บทที่ 288 ส่งตัวภรรยาข้ามา

ตอนที่จี้จือฮวนมาถึงเค่ออวิ๋นไหล ก็พบว่ามู่หรงจาวออกมาต้อนรับลูกค้าแล้ว

แต่ไม่ได้ทำงานใช้แรงอย่างยกอาหารอะไรพวกนั้น แค่จดรายการอาหารที่โต๊ะยาว แล้วเอาไปส่งที่ห้องครัวก็นับเป็นการลดภาระของเสี่ยวเอ้อได้แล้ว

ให้ฮวาเซียงเซียงดีดลูกคิดอย่างเดียวก็พอ

นอกจากนี้ในร้านยังมีคนจำนวนมากที่มาดูมู่หรงจาว ประเด็นสำคัญก็คือแม่นางน้อยจากต่างแดนผู้นี้มีหน้าตางดงามยิ่ง

จี้จือฮวนลงจากหลังม้าและเดินเข้ามาภายในร้าน บรรดาลูกค้าก็รีบตะโกนขึ้นมาทันที “แม่นางจี้ ทำอาหารจานใหม่อะไรมาอีกหรือขอรับ!?”

“พวกท่านจมูกดีจริง ๆ ครู่เดียวก็แยกออกแล้ว!” จี้จือฮวนทักทายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะบุ้ยปากให้กับฮวาเซียงเซียง ทั้งสองจึงเดินไปทางห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง

“เป็นเช่นไรบ้าง มู่หรงจาวอยู่ที่นี่ไม่ได้สร้างปัญหาให้เจ้าใช่หรือไม่?” จี้จือฮวนเปิดเถาอาหารออก

ฮวาเซียงเซียงหยิบตะเกียบขึ้นมาลองชิม อร่อยจนต้องหลับตาพริ้ม จากนั้นก็เอ่ยออกมา “สร้างปัญหาอะไรกันเล่า เป็นผู้ช่วยที่ดีมากต่างหาก ขยันขันแข็งทั้งยังปากหวาน หน้าตาสะสวยแล้วยังรู้จักพูดคุย คิดว่าหลังออกมาจากบ้านเกิดคงจะลำบากมากในจงหยวน แต่เป็นคนที่สามารถทำการค้าได้ดีเลยทีเดียว”

มู่หรงจาวในตอนนี้ ยังมองไม่รู้ว่าภายภาคหน้าตัวเองจะกลายเป็นคนเด็ดขาดและโหดเหี้ยม

จี้จือฮวนกลัวว่าฮวาเซียงเซียงจะไม่ชอบนาง หรือมู่หรงจาวจะสร้างความลำบากให้กับนาง แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าทั้งสองคนสนิทสนมกลมเกลียวกัน อีกทั้งมู่หรงจาวยังสามารถช่วยนางเรื่องการค้า จี้จือฮวนก็รู้สึกโล่งใจแทนนางขึ้นมา

ทว่าหลังจากช่วยนางเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าชีวิตของนางจะยังเป็นเหมือนในนิยายอีกหรือไม่ ภายหลังที่ได้พบกับคนในเผ่าของตัวเองอีกครั้ง และเริ่มต้นชีวิตที่เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของนาง

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่าจะหาคนมาช่วยดูร้าน ข้าว่ามู่หรงจาวก็ไม่เลวเลยนะ ข้าจะสอนนางดู หากว่าชำนาญเรื่องการค้าแล้วจะยกให้นางจัดการก็ได้ เพียงแต่นางใกล้จะคลอดแล้ว ข้าต้องจ้างคนอีกสองสามคนมาช่วย นางจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป”

ฮวาเซียงเซียงเป็นคนมีน้ำใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สามารถมองเห็นนิสัยของฮวาเส้าจงจากตัวของนางได้เป็นอย่างดี มิน่าเล่าคนมากมายเพียงนั้นถึงยอมติดตามกลุ่มกองเรือ ดีกว่ายอมเป็นคนของราชสำนักเพื่อรับเงินเบี้ยหวัด

ใช้คนอย่าระแวง หากระแวงก็อย่าใช้ ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ สตรีที่มีน้ำใจเช่นนี้ ใครจะกล้าทำให้ผิดหวังกัน

“อืม อาหารของเจ้าช่วงนี้คงเอาไว้เพิ่มความอบอุ่นสำหรับหน้าหนาวกระมัง ข้ากินแล้วรู้สึกอุ่นท้องขึ้นมาเลย”

“คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ”

จี้จือฮวนกับฮวาเซียงเซียงพูดคุยเรื่องรายการอาหารสำหรับฤดูหนาว และอาหารที่เพิ่งเปิดตัวของเค่ออวิ๋นไหลอยู่ทางหลังร้าน

“ดีจริง ๆ นางโสเภณีชั้นต่ำ ข้าว่าแล้วเหตุใดถึงหาเจ้าไม่เจอ ที่แท้ก็มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่นี่เอง”

“จะทำอะไร ยังจะขวางไม่ให้ข้าพาตัวนางไปอีกหรือ พูดมา นี่เป็นชู้ของเจ้าใช่หรือไม่!”

จี้จือฮวนกับฮวาเซียงเซียงสบตากัน

ฮวาเซียงเซียงหมุนตัวออกไปหน้าร้านปากก็บ่นไปด้วย บัดซบจริง ๆ ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นปีชงหรืออย่างไร เหตุใดเอะอะก็มีคนมาหาเรื่องถึงที่

คราวนี้นางถือไม้นวดแป้งที่วางบนโต๊ะในครัวมาด้วย ก่อนจะเปิดผ้าม่านแล้วตะโกนออกไป “คนตาบอดที่ไหนมารบกวนการค้าของข้าอีกแล้ว!”

คนที่มายืนมุงอยู่หน้าประตูมีไม่น้อย คนที่เป็นผู้นำเป็นสตรีวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วน สวมชุดผ้าไหมสีม่วงแดง มวยผมไว้บนหัวและหวีจนเรียบแปล้ อีกทั้งยังปักปิ่นสีทองประดับไว้ที่บนหัวอีกด้วย

ข้างหลังเป็นชายหนุ่มที่ดูสง่างามผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังมองไปที่เสี่ยวเอ้อที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์

ภายในร้านเงียบลงชั่วขณะหนึ่ง เนื่องจากเสียงตะโกนของฮวาเซียงเซียง

สตรีวัยกลางคนผู้นั้นได้สติคืนมา นางจึงตะโกนตอบไปทันที “นี่เป็นร้านของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าจับลูกสะใภ้ของเรามาทำไม!? เด็ก ๆ รีบไปแจ้งทางการ”

แจ้งทางการ? ฮวาเซียงเซียงอยากให้นางรีบไปแจ้งทางการเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ถลกหนังยายแก่ผู้นี้ออกมา

“ใครกัน ใครเป็นลูกสะใภ้ของเจ้ากัน? กล้ามาแอบอ้างถึงที่นี่ เจ้าไม่ไปสืบข่าวดูบ้างว่าเค่ออวิ๋นไหลของข้าเป็นสถานที่เช่นไร เถ้าแก่เนี้ยเป็นใคร สตรีที่ทำตัวกร่างเช่นเจ้าข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว อย่าคิดว่าตัวเองเสียงดังแล้วข้าจะกลัว ตอนที่ข้าเข้ามาในวงการ เจ้ายังเล่นดินเล่นโคลนอยู่เลยกระมัง”

คุณหนูฮวาที่สวมกางเกงเปิดเป้าตอนเด็ก ๆ ก็เดินเล่นอยู่ที่ท่าเรือของกลุ่มกองเรือแล้ว นางปรายตามองสตรีวัยกลางคนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เจ้า! ดี มู่หรงจาว เจ้ายังไม่รีบออกมาอีก!”

มู่หรงจาวที่ยืนอยู่ที่โต๊ะยาว เม้มริมฝีปากแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ข้าจะออกไปคุยกับเจ้า เจ้าอย่ามาขัดขวางคนทำการค้าที่นี่”

จี้จือฮวนเองก็คิดว่าคงมาเพราะมู่หรงจาว หรือชายผู้นั้นก็คือพ่อของลูกในท้องนาง?

