บทที่ 289 เปิดศาลที่นี่

ชายที่ชื่อว่าจางจวิ้นเซิงผู้นั้นได้ยินมู่หรงจาวเอ่ยเช่นนี้ ก็ลุกขึ้นมาประคองแม่ของตัวเองทันที พลางมองมู่หรงจาวด้วยใบหน้าผิดหวัง

“อาจาว เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

มู่หรงจาวได้ยินชายคนนั้นแสร้งทำเป็นจริงใจ ใบหน้าของนางจึงฉาบด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “จางจวิ้นเซิง เจ้ากับข้าขาดความเป็นสามีภรรยากันแล้ว บัดนี้ข้าออกจากตระกูลจางของเจ้ามาแล้ว เหตุใดเจ้าต้องมาบีบบังคับกันอีก”

“เจ้าจะไปก็ได้ แต่เด็กคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลจางของเรา เจ้าจะพาลูกไปที่ใด? ทั้งใต้หล้ามีเรื่องเช่นนี้ที่ใดกัน!? ข้าว่าเจ้ามีชายอื่นรออยู่ข้างนอก จนทนไม่ไหวแล้วต่างหาก” นางจางเอ็ดตะโรขึ้นมาอีกครั้ง

มู่หรงจาวมองจางจวิ้นเซิงสองคนแม่ลูกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “นางจาง เจ้าอย่าลืมว่า ตอนนั้นที่ข้าพบลูกชายของเจ้า ข้าเป็นนางรำอันดับต้น ๆ ของเมืองหลูโจว ข้าร่ายรำหนึ่งเพลงได้เงินทองมากมาย มีขุนนางและชนชั้นสูงกี่คนที่หมอบอยู่ใต้ชายกระโปรงของข้า? ข้าไม่เคยปิดบังว่าข้าเป็นนางรำ! แล้วตอนนั้นใครกันที่มาขอทานต่อหน้าข้า ขอข้าวสักชามจากข้า?”

เมื่อได้ยินมู่หรงจาวรื้อฟื้นเรื่องเก่า สีหน้าของสองแม่ลูกก็ยิ่งย่ำแย่ลง

เรื่องที่มู่หรงจาวเคยเป็นนางรำ จี้จือฮวนเคยอ่านในนิยายมาก่อน และรู้ว่าตอนนั้นนางมีชีวิตลำบากเป็นอย่างมาก เพราะความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ จึงทำให้เกิดจักรพรรดินีที่เลือดเย็นในภายหลัง

วีรบุรุษไม่ถามพื้นเพ สามารถสู้เพื่อเส้นทางของตัวเองได้ ถือว่าเป็นคนเก่ง

“โอ้โฮ ที่แท้ก็เป็นครอบครัวตกอับอย่างนั้นหรือ แม่นางมู่หรง หลังจากนั้นเล่า!”

มู่หรงจาวเห็นว่าจางจวิ้นเซิงจู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ก็เผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามออกมา “บนโลกนี้บุรุษไร้จิตใจ เขาบอกว่าตัวเองเป็นบัณฑิต ทั้งพูดจาหวานหูกับข้า และข้างกายข้าก็ไร้บิดามารดา ญาติมิตรพลัดพราก เมื่อมีความรักข้าจึงยอมเชื่อเขา ตอนนั้นคนรอบตัวข้าต่างเอ่ยเตือนว่าเขาเชื่อถือไม่ได้ แต่เป็นข้าเองที่ไม่ยอมฟัง

เงินที่ข้าหามาได้ตอนเป็นนางรำได้นำมาซื้อทรัพย์สินมอบให้แม่ของเขา ให้เขาตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ส่วนข้าก็เอาเงินที่เหลือไปเปิดร้าน เดิมข้าคิดว่าชีวิตจะดีขึ้นกว่านี้”

“พอแล้ว เลิกพูดได้แล้ว!” จางจวิ้นเซิงตะคอกออกมา

“พูด เรื่องอะไรถึงพูดไม่ได้ แม่นางมู่หรงเจ้าพูดต่อเลย!” ชาวบ้านตำบลฉาซู่ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงตะโกนขึ้นมา

แม้ว่าเรื่องของผู้ชายไร้หัวใจประเภทนี้ตอนสุดท้ายล้วนไม่ต่างอะไรกันมากนัก แต่ตอนนี้มีตัวเป็น ๆ ยืนอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง ความรู้สึกนั้นย่อมต่างออกไป

