บทที่ 279 ท่านแม่หายไป
บทที่ 279 ท่านแม่หายไป
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็ได้แต่มองเลิกคิ้วเท่านั้น
อึดใจต่อมา ชิงอวี่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น เจ้าตัวเล็กที่ร้องโหยหวนก็หยุดกลิ้งไปมาแล้ว เหลือเพียงเสียงกระซิก ๆ น้ำตานองหน้าเท่านั้น ดูน่าสงสารนัก
และเมื่อได้สบตากับโหลวจวินเหยาอีกครั้ง เขาก็อดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้
คนคนนี้ ห้ามแตะต้อง ห้ามเด็ดขาด
เห็นสีหน้าเจ้าตัวเล็กกลายเป็นหวาดกลัวแล้ว ชิงอวี่ก็ยังไม่คิดปล่อยเขาไป นางสะบัดมือทีหนึ่ง ขวดสีดำไร้ลวดลายหากแต่งดงามก็ปรากฏขึ้นในมือ
นั่นทำให้เจ้าตัวเล็กเปลี่ยนสีหน้า “นายหญิง ท่านจะทำอะไร…..”
ชิงอวี่ค่อย ๆ เปิดฝาขวดออก ก่อนจะเหลือบมองเขา “เจ้าดื้อนัก ต้องถูกลงโทษด้วยการขังไว้ให้สำนึกเสียบ้าง เจ้าคิดตกเมื่อไหร่ข้าจะปล่อยเจ้า”
พูดจบ ชิงอวี่ก็เผยอริมฝีปากร่ายคาถาไม่ได้ยินเสียง ทันใดนั้น เจ้าตัวเล็กยังไม่ทันร้องขอความเมตตาก็กลายเป็นริ้วแสงสีแดง ถูกดูดลงขวดไปแล้ว
ชิงอวี่ไม่สนใจแรงกระเพื่อมในขวด เก็บมันไว้อย่างปลอดภัยเท่านั้น
“รอบข้างเจ้ามีสัตว์เลี้ยงประหลาดแยะจริง” โหลวจวินเหยาเอ่ยเย้า
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “โชคไม่ดีที่พวกเขาไม่ค่อยจะเชื่อฟังเท่าไหร่”
โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก “เจ้าตัวในนั้น….. เมื่อครู่จะโจมตีข้าหรือ?”
ชิงอวี่ถอนหายใจก่อนตอบ “เพราะเลือดในกายท่าน เขายากจะต่อต้านมากจริง ๆ เขาจึงเสียสติไปชั่วขณะ กระโจนออกมาเช่นนั้น”
“เลือดข้า?”
“อืม เลือดของข้าเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่สุด เท่านั้นก็ยั่วใจสิ่งมีชีวิตบางตัวมากแล้ว ส่วนท่านก็มีร่างกายไม่เหมือนใคร ทั้งในร่างยังมีเลือดข้าด้วย ยิ่งทำให้น่าสนใจกว่าเก่า ไม่อาจหักห้ามใจได้”
โหลวจวินเหยาเข้าใจแล้วยิ้มตอบ “ฟังเจ้าว่าแล้ว ข้าก็เหมือนจะตกอยู่ในอันตรายมากเลยน่ะสิ?”
“ใช่แล้ว อันตรายมาก ๆ ด้วย” ชิงอวี่พยักหน้าแล้วก็เอื้อมมือไปกุมมือเขาไว้ “แต่ข้าจะปกป้องท่านเอง”
ได้ยินแล้วโหลวจวินเหยาก็อดนึกย้อนไปยังภาพที่นางยืนปกป้องเขาอยู่ข้างหน้าไม่ได้ เขาพลันมุ่นคิ้วน้อย ๆ พลางมองมือนาง มันไม่เหลือรอยแผลแล้ว แต่เมื่อครู่เขาก็เห็นว่านางได้เลือดด้วย
เขากุมมือนางแน่นขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงเครียดขึ้นว่า “ครั้งหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก ถึงเจ้าจะรักษาตนเองได้ แต่ก็อย่าเอาตนเองไปเสี่ยง เจ้าเป็นสตรีของข้า ไม่จำเป็นต้องวางท่าแข็งแกร่งเช่นนั้นเลย ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ต่างจากคนไร้ค่า เป็นเพียงของประดับข้างกายเจ้าไปแทนน่ะสิ”
ชิงอวี่กะพริบตาอย่างใสซื่อ เอ่ยคำขึ้นช้า ๆ “ก็ท่านดูจะอ่อนแอกว่าข้านี่ โดยเฉพาะเวลาบาดเจ็บ จะใครหน้าไหนก็สามารถ….. ทำอะไรตามความต้องการกับท่านได้ทั้งนั้น!”
