บทที่ 281 แขกยามราตรี
บทที่ 281 แขกยามราตรี
เด็กสาวรู้มากกว่าที่เขาคิดไว้นัก
ม่อจิ่งอวี้นัยน์ตาหม่นแสงลงเล็กน้อย หลายอึดใจกว่าจะเอ่ยปาก “เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
ชิงอวี่ยกยิ้มขึ้น ค่อย ๆ หันไปมองม่อจิ่งอวี้ก่อนเอ่ยเยาะขึ้น “คนที่พวกเขาหมายตาคือข้า ดังนั้นมีแต่ข้าต้องขึ้นไปบนนั้นพวกเขาถึงจะละความสนใจจากท่านแม่ ทั้งความระแวดระวังนางจะลดลง ถึงตอนนั้นก็คงต้องพึ่งความสามารถของท่านพ่อ ในการช่วยหญิงสาวที่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว”
นางพูดจบม่อจิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้ว “เจ้าจะไปที่นั่นจริงหรือ? ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไร!? แม่เจ้าตกอยู่ในอันตรายก็เพราะต้องการปกป้องเจ้า แล้วเจ้าจะส่งตนเองไปถึงมือพวกเขาได้อย่างไร? ข้าไม่เห็นด้วย”
ชิงอวี่ไม่คิดอะไร เพียงแต่เลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อท่านพ่อไม่มีแผนที่ดีกว่านี้ เราจะทำตามที่ข้าว่า”
แม้ต่อหน้าบิดามารดานางจะทำท่าว่านอนสอนง่าย แต่เมื่อเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งนางได้อีก
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินแล้วก็ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่คิดว่าตนระเบิดอารมณ์ไปคงไม่เหมาะ เขาหันไปหาโหลวจวินเหยาที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดสักคำ “แล้วเจ้าเห็นด้วยกับนางหรือ? นางต้องการทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย ยอดเขาใจสงบไม่ใช่สถานที่ที่คิดอยากมาก็มาอยากไปก็ไปได้!”
โหลวจวินเหยายกยิ้ม นัยน์ตาสีม่วงเจือแววขันจาง ๆ แล้วเอ่ยเสียงทุ้มขึ้น “สถานที่ที่ว่ากันว่าเป็นแดนเซียน หรือพูดตรง ๆ ก็คือเป็นสถานที่ที่ไม่เคยมีใครไปมาก่อนกระมัง? จะมีใครรู้ว่าข่าวลือเหล่านั้นจริงหรือหลอก? ผู้อาวุโสเองก็ถูกยกย่องเป็นยอดยุทธ์แห่งแดนเมฆาสวรรค์ในอดีต ท่านหลับนานไปหน่อย ตอนนี้จึงกลายเป็นขี้กลัวใจไม่กล้าไปแล้วหรือ?”
“เจ้า…..” ม่อจิ่งอวี้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยยามได้ยินคำสบประมาท ด้วยไม่อยากลงอารมณ์กับลูกสาวตนเองจึงหันไปตวัดสายตาจ้องโหลวจวินเหยาเขม็งแทน
“เด็กอย่างเจ้าอย่ามั่นใจเกินตัวเสียดีกว่า คิดว่ามีความสามารถนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วจะอยู่เหนือคนอื่นเขาได้แล้วงั้นหรือ? เรื่องยอดเขาใจสงบเป็นอาหลานเล่าให้ข้าฟังเอง เจ้าว่ามันจะไม่จริงได้หรือ!”
“อ้อ?” โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงดัง “เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสเล่าให้ฟังอีกได้หรือไม่?”
ชิงอวี่พยักหน้า แทรกเข้ามาเช่นกัน “ใช่แล้วท่านพ่อ เล่าเรื่องยอดเขาใจสงบให้ข้าฟังอีกหน่อย พอข้าเข้าใจมันแล้วข้าจะได้วางแผนรับมือได้ดีกว่านี้”
“พวกเจ้า…..” ม่อจิ่งอวี้หน้าคว่ำไปทันที
ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งจะหลงกลเจ้าผีน้อยสองตัวนี้เสียแล้วกันนะ? เขาบอกว่ามันอันตรายมาก แต่คนทั้งคู่กลับยิ่งดูสนอกสนใจยิ่ง!
