บทที่ 273 ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายน้องชายฉัน มันผู้นั้นจะต้องตาย
บทที่ 273 ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายน้องชายฉัน มันผู้นั้นจะต้องตาย
สีหน้าเฮยอู่หยาเปลี่ยนไปทันที
เมื่อมองไปที่หินยักษ์ก้อนนั้น แววตาของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเย็นชา
แทนที่จะหลีกเลี่ยง เขากลับชกไปที่หินก้อนนั้น
ตูม!
ก้อนหินขนาดใหญ่หลายกิโลกรัมถูกระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ
ทันใดนั้น ดาบยาวที่มีแสงเย็นวาบก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเฮยอู่หยา ก่อนจะทะลุผ่านหน้าอกของเขาโดยไม่เปิดโอกาสให้คิดหลบหนี
“เป็นไปไม่ได้…”
เฮยอู่หยาก้าวถอยหลังและมองลงไปยังหน้าอกที่ถูกแทงด้วยดาบ
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ปรมาจารย์สามคนที่ปิดล้อมถงหู่ถึงกับชะงัก พวกเขารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและมองไปที่ร่างสองร่างซึ่งรีบพุ่งเข้ามาจากระยะไกล
ฟุบ! ฟุบ!
ในที่สุดโจวอี้และแม่เฒ่าเทียนจี้ก็มาถึง
เวลานี้ถงหู่อยู่ในสภาพที่น่าสังเวช
“เสี่ยวหู่ เป็นยังไงบ้าง?” โจวอี้คว้าแขนของถงหู่ขึ้นมาและถามอย่างกังวล
“ฮ่า ๆ พี่มาทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นถ้าพี่มาช้ากว่านี้สักหนึ่งหรือสองนาที ผมคงจะแย่กว่านี้เยอะ”
ถงหู่เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาได้ในที่สุด
“ดีแล้ว ๆ” โจวอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โจวอี้รู้สึกโล่งใจและนึกขอบคุณต่อสวรรค์ จากนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อมองไปยังปรมาจารย์ทั้งสี่ที่อยู่ข้างหน้า
คนพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน พวกมันต้องตายถ้ากล้าทำร้ายถงหู่!
โจวอี้สูดหายใจเข้าลึกและเดินไปข้างหน้าสองก้าวด้วยท่าทางอาฆาต เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกแกกล้าทำร้ายน้องชายของฉัน ดังนั้นจงนอนอยู่ที่นี่ตลอดไปซะเถอะ!”
“แกคือใคร?” เฮยอู่หยาผนึกจุดฝังเข็มหลายจุดที่หน้าอกและหลังของเขา แต่ดาบได้สร้างความเสียหายให้กับเขามากเกินไป แม้ว่าเขาจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่ถ้าเขาไม่ได้รับการรักษาทันเวลา ความหวังในการอยู่รอดของเขาก็ริบหรี่
เขาถามออกไปแต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่แม่เฒ่าเทียนจี้ซึ่งกำลังยันไม้ค้ำและก้มหน้าอยู่
เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของแม่เฒ่าเทียนจี้ได้อย่างชัดเจน แต่อีกฝ่ายให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน
“เจ้าลืมความเจ็บปวดเมื่อตอนได้แผลเป็นนั้นไปแล้วหรือ?” แม่เฒ่าเทียนจี้ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและยืดร่างกายที่ง่อนแง่นของเธอให้เหยียดตรง
“แม่เฒ่าเทียนจี้? บัดซบ! สำนักโอสถ!”
ครั้นเฮยอู่หยาเห็นใบหน้าของแม่เฒ่าเทียนจี้อย่างชัดเจนแล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
หลังจากก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เขาก็หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อแล้ว
แม่เฒ่าเทียนจี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่เขาเกลียดมาก
กว่า 30 ปีที่แล้วตอนที่เขาเพิ่งทะลวงผ่านระดับเป็นปรมาจารย์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะแม่เฒ่าเทียนจี้ หากชายที่แข็งแกร่งจากนิกายเร้นลับมาไม่ทันเวลา เวลานั้นเขาคงตายไปแล้ว
เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นแม่เฒ่าเทียนจี้ที่นี่อีก
หนี!
ต้องหนีให้เร็วที่สุด!