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังล้อเลียนข้ากันนะ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วสูง สีหน้าอ่านไม่ออก จ้องนางตาไม่กะพริบ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้แล้วเอ่ยเสียงยั่วยวน “เช่นนั้นครั้งหน้าหากข้าบาดเจ็บ คงต้องลองดูสักหน่อยแล้วว่ายังกลืนเจ้าลงท้องไหวหรือไม่!”
“หึ!”
ชิงอวี่เบิกตากว้างจ้องหน้าเขา ดูเขินอยู่บ้าง “ในหัวท่านคิดเรื่องดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ? ยามท่านบาดเจ็บข้าก็ต้องเป็นคนดูแลไม่ใช่หรือไร? ท่านคิดเรื่องปกป้องตนให้ดีเถอะ ได้ยินหรือไม่?”
โหลวจวินเหยาพลันเอนศีรษะไปพิงไหล่เล็กของนางอย่างดื้อดึง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องดูแลข้าให้ดีด้วยเล่า? ดีที่สุดหากเจ้าคิดค้นยาที่ทำให้ร่างหกเล็กลงได้ เจ้าไปไหนจะได้พาข้าไปด้วยได้ เจ้าไม่คิดว่าเช่นนั้นดีมากหรือ?”
“ท่านขี้เกียจมากไปกว่านี้ได้อีกหรือไม่? เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องเดิน ให้คนเขาอุ้มไปไหนมาไหนก็พองั้นหรือ?” ชิงอวี่หัวเราะเหอะ
คนผู้นี้ขี้เกียจตัวเป็นขนนัก ไม่เอนร่างพิงกับอะไรก็ต้องนั่งท่าปวกเปียกราวกับในร่างไร้กระดูก แต่ก็หาที่จับผิดไม่ได้เลยจริง ๆ
ราวกับว่าเขาเกิดมาก็สมบูรณ์พร้อมเช่นนี้ กระทั่งทำขี้เกียจยังดูสูงส่งเสียอย่างนั้น
“น่าเบื่อจริง ถูกเจ้าจับได้เสียแล้ว” โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงทุ้มน่าฟังออกมา เจือแววซุกซนราวกับเด็ก ๆ
ไม่ว่าบุรุษจะมั่นคงเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงไหน แต่ต่อหน้าสตรีที่รักแล้วก็มักทำตัวเป็นเด็ก ๆ เผยจิตใจด้านที่ยังซุกซนที่สุดออกมา อย่างเขาก็เช่นกัน
“จิ้งจอกน้อย มีเรื่องหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรบอกเจ้าดีหรือไม่” โหลวจวินเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากขึ้น
“หือ?” ชิงอวี่มองเขาดูประหลาดใจ “อะไรกันที่ทำท่านหน้าเครียดเช่นนั้นได้?”
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลง เอ่ยคำช้า ๆ “ก่อนหน้าที่ข้าไปยังสำนักเซียนแพทย์ อาหลานบอกว่าข้าต้องปกป้องเจ้ากับชิงเป่ย”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แต่น้ำเสียงนางตอนนั้นเหมือนทิ้งคำลาแล้วจะจากไป” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงล้ำลึก
ชิงอวี่ชะงักไป นางรู้ว่าโหลวจวินเหยาไม่พูดขึ้นโดยไร้เหตุ เขาคงรู้อะไรมาจึงมาบอกนางแน่
เขาว่าต่อ “ข้าคิดว่ามันแปลก ๆ จึงลองไปสืบเรื่องเกี่ยวกับอาหลานดูเอง จากนั้นก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
“อะไรที่ไม่ถูกต้อง?”
