ตอนที่ 447 งานล่าวิญญาณ (3) / ตอนที่ 448 กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดหรือกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด (1)
ตอนที่ 447 งานล่าวิญญาณ (3)
กลางดึก เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวต่างเหนื่อยล้า พวกเขาจึงทานอาหารในรถม้าแล้วไม่เคลื่อนไหวอีก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า เหล่าลูกศิษย์ต่างกระโดดลงมาจากรถม้าด้วยความกระตือรือร้น แต่ศิษย์เก่าทั้งหลายกลับมีสีหน้าเรียบเฉย มองดูป่าประลองวิญญาณที่ทำให้พวกเขาฝันร้ายมาโดยตลอดซึ่งแตกต่างกับศิษย์ใหม่อย่างสิ้นเชิง บางคนมีสีหน้ากระตือรือร้น ในขณะที่บางคนมีสีหน้าเป็นทุกข์ โชคดีที่พวกเขายังมีศิษย์พี่คอยดูแลจึงทำให้พวกเขาไม่ประหม่าจนเกินไป
อาจารย์ที่เป็นผู้นำในครั้งนี้อธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานล่าวิญญาณให้ศิษย์ใหม่ฟัง
งานล่าวิญญาณมีทั้งหมดเจ็ดวันและพื้นที่กิจกรรมหลักของลูกศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพื้นที่ป่าประลองวิญญาณทั้งหมด พื้นที่นี้มีแผนที่อย่างละเอียดจึงยากที่จะเกิดปัญหา ระดับของสัตว์วิญญาณก็ไม่สูงนักจึงค่อนข้างปลอดภัย
เหล่าอาจารย์ไม่ลืมที่จะเตือนศิษย์ใหม่ไม่ให้บุกเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ได้ครอบคลุมในแผนที่ เพราะมีสัตว์วิญญาณระดับสูงจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นั่น และพื้นที่ในนั้นก็ซับซ้อน หากไม่ระวังก็อาจทำให้หลงทางได้
ทุกคนต่างมีพลุสัญญาณคนละสองอัน ถ้าตกอยู่ในอันตราย บาดเจ็บ หรือไม่สบายก็สามารถปล่อยพลุสัญญาณได้ อาจารย์ที่เฝ้าอยู่นอกป่าจะรีบพาตัวออกไปโดยเร็ว แต่การออกก่อนกำหนดก็จะทำให้คะแนนประเมินของบุคคลนั้นต่ำสุดในงานล่าวิญญาณครั้งนี้
พลุสัญญาณได้ถูกแจกจ่ายให้กับทุกคน แต่อาหารและน้ำศิษย์ทุกคนต้องจัดเตรียมเอง
ไม่ว่าจะจัดเตรียมมากเพียงใด ตราบใดที่เจ้าสามารถแบกได้ก็ไม่มีผู้ใดห้ามเจ้าได้
ในงานล่าวิญญาณ สำนักศึกษาเฟิงหัวอนุญาตให้ลูกศิษย์แบ่งกลุ่มกันเองเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
และกลุ่มคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ
แม้ว่าพลังการต่อสู้ของศิษย์สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณอาจไม่แข็งแกร่งเท่าอีกสองสาขา แต่ศิษย์ของอีกสองสาขาก็มิใช่คนโง่ หายากมากที่จะมีโอกาสดึงคนของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ พวกเขาก็เต็มใจที่จะออกแรง
ดังนั้นก่อนที่เริ่มงานล่าวิญญาณ ศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณก็ถูกแบ่งจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นกลุ่มคนที่มีพลังแข็งแกร่งเหมือนกันรวมกลุ่มกัน
และกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดคือการรวมกลุ่มของลู่เว่ยเจี๋ยที่ได้อันดับสองในศึกประลองภูติวิญญาณกับหนิงซินที่ได้อันดับสาม ในกลุ่มยังมีอิ่นเหยียนที่มาจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณและคนเก่งของสำนักศึกษาเฟิงหัวอีกหลายคน รวมทั้งหมดยี่สิบกว่าคน เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของสำนักศึกษาเฟิงหัว
ส่วนคนที่หากลุ่มไม่ได้นั้นมีน้อยมาก
เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอยู่รอดถึงเจ็ดวันในป่ารกชัฏแบบนี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุดแต่ก็เข้าใจคำว่าคนเยอะกำลังเยอะ
แต่…
ก็ยังมีหนึ่งหรือสองคนที่หากลุ่มไม่ได้
ตัวอย่างเช่น…
ฟ่านจิ่นอันดับสี่ของศึกประลองภูติวิญญาณ และจวินอู๋เสีย…
ด้วยความสามารถของฟ่านจิ่น มีผู้คนมากมายแย่งชิงตัวเขา แต่ตอนนี้ข้างกายของฟ่านจิ่นมีจวินอู๋เสีย จึงทำให้ผู้คนที่ต้องการให้ฟ่านจิ่นเข้าร่วมกลุ่มล้มเลิกความคิดนั้นไป
ชื่อเสียงของจวินอู๋เสียในสำนักศึกษาเฟิงหัวนั้นแย่มาก แม้ว่านางจะมีฟ่านจิ่นเป็นที่พึ่ง แต่กลุ่มอื่นก็ไม่ต้องการให้นางเข้าร่วมกลุ่ม สุดท้ายศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวได้แบ่งกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว แบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละสิบคนหรือสิบกว่าคน เหลือเพียงจวินอู๋เสียและฟ่านจิ่นที่ถูกทิ้งไว้ด้านข้าง
“เอ่อ ไม่มีผู้อื่นก็ไม่เป็นไร น้องเสียเจ้าต้องเชื่อในความสามารถของข้า ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเจ้าให้ดี” ฟ่านจิ่นมองความวุ่นวายด้านข้าง แล้วกลับมามองความโดดเดี่ยวของเขาและจวินอู๋เสียจึงรีบกล่าวให้กำลังใจทันที
ตอนที่ 448 กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดหรือกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด (1)
จวินอู๋เสียมองฟ่านจิ่นที่พยายามยิ้ม ทันใดนั้นนางก็หันหลังแล้วเดินไปอีกทาง
ฟ่านจิ่นจะกล้าปล่อยให้นางเดินเตร่อยู่ในสถานที่โหดร้ายนี้เพียงลำพังได้อย่างไร เขาจึงรีบเดินตามไปทันที
หนิงซินและอิ่นเหยียนจับตามองจวินอู๋เสียและฟ่านจิ่นอย่างลับๆ หลังจากเห็นว่าทั้งสองคนถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวจริงๆ ทั้งสองจึงยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“พวกเขาจะไปไหน” เมื่อหนิงซินเห็นจวินอู๋เสียเดินไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีศิษย์กลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่นั่น
“ขยะของตึกรอง” อิ่นเหยียนกล่าว
ตึกรองเหมือนกับตึกหลักที่ต้องเข้าร่วมงานล่าวิญญาณทุกคน แต่ปฏิกิริยาของตึกรองนั้นแตกต่างกับตึกหลักอย่างสิ้นเชิง ตึกรองต่างมีสีหน้าหดหู่สิ้นหวัง วงแหวนภูติวิญญาณของพวกเขานั้นเทียบไม่ได้กับศิษย์ตึกหลักอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องเข้าป่าประลองวิญญาณเพื่อฝึกฝนเป็นเวลาเจ็ดวันด้วย สิ่งนี้ทำให้พวกเขาร้องไห้ไม่ออก
ในขณะที่ศิษย์ส่วนหนึ่งของตึกรองกำลังโศกเศร้า ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นร่างสองร่างเดินตรงจากจุดรวมตัวของตึกหลักมาทางพวกเขา ทุกคนต่างจ้องมองด้วยสายตาเหลือเชื่อ