เขาบอกกับเฟยเอ๋อร์ไว้ชัดเจนว่าอย่าให้พวกเด็ก ๆ รู้เรื่อง ความแค้นของคนรุ่นก่อนไม่ควรให้พวกลูก ๆ ต้องมาลำบากด้วย
แต่เรื่องเป็นเช่นนี้ เขาคงใส่ใจอะไรมากไม่ได้แล้ว
เฟยเอ๋อร์เสียสละเพื่อเขามามากแล้ว นางยอมปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้น แล้วเขาจะนั่งเฉย ๆ ได้อีกหรือ
กระทั่งลูกสาวตัวน้อยของพวกเขายังกล้าหาญเช่นนี้ แล้วเขาจะยับยั้งตนเองไปอีกทำไมกัน?
ณ สถานที่แห่งหนึ่งบนแดนเมฆาสวรรค์ บรรยากาศนิ่งสงบส่วนหนึ่งบิดเบี้ยวกลายเป็นอุโมงค์มิติแหวกออกมา คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากมิตินั้น พริบตาเดียวมิติก็หายวับไป
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นทางสู่แดนเมฆาสวรรค์ที่อยู่ในแดนชั้นต่ำ มีน้อยคนนักที่รู้จักอุโมงค์แห่งนี้
ที่เดินนำหน้าอยู่คือบุรุษร่างสูงในชุดสีดำ
ทว่าที่โดดเด่นที่สุดคือเรือนผมสีเงินที่ดูราวกับเกล็ดหิมะของเขา และนัยน์ตาสีเขียวเข้มที่ทำให้นึกถึงอสูรดุร้าย ริมฝีปากสีชมพูเม้มเข้าหากันแน่น เผยกลิ่นอายเย็นชาไร้อารมณ์เสริมความเยียบเย็นบนใบหน้าหล่อเหลาอีกขั้นหนึ่ง
เป็นชิงเยี่ยหลีที่มาจากแดนธาราขาว
คนที่เดินตามหลังมาคือข้ารับใช้ใกล้ชิดที่เขาเชื่อใจไร้ความกังขา เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับเมื่อตอนที่ตามเขาไปจวนตระกูลเฟิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นใคร หากคิดจะเดินทางสู่แดนสูงกว่ามักต้องเจออุปสรรค เส้นทางจะเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ ที่ต้องฝ่าเพื่อไปยังแดนสูงที่มีอำนาจมากกว่า
แต่ดูท่ากับชิงเยี่ยหลีและผู้ติดตามจะไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเดินทางผ่านอุโมงค์มิติมา รู้สึกเพียงเดินนานกว่าเดิมหน่อยเท่านั้น ไม่ได้พบอันตรายหรืออะไรแปลกประหลาดเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้โชคของประมุขน้อยช่วยไว้หรือไม่
เด็กสาวร่างเล็กถักเปียสองข้างเบิกตาโตมองไปรอบกายด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะหันไปมองคนหน้าตายแล้วเสียงใสก็ถามขึ้น “ประมุขน้อย จากนี้ไปจะไปทางไหนต่อหรือ?”
ยามเด็กสาวเอ่ยถามขึ้น คนที่เหลือก็ส่งสายตาสงสัยมองไปทางเขาเช่นกัน
“เราจะหาที่พักกันก่อน” ชิงเยี่ยหลีหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบเสียงไร้อารมณ์
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ร่างสูงของบุรุษอีกคนหนึ่งยกนิ้วโป้งทิ่มหน้าอกตนเอง เขาเชี่ยวนักเรื่องหาที่พัก หาที่ใดก็ได้เป็นที่ที่ดีที่สุดเสมอ
ชิงเยี่ยหลีไม่ว่าอะไร นัยน์ตาเขาทอดมองไปไกล เขา….. รู้อยู่ตลอดว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน
แต่เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับนางอีกแล้ว
เพราะเขากลัวว่าวันหนึ่งจะไม่อาจคุมสัตว์ร้ายภายในกายตัวเองได้แล้วทำร้ายนางเข้า
แม้จะมีวิธีที่ทำให้ได้อยู่กับนางไปตลอดกาลก็ตาม
แต่เขาก็ไม่อยากทำร้ายนาง แม้สักนิดก็ไม่เคยคิด
เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครก็ตามทำร้ายนาง แม้จะเป็นตัวเขาเองก็ตาม มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด
สีหน้าชิงเยี่ยหลีดูหดหู่ไปชั่วขณะ
แต่….. เขากับนางก็ไม่ได้พบกันนานมากแล้วจริง ๆ!