“อาหลานอยู่ที่อารามจันทร์กระจ่างตั้งแต่ยังเล็ก เพราะเป็นลูกสาวคนสุดท้องของพระเจ้าแห่งอาราม ทั้งยังเป็นคนโปรดที่สุด ว่ากันว่านางเอาแต่ใจและเกเรนัก พลังบำเพ็ญเทียบกับคนอื่นก็ธรรมดาสามัญ และข้าก็รู้มาว่านางไม่เคยเรียนวิชาแพทย์มาก่อน”
โหลวจวินเหยาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ชะงัก ในใจเกิดความสงสัย
“แต่พออายุได้สิบขวดก็เกิดเรื่องขึ้น นางร่วงลงทะเลสาบเย็นยะเยือกระหว่างที่กำลังเล่น แม้จะดึงตัวขึ้นนางขึ้นมาทันที แต่ก็จับไข้สูง ลมหายใจแผ่วลงเรื่อย ๆ นักปรุงยาทั้งหลายต่างจนปัญญา ตรวจแล้วก็บอกว่านางอาจไม่รอด”
“แต่เย็นวันที่สอง นางกลับหายดีอย่างน่าอัศจรรย์ หากแต่นับแต่นั้นมา นิสัยนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่เอาแต่ใจ ไม่เป็นเช่นแต่ก่อน กลายเป็นเงียบขรึมสันโดษ รักษาระยะห่างกับผู้คน พลังบำเพ็ญก็พุ่งสูงขึ้นมาก จู่ ๆ ก็รอบรู้เรื่องการแพทย์ ทำให้คนคิดว่านางถูกอะไรสิงร่าง”
ชิงอวี่ฟังเงียบ ๆ แล้วหันไปมองเขา “นั่นเพราะ….. พวกนางไม่ใช่คนเดียวกันกระมัง?”
นางฉลาดมีไหวพริบ ได้ยินโหลวจวินเหยาเอ่ยหลายคราแล้ว นางก็คิดได้แล้วว่ามันคงไม่เรียบง่ายอย่างที่เห็น
คนทั้งสองนิสัยต่างกันคนละโลก เช่นนี้ก็มีเพียงสองความเป็นไปได้
อย่างแรกก็เหมือนกับนางที่เป็นวิญญาณมาเกิดใหม่ในอีกร่างหนึ่ง อีกอย่างก็คือเปลี่ยนตัวคนไปเลย ด้วยไม่ว่าคนเราจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนไปมากจากเดิมที่เคยเป็นได้
“เจ้าเดาถูกแล้ว” โหลวจวินเหยาพยักหน้า “อาหลานตัวจริงคือคนปัจจุบันที่รอบรู้วิชาแพทย์และการปรุงยา มีพลังบำเพ็ญลึกล้ำ ข้อมูลชีวิตช่วงสิบปีแรกของนางนั้นว่างเปล่าจนทำข้าสงสัยว่าแท้จริงแล้วอาหลานมาจากไหนกันแน่”
“และ…..” โหลวจวินเหยายิ่งสายตาซับซ้อน มองเด็กสาวตรงหน้านิ่งก่อนเอ่ยคำเน้นย้ำต่อ “นางยังบอกว่าหากไม่อยากให้เจ้าเกิดเรื่อง ก็อย่าให้เจ้าเดินทางไปยอดเขาใจสงบ”
ความคิดหนึ่งวาบผ่านในหัวชิงอวี่ แต่มันเร็วนักจนนางไม่อาจจับอะไรได้ นางจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เป็นไปได้หรือไม่….. ว่าท่านแม่ของข้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยอดเขาใจสงบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…..”
แม้จะมีข่าวลืออยู่บ้าง แต่จะมีใครรู้จริง ๆ ว่าที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไร?
“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ก็มีเพียงอาหลานเท่านั้นที่รู้ว่ามันจริงหรือไม่” โหลวจวินเหยาเอื้อมมือไปลูบศีรษะนาง “แต่ขาเห็นด้วยกับที่นางว่า เจ้าอย่าเอาตัวไปเสี่ยงที่นั่นเลย”
“เพราะท่านแม่อาจเกี่ยวข้องกับยอดเขาใจสงบ ข้าถึงยิ่งต้องไปที่นั่น ข้าจะได้เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด” ชิงอวี่เอ่ยดื้อรั้น
โหลวจวินเหยามีสีหน้าจนใจอยู่บ้าง กำลังจะเอ่ยคำ แต่หินก้อนเล็กก้อนหนึ่งที่อยู่ในแหวนกักเก็บพลันมีปฏิกิริยา มันเต้นตุบ ๆ พร้อมกับปล่อยแสงวาบสีจางออกมา
โหลวจวินเหยาหยิบหินขึ้นมาวางบนฝ่ามือ “มีอะไร?”