หญิงชราผู้น่ารังเกียจคนนี้อยู่ในระดับบรรพจารย์ยุทธ์มานานแล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอแม้ว่าเขาจะร่วมมือกับปรมาจารย์อีกสามคนก็ตาม
ปรมาจารย์อีกสามคนก็ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าเมื่อได้ยินชื่อแม่เฒ่าเทียนจี้
พวกเขาอยู่ในสาขาของนิกายเร้นลับที่เชี่ยวชาญในการสืบข้อมูลกองกำลังต่าง ๆ ในโลกผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้ว่าแม่เฒ่าเทียนจี้แห่งสำนักโอสถนั้นน่ากลัวเพียงใด
ที่แท้ชายหนุ่มที่พวกเขาไล่ล่ามาหลายชั่วโมงก็โกหก!
อีกฝ่ายไม่ใช่สาวกของนิกายเร้นลับ นับประสาอะไรกับเป็นศิษย์ของกู่เทียนหลาง
แต่แท้จริงแล้วเป็นศิษย์ของสำนักโอสถ!
“คุณย่า พวกเขาเป็นปรมาจารย์ของนิกายเร้นลับ” ถงหู่กล่าว
“นิกายเร้นลับ?”
แม่เฒ่าเทียนจี้อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าไอ้คนชุดดำคนนั้นเป็นใครมาจากไหน นิกายเร้นลับเป็นนิกายที่ลึกลับมากจริง ๆ ในโลกผู้ฝึกยุทธ์ มีเพียงนิกายเร้นลับเท่านั้นที่สามารถปกป้องเจ้าได้ เฮยอู่หยา ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาเป็นผู้อาวุโสของเจ้าใช่หรือเปล่า?”
เป็นผู้อาวุโส?
พ่อของเขาต่างหากที่ช่วยเขาไว้ในตอนนั้น!
เฮยอู่หยามองไปที่แม่เฒ่าเทียนจี้ เขาหยิบธงสีเหลืองออกจากแขนเสื้อแล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “แม่เฒ่าเทียนจี้ ข้าทำให้ท่านขุ่นเคือง แต่ท่านก็ทำให้ข้าต้องจ่ายราคาที่เจ็บปวดไปแล้ว และความเกลียดชังระหว่างเราก็ชำระไปแล้ว ในเวลานี้ไม่มีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งระหว่างเรากับสำนักโอสถของท่าน เรื่องวันนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด เราเลิกราต่อกันได้หรือไม่?”
“เลิกรางั้นเหรอ? บ้ารึเปล่า!” โจวอี้แสดงสีหน้าอาฆาตยิ่งขึ้นและพูดอย่างเดือดดาล “แกไล่ล่าน้องชายของฉันอย่างเอาเป็นเอาตายและทำร้ายเขาแบบนี้ แกกล้าพูดได้ยังไงว่าให้เลิกรากันไป? พวกคนนิกายเร้นลับนี่หน้าด้านแบบนี้กันหมดเลยหรือเปล่าวะ?”
“หนุ่มน้อย การทำตัวเป็นวีรบุรุษมันไม่มีความหมายหรอก เมื่อแม่เฒ่าเทียนจี้อยู่ที่นี่ ข้ายอมรับว่าเราไม่มีโอกาสชนะหรอก แต่เจ้าควรคิดให้ดีว่าเราทุกคนเป็นปรมาจารย์ ถ้าเราต้องการที่จะหลบหนีละก็ อย่างน้อย ๆ ก็จะมีหนึ่งในพวกเราที่หลบหนีไปได้ และจากนั้นสิ่งที่เจ้าจะต้องเผชิญในอนาคตคือการแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งที่สุดจากนิกายเร้นลับของเรา!” เฮยอู่หยาขู่
“คุณย่า แน่ใจไหมว่าจะจัดการพวกมันได้ทั้งหมดโดยที่ไม่มีใครหนีรอด?” โจวอี้ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่!” แม่เฒ่าเทียนจี้ตอบ
จากนั้นเธอก็สังเกตท่าทีของโจวอี้
“ไม่นะ! พวกมันกล้าทำร้ายถงหู่ ผมต้องการให้พวกมันตายทั้งหมด!” โจวอี้แย้ง
“แม้ว่าตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องฟังเจ้า แต่ฉันพอใจมากกับการตัดสินใจของเจ้านะเสี่ยวอี้ แม้ว่าจะถูกตอบโต้โดยนิกายเร้นลับแล้วยังไงล่ะ? ฉันยกโทษให้ไอ้หน้าไหนที่มันกล้ามาทำร้ายสาวกของสำนักโอสถไม่ได้เหมือนกัน” แม่เฒ่าเทียนจี้หัวเราะเสียงดัง “ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราสำนักโอสถไม่กลัวนิกายเร้นลับเลยสักนิด ถ้าเราต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดของเรา มันก็ไม่แน่ชัดว่าใครจะชนะหรือแพ้!”
“นังแก่เทียนจี้!”