ยามราตรีค่อย ๆ คืบคลานมาเรื่อย ๆ
เพราะชิงหลานเฟยเกิดเรื่อง ชิงอวี่จึงไม่ยอมให้โหลวจวินเหยามาหานางอีก แต่ให้อยู่เป็นเพื่อนม่อจิ่งอวี้ไม่ให้เขาแอบทำอะไรลับหลัง
ชิงอวี่พยายามดึงเอาข้อมมูลจากชิงลั่วเยี่ยนทั้งทางตรงทั้งทางอ้อม แต่ดูเหมือนชิงลั่วเยี่ยนก็ไม่ได้รู้เรื่องยอดเขาใจสงบนัก ทั้งยังไม่รู้ว่ามันจะเปิดออกตอนไหน
ชิงลั่วเยี่ยนบอกเพียงว่าเมื่อยอดเขาใจสงบปรากฏเมื่อไร จะเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นบนฟ้า ก่อนที่มันจะปรากฏตัวออกมา
คืนนั้น ชิงอวี่ไปที่เรือนชิงลั่วเยี่ยนเพื่อสะกดจิตให้นางหลับไป ก่อนจะเดินกลับเรือนตน ระหว่างทางกลับได้พบกับชางเจี้ยนที่ไม่ได้เห็นหน้าตากันมานาน
“หัวหน้านักบวช ไม่ได้พบกันนาน”
ชางเจี้ยนเองเห็นได้ชัดว่าเห็นนางแล้ว แต่สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ เพียงแต่ยิ้มแข็ง ๆ ให้แล้วเดินจากไป
ดูเหมือนกับไม่รู้จะเผชิญหน้ากับชิงอวี่อย่างไรอีกดี
เมื่อนึกย้อนไปว่าเขาผลักชิงอวี่ให้ชิงลั่วเยี่ยนเพื่อเอาตัวรอด ไม่คิดเลยว่านางไม่เพียงอยู่รอดปลอดภัย กระทั่งทำให้ชิงลั่วเยี่ยนเชื่อใจและโปรดปรานได้ด้วย
นับแต่นั้นมา เขาก็กลายเป็นคนที่ถูกชิงลั่วเยี่ยนเขี่ยทิ้ง หัวหน้านักบวชเป็นเพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่า พวกคนที่คอยตามประจบเอาใจก็พากันหลีกห่างเมื่อเห็นสถานการณ์ปัจจุบันของเขา บางคนกระทั่งแอบเยาะเย้ยถากถางหลับหลังเขา
ไม่ว่าในอดีตเขาจะได้รับการยกย่องดูสูงส่งเพียงไหน ตอนนี้กลับตกต่ำผกผันลงมากเท่านั้น
เห็นเงาร่างอีกฝ่ายเดินห่างไกลไปเรื่อย ๆ ชิงอวี่ก็เลิกคิ้ว มองไม่เห็นสีหน้าเขา
ความรู้สึกในตอนนี้ของเขา ให้ตายก็คงยังดีเสียกว่ากระมัง!
ชินชากับการที่มีคนอื่น ๆ ยกย่องเทิดทูน ตอนนี้กลับถูกเหยียดต่ำกลายเป็นคนที่ไม่มีใครกล่าวถึง ไม่เพียงแต่เป็นความรู้สึกขยะแขยง แต่คล้ายกับความรู้สึกเหมือนยามที่ก้างปลาติดคอ ติดอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขึ้นไม่ยอมลง จะหาใครมาระบายให้ฟังก็ไม่ได้
หึ แต่เท่านี้มันจะไปพอได้อย่างไร?
นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นคนทรยศ ชะตาก็ลิขิตไว้แล้วว่าต้องพบกับจุดจบไม่ดี ทั้งหมดนี่เป็นเพียงของเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
นางยังเดินมุ่งหน้ากลับเรือนตนต่อ ที่หน้าประตูเห็นเป็นสตรีรับใช้สองคนโค้งคำนับให้ “แม่นางอวี่ชิง”
“พวกเจ้าสองคนไปได้ ไม่ต้องอยู่รับใช้ข้า พวกเราก็ตำแหน่งเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเคารพข้ามากก็ได้ ข้าไม่คู่ควรหรอก” ชิงอวี่เอ่ยพลางยกยิ้ม
“แต่ว่า…..”