นี่เป็นวิธีพิเศษที่เขาใช้สื่อสารกับไป๋จือเยี่ยน และมักใช้ในเวลาเร่งด่วนเท่านั้น หินหน้าตาธรรมดาก้อนหนึ่ง แท้จริงแล้วกลับมีความสามารถในการทะลวงผ่านเกราะหรือโล่กำบังทุกอย่างได้ ทำให้สามารถติดต่อกับคนด้านนอกได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง
“ชิงอวี่อยู่ด้วยหรือไม่?” น้ำเสียงไป๋จือเยี่ยนเหมือนแต้มด้วยความกังวลและหวาดกลัว
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “อยู่ มีอะไรหรือ?”
“อาหลานหายไปตั้งแต่เช้า ข้าคิดว่านางคงออกไปเดินเล่นเพราะเบื่อ แต่หลายชั่วยามผ่านไปแล้วก็ยังไม่กลับมาสักที ข้าหาทั่วสำนักเซียนแพทย์แล้วก็ยังไม่พบคน ศิษย์ทั้งหลายที่ข้าส่งออกไปก็บอกว่าไม่เห็นอาหลานแถวนี้เลย”
ไป๋จือเยี่ยนดูตื่นตกใจและเป็นกังวลมากจนหายใจไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าตื่นตกใจนัก
โหลวจวินเหยาเหลือบมองคนข้างกายที่สีหน้าพลันทะมึน จากนั้นเอ่ยกับไป๋จือเยี่ยน “อย่าเพิ่งตกใจ ส่งคนออกไปหาเพิ่ม ความปลอดภัยในสำนักเซียนแพทย์ดีมาตลอด ตัดเรื่องถูกลักพาตัวไปได้เลย หรือนางจะเจอคนรู้จักแล้วเดินทางไปด้วยกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ผู้อาวุโสม่อตอนนี้น่ากลัวนัก ข้ายั้งเขาไม่อยู่แล้ว เจ้ารีบกลับมาได้หรือไม่!?” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่ง
“เอาล่ะ ย่อมได้”
เมื่อคุยกันจบ โหลวจวินเหยาก็หันไปเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับชิงอวี่ “เจ้าไม่ต้องห่วง ต้องพบอาหลานแน่ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร”
ชิงอวี่หลุบตาลงไม่เอ่ยคำอยู่หลายอึดใจ เวลาผ่านไปนางจึงเงยหน้าทอดสายตาไปไกลแล้วพลันเอ่ยคำขึ้นช้า ๆ “หรือว่า….. จะเกี่ยวกับยอดเขาใจสงบ…..”
ท่านแม่ไม่อยากให้นางขึ้นยอดเขาใจสงบ เพราะในตัวนางมีบางอย่างที่ใครบางคนให้ความสนใจงั้นหรือ?
ด้วยเศษวิญญาณกลับคืนมายังร่างครบส่วนแล้ว พลังบำเพ็ญของนางก็ควรใกล้ฟื้นฟูถึงปกติ นอกจากจอมยุทธ์พลังลึกล้ำเก็บตัวสันโดษแล้ว ก็ไม่มีใครบนแดนเมฆาสวรรค์จะเทียบนางติด ดังนั้นตัดเรื่องที่ถูกจับตัวทิ้งไปได้
เช่นนั้นเหตุผลเดียวที่เหลือก็คือนางเต็มใจ หรือไม่ก็เป็นคนคิดจะจากไปเอง
เพราะไม่อยากให้ชิงอวี่ถูกเปิดโปง นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ อีกฝ่ายจะได้มุ่งความสนใจไปที่ตัวนาง
และสิ่งที่รออยู่คงไม่ใช่การคุมขังสิบปีอย่างแต่ก่อนแน่ แต่จากกันครั้งนี้อาจหมายถึงตลอดกาล ไม่อาจพบหน้าได้อีก ทั้งความทรงจำ ทั้งอดีตทั้งหลาย…..
สุดท้ายก็จะจบสิ้นลง