เฮยอู่หยาขมวดคิ้วแน่นเมื่อแม่เฒ่าเทียนจี้กำลังพุ่งเข้ามา จากนั้นเขาก็วิ่งหลบไปหาชายอีกสามคนทันที เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ปรมาจารย์อีกสามคนช่วยเขาขัดขวางแม่เฒ่าเทียนจี้
แต่น่าเสียดาย!
เมื่ออีกสามคนเห็นการกระทำของแม่เฒ่าเทียนจี้ พวกเขาก็วิ่งหนีไปทันที
แม้พวกเขาเป็นปรมาจารย์ แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะต่อสู้กับคนระดับบรรพจารย์ยุทธ์ แทนที่จะสู้อย่างไร้ประโยชน์และถูกฆ่าในตอนท้าย พวกเขาเลือกที่จะลองเสี่ยงหนีไปดีกว่า เพราะอย่างน้อย ๆ ก็มีโอกาสรอดมากกว่า
“เสี่ยวหู่!”
โจวอี้ตะโกนพลางพุ่งตัวไปที่ปรมาจารย์ชายวัยกลางคน
ถงหู่เข้าใจความหมายของโจวอี้และรีบพุ่งไปหาปรมาจารย์อีกคน
สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำไม่ใช่เพื่อฆ่าศัตรู แต่เพื่อถ่วงเวลา
ตราบใดที่ถ่วงเวลารอจนกว่าแม่เฒ่าเทียนจี้จะฆ่าปรมาจารย์อีกสองคนได้สำเร็จ ปรมาจารย์อีกสองคนที่ถูกพวกเขาขวางก็จะไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
“ค่ายกลธงสวรรค์!”
เฮยอู่หยาหนีไปได้หลายร้อยเมตรกระทั่งร่างของเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ธงสีเหลืองที่เขาถืออยู่นั้นแตกออกเป็นสามส่วนในทันที และเขาก็โยนมันไปทางแม่เฒ่าเทียนจี้
ฉัวะ!
ดาบยาวนั้นคล้ายกับมีสติปัญญา มันบินผ่านอากาศไปตามความคิดอ่านของแม่เฒ่าเทียนจี้ มันบินได้เร็วกว่าปรมาจารย์หลายเท่า
เพียงชั่วอึดใจ ดาบนี้ก็ฟันเข้าใส่ปรมาจารย์ที่ตามอยู่ข้างหลังเฮยอู่หยา
แสงดาบฉายวาบขึ้นก่อนที่เลือดจะสาดกระเซ็น
ปรมาจารย์คนนั้นหลบดาบไม่ให้ฟันโดนจุดสำคัญได้และหนีต่อไป ทว่าแม่เฒ่าเทียนจี้ไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ และซัดฝ่ามือเข้าใส่แผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ก่อนจะเตะอีกฝ่ายเข้าไปในค่ายกลธงสีเหลืองที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“ดาบ!” แม่เฒ่าเทียนจี้คำราม และดาบยาวก็บินมาอยู่ใต้เท้าเธอ
จากนั้นแม่เฒ่าเทียนจี้ก็ดูคล้ายกับเซียนดาบอมตะ เท้าของเธอเหยียบลงบนดาบบินที่ปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้า บินผ่านอาณาเขตของค่ายกลที่กำลังขยายออก ตามติดเฮยอู่หยาไปอีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปสักพักแล้ว ถงหู่ที่ใช้ทั้งขึ้ผึ้งเทียนเหลียนและยาเพื่อฟื้นฟูพลังปราณไปมากมาย เวลานี้ฤทธิ์ยาต่าง ๆ เริ่มจะสำแดงสรรพคุณอย่างเต็มที่ ตอนนี้เขาจึงสามารถต่อสู้ต่อได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างไม่มีปัญหา
โจวอี้ถือดาบไว้ในมือซ้าย และซัดเข็มเงินในมือขวาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของปรมาจารย์วัยกลางคน
ความเร็วและความแข็งแกร่งของโจวอี้ตอนนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวหลังจากที่เขาทะลวงระดับมาได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากทะลวงระดับมาแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ต่อสู้กับใครอย่างจริงจัง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองแข็งแกร่งเพียงใด
แต่เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเขาพบว่าแม้ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมาก แต่ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่เสียเปรียบอีกฝ่ายสักเท่าไหร่
หมายเหตุ: ตั้งแต่บทนี้เป็นต้นไป ขออนุญาตปรับแก้ระดับยุทธ์จากคำเดิมที่ใช้ เซียน เป็นระดับบรรพจารย์ยุทธ์ เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้