ในเมื่อมู่หรงจาวเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรที่จะไม่กล้าพูดอีก

“ข้าใช้เงินหางานให้จางจวิ้นเซิง แต่ใบหน้าของข้ากลับนำหายนะมาให้ เพื่อที่จะปีนขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม จางจวิ้นเซิงจึงวางแผนส่งข้าให้กับผู้ว่าการคนใหม่ของหลูโจว ยังบอกว่าขอเพียงข้าปรนนิบัติเขาดี ๆ ภายหน้าเขาจะดูแลข้าอย่างดีแน่นอน”

“มู่หรงจาว เจ้ามันไร้ยางอาย!” จางจวิ้นเซิงถูกมู่หรงจาวประจานต่อหน้าผู้คน ท่าทางสง่างามของชายผู้นี้ก็หายวับไปทันที

ฮวาเซียงเซียงเองก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน นางชี้หน้าจางจวิ้นเซิงพลางด่าทอขึ้นมา “คนที่ทำเรื่องสกปรกก็คือเจ้า คนที่หน้าไม่อายก็คือเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปด่าคนอื่นว่าไร้ยางอายกัน!”

“เอาภรรยาแลกอนาคต ต่ำช้าสิ้นดี!”

“ผู้ชายสารเลวมีเหตุผลมากมาย แม้แต่ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ก็ไม่เว้น หากคนเช่นนี้ได้เป็นขุนนาง ชาวบ้านในหลูโจวตกกลางคืนยังจะสามารถนอนหลับได้ลงอีกหรือ?”

ในสายตาของนางจาง ลูกชายนางคือสมบัติล้ำค่า สามารถช่วยงานลูกชายนางได้นั่นก็ถือเป็นบุญของมู่หรงจาวแล้ว ไหนเลยจะทนฟังคนอื่นต่อว่าลูกชายตัวเองเช่นนี้ได้?

“นางได้ทำตัวมีประโยชน์ก็ถือเป็นบุญของนางแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจวิ้นเซิงของเรายังไม่เก็บมาใส่ใจเลย”

“ท่านแม่!” จางจวิ้นเซิงรู้สึกว่าแม่ของเขานอกจากจะมือไม่พายแล้วยังเอาเท้าราน้ำอีกด้วย เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน จะยอมรับเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?

จี้จือฮวนมองหน้านางจาง “น่าเสียดายที่เจ้าแก่จนผิวหนังเหี่ยวย่นหมดแล้ว มิเช่นนั้นคงจะเอาตัวเข้าแลกเสียเอง เอาตัวเองไปมอบให้ถึงเตียงของผู้ว่าการคนใหม่ หาพ่อเลี้ยงให้ลูกชายเจ้าแล้วกระมัง และไม่รู้ว่าจางจวิ้นเซิงที่โตจนถึงป่านนี้ แม่อย่างเจ้าเลี้ยงมาด้วยอะไรกัน”

“เจ้า ๆ ๆ ๆ เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ!” นางจางชี้หน้าจี้จือฮวน

กองทัพทหารเกราะเหล็กที่ยืนคุ้มกันชักกระบี่ออกจากฝักทันที ทำให้นางจางกลัวจนต้องไปหลบอยู่ข้างหลังจางจวิ้นเซิง

จางจวิ้นเซิงเองก็พอจะมองออกแล้ว ว่าสตรีที่ใบหน้างดงามแต่เย็นชาผู้นี้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินได้ ดังนั้นต้องห้ามทำให้นางขุ่นเคืองเด็ดขาด

“อาจาว ข้ารู้ว่าเพราะข้าอาจทำผิดไปบ้าง แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่ากลับทำให้เจ้าโวยวายหนีออกจากบ้าน แต่เห็นแก่ลูก ข้าจะไม่ถือสาที่เจ้าพูดจาเหลวไหล รีบกลับไปกับข้าเถอะ”

“คุณชายจางช่างกล้าดียิ่งนัก บอกว่าการขายภรรยาเป็นเรื่องเข้าใจผิด หากไม่ใช่เพราะเหลืออดจริง ๆ จะมีสตรีคนใดยอมหนีออกจากบ้านมาแย่งอาหารกับสุนัขกัน หิวจนผอมเหลือแต่กระดูก หากเพียงแค่โกรธนางก็คงไม่หนีออกมาไกลเพียงนี้ และเหตุใดแม้แต่เมืองหลูโจวก็ยังไม่กล้าอยู่ต่อกันเล่า?” จี้จือฮวนเอาคำพูดของเขามาย้อนกลับไป