“ไปคุยกันที่ลานด้านหลังเถอะ ตะโกนด่ากันที่ด้านนอกเช่นนี้คงไม่เหมาะเท่าใดนัก” จี้จือฮวนพยายามใช้น้ำเสียงที่สงบนิ่งพูดกับพวกเขา

แต่ใครจะคิดว่าสตรีวัยกลางคนผู้นั้นเมื่อเห็นคนมากมายปกป้องมู่หรงจาว ก็ตะโกนออกมา “เรื่องอะไรจะต้องเข้าไปคุยข้างใน ข้าจะพูดตรงนี้ วันนี้หากไม่ส่งลูกตัวสะใภ้กับเด็กในท้องมา ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

“สุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ เด็ก ๆ!” จี้จือฮวนตะโกนขึ้นมา

ทหารเกราะเหล็กที่กำลังลาดตระเวนอยู่ด้านนอกพุ่งเข้ามาทันที พร้อมกับลากคนที่สตรีวัยกลางคนผู้นั้นพามาโยนออกไปนอกร้าน

ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างก็ลมหายใจเย็นเยียบ

แม่นางจี้คราวนี้ไม่ได้มาเอาตัวเชลยแล้ว คนเขาพัฒนาจนสามารถสั่งการทหารของราชสำนักได้แล้ว!

คาดว่าสตรีวัยกลางคนก็คงคิดไม่ถึงว่าเค่ออวิ๋นไหลจะกระทำการยิ่งกว่าตลาดมืดเช่นนี้ หลังจากกลิ้งไปกับพื้นหนึ่งตลบก็ระเบิดอารมณ์ออกมา

“มู่หรงจาว เจ้ากล้าให้คนทำเช่นนี้กับแม่สามีและสามีของเจ้าอย่างนั้นหรือ! เจ้ามันโสเภณีชั้นต่ำ”

“ปากเสีย เด็ก ๆ ตบปาก”

ฝ่ามือของกองทัพทหารเกราะเหล็กนั้นราวกับพัดขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น หากตบลงไปจะไม่ทำให้คนใบหน้าบวมเป่ง ฟันร่วงหมดปากอย่างนั้นหรือ?

“เจ้า…เจ้าเป็นใคร ข้าพูดกับลูกสะใภ้ของข้าอยู่ เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย!”

จี้จือฮวนปรายตามองหญิงวัยกลางคนด้วยสายตาเย็นชา “ตอนนี้มู่หรงจาวเป็นคนในร้านของข้า ข้าไม่เคยรู้ว่านางมีแม่สามีและสามีเช่นนี้ด้วย”

คนในตำบลฉาซู่ที่รู้เรื่องมู่หรงจาวต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่แล้ว แม่นางน้อยผู้นี้มาอยู่ที่นี่เกือบเดือนแล้ว ทุกวันเอาแต่เดินเร่ร่อนอยู่บนถนน ยามกลางคืนก็มานอนขวางประตูร้าน แย่งซาลาเปากับสุนัข ท้องโตเช่นนี้กลับไม่มีคนสนใจ หากเป็นลูกสะใภ้ของพวกเจ้าจริง มีใครทำเช่นนี้กับลูกสะใภ้ที่ตั้งท้องอยู่กันบ้าง?”

“พวกเรายังคิดว่าครอบครัวของนางประสบภัยพิบัติไปแล้วเสียอีก”

“โอ้โฮ เจ้าดูแม่สามีนางสิ อ้าปากก็เรียกนางโสเภณี บ้านไหนปฏิบัติตัวต่อลูกสะใภ้เช่นนี้บ้าง? เห็นชัดว่าไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน”

“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน พวกเจ้าจะไปรู้อะไร นางสารเลวนี่อกตัญญูต่อพ่อแม่สามี ทั้งยังอิจฉาริษยา ทำผิดคุณธรรมของภรรยา จวิ้นเซิงของเรายอมรับนางถือว่าเป็นบุญที่นางสะสมมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ทว่านางกลับยังไม่ถนอมเอาไว้อีก”

มู่หรงจาวโมโหจนตัวสั่น ก่อนจะเอามือกุมหน้าท้องและเดินออกมา “จางจวิ้นเซิง ครอบครัวของเจ้ากล้าพูดอย่างไร้มโนธรรมเช่นนี้ไม่กลัวฟ้าผ่าตายเลยหรืออย่างไร แต่ข้าไม่กลัวที่จะบอกคนนอกว่าครอบครัวของพวกเจ้าย่ำยีข้าเช่นไร! ขอพ่อแม่พี่น้องทุกท่านเป็นพยาน วันนี้ข้าไม่มีทางกลับไปกับพวกเขาเด็ดขาด!”

ฮวาเซียงเซียงเห็นดังนั้น เหอะ มีความลับซ่อนอยู่จริง ๆ ด้วย นางจึงตบโต๊ะทันที “มา ๆ ๆ นั่งลงกินข้าว การแสดงของเค่ออวิ๋นไหลของเราจะเริ่มขึ้นแล้ว ตีสุนัข”

.

.

.