉู่เหินมาถึงที่นี่ ฉับพลันทหารสองคนก็ใช้สายตามองฉู่เหินอย่างร้อนแรง คล้ายกับว่าทหารที่ออกรบนับพันปี จู่ ๆ ก็ได้เจอสาวงามก็ไม่ปาน ความรู้สึกเหมือนจะมองทะลุร่างฉู่เหินอย่างไรอย่างงั้น ทำให้ฉู่เหินรู้สึกกระอักกระอวนใจ
“รบกวนถามพี่ชายทั้งสอง ผู้มาเยือนฉู่เหินอยากจะขอเข้าพบผู้ว่าการของเมือง เพื่อขอหนังสือยืนยันตัว” ฉู่เหินพูดพร้อมกับผสานมือคาราวะอย่างนอบน้อม เพราะเขาถูกสายตาของทั้งสองจ้องจนขนลุกหมดแล้ว
“เจ้าจงรออยู่ตรงนี้ แล้วข้าจะกลับมา” ทหารหนึ่งในนั้นตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปภายในบ้านทรงจีนโบราณ ไม่นานก็มองไม่เห็นเงาแล้ว
หลังผ่านไป 10 นาที ก็เห็นทหารนายนั้นวิ่งกลับมาอย่างตื่นเต้น อีกทั้งยังก้มคำนับฉู่เหินและบอกว่าผู้ว่าการรออยู่ที่ห้องโถง เขาสั่งให้ทหารนายนี้พาฉู่เหินและเสี่ยวชิงสองคนเข้าไปยังจวนของผู้ว่าการ ส่วนอาหม่านั้นไม่ได้เข้าไปต้องรออยู่ด้านหน้าประตู
จวนผู้ว่าการนั้นเป็นบ้านทรงจีนที่สามารถเข้าได้สามด้านออกได้สามด้าน ด้านนอกสุดก็ให้คนรับใช้อยู่ เรียกว่าจวนนอก จุดศูนย์กลางชั้นแรกมีห้องไม่เยอะ ลานตรงกลางนั้นใหญ่มาก อีกทั้งรอบด้านยังมีอาวุธนานาชนิดวางเอาไว้ คล้ายกับเมืองจอมยุทธ์โบราณเลย!
ตอนที่ฉู่เหินเดินเข้ามาก็มองเห็นว่าชั้นที่สองของจวนเต็มไปด้วยคนที่สวมชุดฝึกฝน ฉู่เหินมองก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธไม่ต่ำต้อย น่าจะสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ถ้าให้สู้กันเขาชนะคนพวกนี้ได้ไม่ยาก
ตอนที่ฉู่เหินเข้ามาใครก็ตามที่เห็นเขาก็จะหยุดมือทุกสิ่งอย่าง ฉู่เหินมองเห็นว่าในตอนแรกคนพวกนี้จะยิ้มแย้ม แต่เมื่อเห็นพลังวรยุทธเขาแล้ว ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็หายไป กลายเป็นความดูถูกเหยียดหยาม!
หลังจากที่เขาเข้ามายังเมืองโบราณ ฉู่เหินพยายามซ่อนพลังตัวเองเอาไว้ กลิ่งอายของที่นี่พิเศษมาก แค่เดินอยู่ในเมืองโบราณ พลังวรยุทธก็จะกระจายออกมา ผู้ฝึกยุทธคนอื่นมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าใครพลังเท่าไร!
คนพวกนี้ปฏิบัติกับเขาไม่ดีนัก แต่ฉู่เหินก็ไม่สนใจเช่นกัน เพราะเขาแค่มาเอาหนังสือยืนยันตัวตน อีกไม่นานก็ไปแล้วไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักกับคนพวกนี้