บทที่ 280 ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 280 ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา
บทที่ 280 ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา

ชิงหลานเฟยฟื้นคืนสติ รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง นางกะพริบตามึน ๆ จากนั้นภาพก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น

นางพยายามขยับแขน หากแต่ทั่วร่างรู้สึกหนักไปหมด ส่งผลให้นางมุ่นคิ้ว นางจึงค่อย ๆ ก้มหน้าลง จึงเห็นว่าทั้งแขนและขานางถูกโซ่หน้าเส้นหนึ่งพันธนาการไว้

นางพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำที่เต็มไปด้วยเสาน้ำแข็งแหลม ตื่นขึ้นมาแล้วถึงได้รู้ว่าในนี้หนาวเย็นนักจนเห็นเป็นหมอก บนพื้นยังมีน้ำแข็งชั้นหนึ่ง

ที่ไหนกัน?

ชิงหลานเฟยเรียกพลังวิญญาณออกมาหมายจะทำลายพันธนาการที่มือ แต่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงพลังในร่าง นางอ่อนแรงมากกระทั่งไม่เหลือเรี่ยวแรงในกายอีก

นางหน้าซืดลงในพลัน ในใจเริ่มตระหนกขึ้นมา นางที่พยายามขยับร่างส่งผลให้โซ่ตรวนกระทบกันเป็นเสียงกริ๊กหนัก ๆ

“เจ้าฟื้นแล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู ร่างชิงหลานเฟยก็เกร็งขึ้น ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ

แม้จะไม่ได้พบกันนานหลายร้อยปี แต่ใบหน้าของคนเบื้องหน้านั้นไม่เปลี่ยนไปสักนิด มันปล่อยกลิ่นอายเย็นชา เหินห่าง ไม่อาจเอื้อมถึงได้

เรือนผมสีเงินยาวเคลียไหล่ไร้ผ้ามัด มีก็แต่เครื่องประดับหน้าผากสีฟ้าน้ำแข็งเท่านั้น แผ่กลิ่นอายสันโดษออกมาทั่วทั้งร่าง

ผิวนางงามจนคล้ายกับจะเรืองแสงได้ เครื่องหน้าที่งามอย่างเย็นชาเหมือนจะถูกหยุดเวลาไว้ไม่เคยแก่ตัวลงแม้เพียงนิด

เมื่อห้าร้อยปีก่อน คนผู้นี้ก็หน้าตาเช่นนี้ ห้าร้อยปีต่อมา ใบหน้านางก็ไม่เปลี่ยนสักนิด กระทั่งชิงหลานเฟยยังไม่รู้ว่านางอายุเท่าไหร่กันแน่

ชิงหลานเฟยจ้องคนตรงหน้าเงียบ ๆ หลายอึดใจถึงได้เอ่ยคำขึ้นช้า ๆ “อาจารย์…..”

ใช่แล้ว คนคนนี้คืออาจารย์ของนาง

คนที่ค้นพบว่านางมีธาตุเปลวอัคคี คนที่พานางออกมาจากอารามศักดิ์สิทธิ์สิบปีเต็ม

สตรีตรงหน้ามีรูปโฉมงดงามมาก ราวกับเซียนผู้สูงส่งยิ่งใหญ่ไม่อาจให้ใครลบหลู่ คางมนอันสง่างามนางเชิดขึ้น เผยกลิ่นอายสูงส่งเย่อหยิ่งเย็นชา

“หลานเฟย ข้าบอกเจ้าแล้ว….. ว่าสุดท้ายเจ้าก็ต้องกลับมาที่นี่”

ตัดกับใบหน้างดงามของนางคือน้ำเสียงแหบแห้งคล้ายสตรีชราอายุราวเจ็ดสิบแปดสิบปีที่ผ่านชีวิตมามาก ในใจนางดั่งน้ำนิ่ง แรงกระเพื่อมใดก็ไม่อาจทำลายความเย็นชาของนางลงได้

เหมือนว่านางเกิดมาเพื่อเป็นคนเย็นชาเช่นนี้ ท่าทีต่อทุกคนของนางก็เย็นชาเหมือนกันหมด

แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือนางอยู่กับชิงหลานเฟยมาตลอดสิบปี หลังจากเด็กคนนั้นจากไปแล้วก็ยังไม่ตัดการติดต่อ สำหรับนางแล้ว ชิงหลานเฟยไม่ใช่เพียงคนที่เรียกนางว่าอาจารย์ แต่เหมือนกับเป็นลูกของนางเอง

นางยังคงไม่เหมือนเช่นคนอื่น

ไม่เช่นนั้น นางก็คงไม่ไปร้องขอแทนเด็กคนนั้น ปล่อยให้คนที่สมควรตายยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้หรอก

“อาจารย์ ข้ากลับมาที่นี่ได้ หมายความว่าข้ายังมีประโยชน์ต่อพวกเขาหรือ? หมายความว่าลูกสาวข้าไม่ต้องทนทุกข์กับเรื่องทั้งหมดนี่…..”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

ชิงหลานเฟยพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเสียงแหบเย็นชาของอีกฝ่ายขัดขึ้น

ดวงตานางนิ่งสงบไร้อารมณ์ราวกับบ่อน้ำนิ่งสนิท นางดูไม่แยแสใส่ใจสีหน้าที่ซีดขาวจนน่ากลัวของอีกฝ่ายที่ต้องอยู่ในที่หนาวเย็นเป็นเวลานานสักนิด พลางเอ่ยคำช้า ๆ เน้นย้ำชัดเจนขึ้น

“เจ้าเป็นเพียงเหยื่อ ข้าบอกแล้วว่าโชคชะตา….. ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหลีกหนีได้ เหมือนกับตอนที่เจ้ากลายเป็นคนทรยศ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องชดใช้ ดังนั้นลูก ๆ ของเจ้าก็ต้องรับชะตากรรมที่เจ้าไม่ได้สานต่อให้สุดต่อไป”

“ชีวิตที่เหลือของเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่”

ชิงหลานเฟยหลุบตาลง เม้มปากแน่นอย่างเหยียดหยัน “ในอดีตข้าก็เคยเชื่อในโชคชะตา ทว่า…..”

นางพลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตานางส่องประกายจนน่าตกใจ “ตอนนี้ข้าไม่เชื่อมันสักนิด อาจารย์ ท่านเชื่อหรือไม่ว่าชีวิตข้าต้องไม่จบลงที่นี่? ลูกสาวของข้าก็จะไม่เป็นเช่นข้า ไม่ถูกพวกท่านบงการเช่นข้า!”

เหมือนนางจะชะงักไปกับคำของชิงหลานเฟย ส่งผลให้แสดงความประหลาดใจออกมาได้ยาก แต่ไม่นานนัยน์ตานางก็เต็มไปด้วยความเวทนา “หลานเฟย แม้จะผ่านไปหลายร้อยปี แต่เจ้าก็ยังใสซื่อเช่นแต่ก่อน คนทรยศที่หลุดรอดจากการควบคุมไปได้เช่นเจ้า ไม่เคยได้กลับขึ้นมาบนยอดเขาใจสงบเป็นหนที่สอง”

“เจ้าลองไตร่ตรองแล้วกลับใจอยู่ที่นี่เถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าคงเห็นแล้วว่าพลังวิญญาณในร่างเจ้าหายไปหมดแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายเจ้าก็จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ความมุ่งมั่นอันตื้นเขินและเปราะบางของเจ้าคงทนได้อีกไม่นาน”

“เจ้าไม่ใช่ชิงหลานเฟยคนก่อนอีกแล้ว”

พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินจากไป

ชิงหลานเฟยหลับตาลงช้า ๆ ถอนหายใจหนักหน่วงอยู่ภายใน

เกรงว่าพวกเขาคงไม่รู้ว่านางถูกพาตัวขึ้นมายังยอดเขาใจสงบ น่าเสียดาย นางได้กลับมาพบจิ่งอวี้อย่างยากลำบากนัก แต่ไม่นานก็ถูกพรากจากกันอีกแล้ว

ไม่แน่ว่าความยากลำบากที่ทั้งสองต้องฟันฝ่ามันยังไม่จบลงอย่างสมบูรณ์กระมัง

ย้อนไปเมื่อตอนที่นางถูกชิงลั่วเยี่ยนตามข่มเหงรังแก นางรู้ว่านั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่นางต้องเผชิญ

แม้จะไร้พลังวิญญาณ แต่นางก็ไม่ใช่คนอ่อนแอบนแดนเมฆาสวรรค์ และจิ่งอวี้เองก็มีพลังล้ำลึกหาได้ยาก ทำไมถึงได้ถูกลอบโจมตีอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้?!

หากไม่ใช่เพราะมือมืดบนยอดเขาใจสงบ มีหรือชิงลั่วเยี่ยนจะทำสำเร็จ มีหรือจิ่งอวี้จะถูกควบคุมโดยง่ายเช่นนั้น?

ต่อคนที่หมดประโยชน์กับพวกเขาแล้ว ยอดเขาใจสงบก็จะกดขี่ข่มเหงอย่างไร้ปรานี ไล่ล่าจนถึงที่สุด กระทั่งยืมมีดฆ่าคน ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ตามตัว

ทุกครั้งที่ชิงหลานเฟยคิดถึงมัน ในใจนางก็ยิ่งขมขื่น

สุดท้ายนางก็เป็นแค่เบี้ยที่พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูมาเท่านั้น

— สำนักเซียนแพทย์ —

เพราะชิงหลานเฟยหายตัวไป หลายวันมานี้บรรยากาศภายในจึงตึงเครียด

โดยเฉพาะเมื่อม่อจิ่งอวี้ปฏิเสธไม่ฟังคำทัดทาน เมื่อถูกยับยั้งไม่ให้ออกไปตามหานางก็ระเบิดพล่าน

“เดี๋ยวนะ? เช่นนั้นก็ตอบข้ามา ข้าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่? หนึ่งวัน? หนึ่งเดือน? หรือเป็นปี!?”

ม่อจิ่งอวี้ไม่นอนมาติดต่อกันหลายวัน นัยน์ตาคล้ายหงส์ของเขาแดงก่ำเป็นสีเลือด ดูซีดเซียวนัก เขาจ้องไป๋จือเยี่ยนตรงหน้านิ่งแล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ถอยไปเสียตั้งแต่ตอนที่ข้ายังคุมสติอยู่ ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า!”

“ผู้อาวุโสม่อ ข้าเข้าใจดีว่าท่านเป็นห่วงความปลอดภัยของอาหลาน แต่ท่านจะไปหานางที่ใด? พวกเราไม่มีเบาะสักนิดแม้จะส่งคนออกตามหาไปทั่ว หากได้รับข่าวอะไรพวกเขาจะแจ้งข้าเอง”

ใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจของไป๋จือเยี่ยนไม่คงแววขี้เล่นสบายอกสบายใจที่มักมีอีกต่อไป แต่กลับเคร่งขรึมเคร่งเครียด ทำให้ดูมีเสน่ห์น่าเชื่อถือขึ้นมา

แต่เบื้องหน้าเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา เห็นได้ชัดว่าคำพูดเขาโน้มน้าวอีกฝ่ายไม่ได้แม้สักนิด

“ก็บอกว่าหลบไป!” ม่อจิ่งอวี้สีหน้าทะมึน เอ่ยกระชากน้ำเสียงอย่างรุนแรง

พลังวิญญาณสีขาวเรืองที่ดูเกรี้ยวกราดเกินรับมือที่แผ่รอบร่างกายพลันวาบออกมา ราวกับหมายจะฉีกกระชากอะไรก็ตามที่ขวางทางเขาไว้

ไป๋จือเยี่ยนเห็นแล้วก็รีบถอยไปสิบก้าวทันที

ล้อกันเล่นเป็นแน่! คนตรงหน้าเขาถูกขนานนามว่าเป็นยอดยุทธ์แห่งแดนเมฆาสวรรค์เมื่อครั้งยังหนุ่มยังแน่น เขารู้ทันทีว่าตนเองคงไม่อาจประมือกับบุรุษตรงหน้าได้หากต้องแลกกระบวนท่ากันจริง ๆ

เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงนักปรุงยา ไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างเรื่องการต่อสู้อยู่แล้ว

หลังไป๋จือเยี่ยนถอยไปแล้วย่อมไม่มีใครกล้าขวางเขาอีก ม่อจิ่งอวี้เห็นดังนั้นก็คิดจะฉีกมิติออก ทว่าด้านหลังกลับได้ยินเสียงที่ทำให้เขาชะงักค้างอยู่กับที่

“ท่านพ่อ ท่านจะไปไหนหรือ?”

ม่อจิ่งอวี้ค่อย ๆ หันไป พบร่างเล็กในชุดขาวยืนอยู่ไกล ๆ ใบหน้างดงาม ริมฝีปากประดับยิ้มจาง นัยน์ตาหงส์ที่แทบจะถอดแบบเขาออกมา แต้มรอยอ่อนโยนไว้ภายในขณะจ้องมองเขาเงียบ ๆ

ได้เห็นองค์หญิงน้อยของเขาตัวเป็น ๆ ในระยะใกล้กันเช่นนั้น ม่อจิ่งอวี้แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

หากไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นั้นที่เหมือนกับเขาไม่มีผิดและชุดสีขาวบริสุทธิ์ของนางแล้ว เขาก็คงคิดว่านางเหมือนเฟยเอ๋อร์นัก

ม่อจิ่งอวี้ยังคิดว่าตนเห็นภาพหลอนไปเองอยู่

จนนางค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอยู่ตรงหน้า ยกยิ้มแล้วเรียกเขาอีกครั้งหนึ่ง “ท่านพ่อ”

ม่อจิ่งอวี้จึงค่อยได้สติ สีหน้าเขายังตะลึงอยู่บ้าง “เจ้าคือเสี่ยวอวี่หรือ?”

“ใช่แล้วท่านพ่อ” ชิงอวี่พยักหน้าตอบ

โหลวจวินเหยาพลันเดินมาจากด้านหลัง ส่งสายตามองชิงอวี่เล็กน้อย “เร่งมือเถอะ วิญญาณออกจากร่างนานไปยิ่งเกิดผลรุนแรง”

ชิงอวี่รับคำรวดเร็วพลางมองใบหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วคลี่ยิ้มหวาน “ขอบคุณท่านมาก ข้าจะเร่งมือ ไม่เกิดเรื่องอะไรแน่นอน”

ม่อจิ่งอวี้มองทั้งสองทำท่าบุ้ยใบ้ใส่กันแล้วก็ยังสับสนนัก เขาขมวดคิ้วทันที “กายเนื้อร่างวิญญาณอะไรกัน…..”

โหลวจวินเหยาหัวเราะเหยียดออกมา “นั่นก็เป็นเพราะท่าน นางได้ยินว่าท่านจะออกจากสำนักเซียนแพทย์ไปตามหาอาหลาน นางก็เลยเป็นห่วงท่าน แต่เพราะไม่อาจใช้กายเนื้อออกมาได้ จึงไร้ทางเลือก ต้องไล่วิญญาณตนเองออกจากร่างเพื่อมาปลอบประโลมท่านอย่างไร”

“อะไรนะ!?”

ม่านตาม่อจิ่งอวี้หดลงทันที สีหน้ากลายเป็นทะมึน “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!? เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอันตรายขนาดไหน? หากตอนนี้กายเนื้อเจ้าได้รับอันตรายใด วิญญาณเจ้าจะกลับไปไม่ได้อีกเลยนะ!!”

พูดแล้วม่อจิ่งอวี้ก็หันไปจ้องโหลวจวินเหยา “นางยังเด็ก อาจไม่มีเหตุผลมากเท่าไหร่ แต่เจ้าเองก็ไร้เหตุผลเช่นกันหรือ? ไม่รู้เลยว่าการปล่อยให้เจ้าเป็นคนดูแลนางเป็นความคิดที่ดีจริง ๆ หรือไม่!”

โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็ชะงักไป เหมือนจะได้ยินว่าอีกฝ่ายบอกว่าปล่อยนางให้เขาดูแลงั้นหรือ??

ไม่ต่อต้านพวกเขาแล้วหรือ? เหลือเชื่อจริง ๆ

เห็นใบหน้าโกรธขึ้งของม่อจิ่งอวี้ขณะต่อว่าโหลวจวินเหยาแล้ว ชิงอวี่ก็ส่งสายตาขอโทษขอโพยไปยังใครบางคนที่ยอมโดนต่อว่าแต่โดยดี ก่อนนางจะเอ่ยเสียงนุ่มขึ้น “ข้าไม่เป็นไร พวกท่านวางใจเถอะ อาเหยากางเกราะคุ้มกันร่างของข้าไว้แล้ว ดังนั้นไม่เกิดเรื่องแน่นอน อีกทั้งข้าก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน”

ม่อจิ่งอวี้อึ้งไป ก่อนจะเอ่ยปากก็ได้ยินชิงอวี่ว่าต่อแล้ว “ท่านฟังข้า ข้ารู้ว่าท่านอยากทำอะไร ข้าเองก็รู้ว่าท่านแม่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กลับไปยังที่ที่ควรอยู่เท่านั้น ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”

ม่อจิ่งอวี้มองนางด้วยสายตาซับซ้อนเล็กน้อย เขาพลันไร้คำจะเอื้อนเอ่ย

เป็นอย่างที่คิด นางรู้เรื่องทุกอย่างแล้วหรือ?

เฟยเอ๋อร์พยายามทุกทางเพื่อปิดบังมัน โชคร้ายที่ลูกสาวของพวกเขาฉลาดเกินไป รู้ว่าเรื่องราวไม่ใช่เช่นที่เห็น

“นอกจากท่านแม่แล้วก็คงไม่มีใครรู้วิธีไปที่นั่นอีก ฉะนั้นสิ่งแรกคือการสงบจิตใจ อย่าลืมว่าท่านแม่ทำเช่นนี้ไม่เพียงเพื่อปกป้องเสี่ยวเป่ยกับข้า แต่เพื่อปกป้องท่านด้วยเช่นกัน!”