ศิษย์ของตึกหลักมักจะดูถูกของศิษย์ตึกรองเสมอ อย่าว่าแต่ทำความรู้จักเลย เพราะแค่มองพวกเขาก็รู้สึกว่าสิ้นเปลืองไร้ประโยชน์
ตอนนี้มีศิษย์สองคนของตึกหลักกำลังเดินมาที่จุดรวมตัวของตึกรอง สิ่งนี้จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก
ศิษย์ของตึกรองทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฟ่านจิ่นและจวินอู๋เสียที่กำลังเดินมา ต่างคาดเดาว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่
เมี้ยว เจ้าแมวดำนั่งอยู่บนไหล่เล็กๆ ของจวินอู๋เสีย หางนุ่มนิ่มปุกปุยของมันขอพันอยู่หลังคอของนาง มันชี้ทางให้จวินอู๋เสีย จวินอู๋เสียก็เดินไปทันที
ที่นั่นชายหนุ่มสี่คนกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และพูดคุยกัน
ทันใดนั้นก็มีร่างเล็กปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ชายหนุ่มทั้งสี่คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา เมื่อพวกเขาได้เห็นใบหน้าของร่างนั้นก็ต่างชะงักงันไปทันที
“น้องเสีย” เฉียวฉู่ที่กำลังกัดใบหญ้าไว้ในปากกระโดดขึ้นมาจากพื้นเมื่อเห็นจวินอู๋เสีย แล้วทำท่าจะกระโจนเข้าใส่จวินอู๋เสียเพื่อจะกอดนาง
แต่การกระโจนในครั้งนี้ถูกขัดขวางไว้
ฟ่านจิ่นขมวดคิ้วและยื่นมือขัดขวางชายหนุ่มรูปงามที่ต้องการจะกระโจนใส่จวินอู๋เสีย
“เจ้าเป็นใคร เจ้าจะทำอะไรจวินเสีย”
“เจ้าเป็นใคร” เฉียวฉู่ขมวดคิ้วมองฟ่านจิ่นที่ยืนมือมาขวางไว้ เขาไม่ได้เจอน้องเสียมานาน เจ้านี้มันมาจากไหน
“ข้าชื่อฟ่านจิ่นเป็นศิษย์ของตึกหลัก” ฟ่านจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เฉียวฉู่เลิกคิ้ว แล้วถุยใบหญ้าออกมาจากปากแล้วกล่าวว่า “เฉียวฉู่”
เมื่อชายหนุ่มที่เป็นคนตรงไปตรงมาทั้งสองมาพบกันทำให้เกิดประกายไฟขึ้นมา และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะต่อสู้แล้ว
เฟยเยียนลุกขึ้นยืนแล้วไปเดินไปหาจวินอู๋เสียแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาหาพวกข้าเสียที พวกข้าคิดว่าเจ้าลืมพวกข้าไปแล้ว”
เริ่มแรกฟ่านจิ่นต้องการถามที่ไปที่มาของคนเหล่านี้ก่อนแล้วค่อยให้พวกเขาทำความรู้จักกับจวินอู๋เสีย เพราะช่วงนี้มีคนจำนวนมากที่เป็นศัตรูกับจวินอู๋เสีย แต่หลังจากที่เขาเห็น ‘หญิงสาว’ ที่มีรอยยิ้มหวานเฟยเยียนทักทายจวินอู๋เสีย มือที่อยากขัดขวางจึงไม่ได้ยื่นออกไป
สำหรับสตรี..
ไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ” ฟ่านจิ่นอดถามไม่ได้หลังจากได้ยินสิ่งที่เฟยเยียนพูด
“พวกข้ามาสมัครพร้อมกัน” หรงรั่วก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สายตาของฟ่านจิ่นมองไปทางจวินอู๋เสียและเมื่อเห็นจวินอู๋เสียพยักหน้า เขาจึงจะเชื่อคำพูดของพวกเขาแล้วลดการป้องกันตัวลง
“ขออภัยที่ข้าล่วงเกิน” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู ใบหน้าของฟ่านจิ่นก็แสดงรอยยิ้มออกมาในทันใด