“นั่นน่ะสิ นี่เป็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้นหรือ!? เจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานหรืออย่างไร? ภรรยาตัวเองยังสามารถพาไปส่งขึ้นเตียงคนอื่นได้ เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่”

“ยังจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ อีก!? ตัวเป็นคนนิสัยเป็นสุนัข คนหน้าเนื้อใจเสือ ข้าจะบอกให้นะ พวกเราไม่หลงเชื่อเจ้าหรอก”

“พวกเจ้าไม่ใช่คนของทางการไม่มีสิทธิ์มาตัดสิน ถึงข้าจะเป็นเช่นไรก็เป็นสามีของนางอยู่ดี ก่อนจะหย่ากันนางยังเป็นคนของข้าอยู่!” จางจวิ้นเซิงหมดความอดทนที่จะทะเลาะอยู่ตรงนี้ เขาจะลากมู่หรงจาวกลับไปให้ได้

“เช่นนั้นข้านับว่าเป็นคนของทางการหรือไม่?” ทันใดนั้นนายอำเภอเจียงก็ชะโงกหัวออกมาถาม

เดิมทีจางจวิ้นเซิงกับนางจางคิดจะยึดตามทะเบียนสมรส ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นฝ่ายถูก แต่ใครจะรู้ว่านายอำเภอของตำบลฉาซู่อยู่ดี ๆ ก็จะปรากฏตัวขึ้น ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใด

สวรรค์รู้ดีว่านายอำเภอเจียงรอโอกาสที่จะได้ช่วยจี้จือฮวนมานานเพียงใด

ดูสิ โอกาสมีให้กับคนที่เตรียมพร้อม ไม่เสียแรงที่เขาสวมชุดข้าราชการ เดินตรวจตราผู้คนบนท้องถนนทุกวัน

นี่อย่างไรเล่า เขาเจอเข้าแล้ว!

เป็นโอกาสที่หาได้ยาก จะยอมปล่อยอันธพาลทั้งสองคนนี้หนีไปได้อย่างไร

“เด็ก ๆ ขึ้นศาล!” นายอำเภอเจียงล้วงเอาไม้ที่เคาะในศาล และตราของทางการออกมาจากอกเสื้อ

ฮวาเซียงเซียงเตะเสี่ยวเอ้อไปหนึ่งที “ทำตัวฉลาด ๆ หน่อย จะขึ้นศาลแล้ว รีบยกโต๊ะเก้าอี้ไปให้นายอำเภอเจียงเร็วเข้า”

“ได้เลยขอรับ!”

เสี่ยวเอ้อได้สติขึ้นมา รีบตั้งศาลให้กับนายอำเภอเจียงทันที!

เขารีบย้ายโต๊ะอย่างรวดเร็ว ทั้งยังกระแทกจางจวิ้นเซิงไปหนึ่งที “หลีกทางหน่อย อยู่ใกล้กับนายอำเภอของเราเช่นนี้ทำไมกัน? นายอำเภอเจียงของเราเป็นขุนนางสุจริตที่มีชื่อเสียง ไม่รับสินบนจากเจ้าหรอก”

จางจวิ้นเซิงโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ ใครติดสินบนกัน!? ต่อให้อยากจะติดสินบนก็ไม่มีทางทำต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้หรอก

เสี่ยวเอ้อจัดโต๊ะให้นายอำเภอเจียงเรียบร้อยแล้ว จึงจับที่คอตัวเองแล้วตะโกนเสียงดังออกมา “เปิดศาล!”

มู่หรงจาวคิดไม่ถึงว่านายอำเภอของตำบลฉาซู่จะเป็นคนที่ไม่ยึดพิธีรีตองเช่นนี้

ตรงกันข้ามกับชาวบ้านในตำบลฉาซู่ที่เห็นจนชินชาแล้ว พวกเขาเริ่มกินอาหารร้อน ๆ พร้อมสั่งเหล้าเพิ่มอีกสองกา บ้างก็สั่งชานมหนึ่งแก้วมานั่งรอดูการแสดง

ในตำบลฉาซู่ ตอนนี้มีกฎที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ข้อหนึ่ง

ไม่มีสัตว์เดรัจฉานตัวใด จะสามารถออกไปได้อย่างปลอดภัย!

นายอำเภอเจียงดวงตาเบิกโพลง “ผู้ที่มาศาลเป็นผู้ใด มีเรื่องอันใด พูดมาตามความจริง!”

.

.

.