“หากท่านเจ้าอารามถาม ข้าจะเป็นคนบอกนางเอง พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะกลายเป็นคนผิด” ชิงอวี่เอ่ยขัดพวกนาง แม้มุมปากจะยังเปื้อนยิ้ม แต่ก็สัมผัสได้ว่านางไม่ใช่คนมีความอดทนเป็นเลิศ หากพวกนางยังดื้อดึงจะอยู่ต่อคงถูกโกรธเป็นแน่
พวกนางสบตากัน สุดท้ายก็ยอมแพ้ไป โค้งคำนับให้เด็กสาวแล้วถอยจากไปทันที
หึ ไม่รู้ว่ามารับใช้หรือมาจับตามองกันแน่? ชิงอวี่พ่นลมหยันออกมา จากนั้นเปิดประตูเดินเข้าไปด้านใน
แม้จะดึกมากแล้ว แต่นางกลับไม่รู้สึกง่วงสักนิด ในใจนางยังคิดเรื่องยอดเขาใจสงบอยู่
ฟังจากที่ม่อจิ่งอวี้เล่า ว่ากันว่าเป็นสถานที่ลึกลับนัก ไม่มีใครรู้ว่าเป็นสถานที่แบบใดกันแน่ แต่ผู้คนเรียกคนที่นั่นว่าเซียนทูต พวกเขามีพลังอำนาจน่าเกรงขามที่มนุษย์ไม่มี ผู้ที่มาจากยอดเขาใจสงบต่างก็มีพลังอำนาจที่สะท้านสะเทือนไปทั้งใต้หล้าได้
แต่พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวนัก หรือต้องบอกว่า ในสายตาพวกเขา คนอื่น ๆ นอกจากคนบนยอดเขาใจสงบนั้นต่ำต้อยเกินไปจนอาจทำลายความสูงส่งของพวกเขาได้
กระทั่งแดนสูงสุดอย่างแดนเมฆาสวรรค์ยังเป็นสิ่งไร้ค่าในสายตา
พลังบำเพ็ญของชิงอวี่เมื่อชาติก่อนก็ถึงขั้นครึ่งสวรรค์แล้ว และในโลกที่นางเคยอยู่นั้น ก็แทบจะหาคนที่เทียบขั้นนางได้ยากแล้ว ตอนนั้นหากนางรอดชีวิตจากการทะลวงพลังสวรรค์ไปได้ นางก็จะมีโอกาสขึ้นไปยังแดนเซียน กลายเป็นยอดยุทธ์ที่ได้ถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
นางคิดได้ดังนั้นแล้วก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้
ยอดเขาใจสงบกับแดนเซียนนั่น หรือว่าจะมีอะไร….. เชื่อมโยงกันหรือไม่?
“มีผู้บุกรุกเข้ามาในอาราม! ปกป้องท่านเจ้าอาราม! ทุกคนระวังภัยขั้นสุด!!”
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นขัดความคิดชิงอวี่ นางพลันได้สติทันที มองไปยังกลุ่มคนชุดขาวที่วิ่งผ่านนอกหน้าต่างไปด้วยความประหลาดใจ
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อครู่ได้ยินว่ามีใครบุกรุกเข้ามาหรือ??
ที่บัดซบนี่เดินไปตรงไหนก็อันตราย รักษาความปลอดภัยแน่นหนาจนแมลงสักตัวยังเข้ามาไม่ได้ อาจเพราะชิงลั่วเยี่ยนทำชั่วไว้มากจึงกลัวตนมีภัย อารามศักดิ์สิทธิ์แทบจะกลายสภาพเป็นกำแพงเหล็กเสริมไปแล้วด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้กลับมีคนบุกเข้ามาได้อย่างงั้นหรือ?
คงไม่ใช่โหลวจวินเหยาหรอก คนผู้นั้นหลบหลีกเข้ามาได้โดยไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจับร่องรอยได้สักนิด
และก็มีแต่คนที่มีพลังเท่าเทียมกันกับเขาที่จะไปไหนมาไหนได้ตามใจเช่นนี้
เช่นนั้นเป็นใครที่บุกรุกเข้ามากัน?
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เสียงเบาเสียงหนึ่งก็ดังผ่านบานหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ร่างหนึ่งผลุบเข้ามาในห้องทั้งที่ไร้เสียง
คนผู้นั้นหันหลังให้นาง ยืนอยู่ในมุมมืดที่แสงเทียนส่องไม่ถึง เห็นเพียงร่างสูงที่โผล่มาให้เห็นเล็กน้อยเท่านั้น มองจากด้านหลังดูจะผอมไปสักหน่อย
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่รู้สึกถึงจิตมุ่งร้ายจากอีกฝ่าย นางจึงอดหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้ “ท่านตรงนั้น หาญกล้านักที่เข้ามาถึงในนี้ หลงทางหรือว่ามาหาข้ากันเล่า?”