ตอนที่ 451 ป่าประลองวิญญาณ (1) / ตอนที่ 452 ป่าประลองวิญญาณ (2)
ตอนที่ 451 ป่าประลองวิญญาณ (1)
ช่วงกลางดึก ภายในป่าประลองวิญญาณจะมืดสนิท จวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ถือคบเพลิงเดินท่ามกลางป่าทึบเพื่อใช้แสงสว่างจากคบเพลิงส่องทางข้างหน้า
เสียงคำรามของสัตว์วิญญาณดังขึ้นเป็นครั้งคราว ในค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ เสียงนี้ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกขนลุก
คบเพลิงในมือของเฉียวฉู่กำลังลุกโชติช่วง ในบางครั้ง เขาก็ใช้คบเพลิงส่องต้นไม้รอบๆ แล้วก้มมองแผนที่ในมือเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะยอมแพ้ในที่สุด
“สิ่งนี่ยังเรียกว่าแผนที่ได้อยู่อีกหรือ ผีเท่านั้นที่เข้าใจมัน” เฉียวฉู่ยัดแผนที่กลับเข้าไปด้วยความโมโห
ฟ่านจิ่นเคยมาป่าประลองวิญญาณหลายครั้งแล้ว เมื่อได้ยินเฉียวฉู่พูดเช่นนี้ เขาจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “แผนที่นี้แค่บอกทิศทางให้เราเท่านั้น ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนด้วย แม้ว่าจะมีแผนที่ก็มองไม่เห็น เราหาที่พักแล้วนอนพักกันก่อนดีหรือไม่ แล้วพรุ่งนี้เช้าหลังพระอาทิตย์ขึ้นค่อยล่าสัตว์วิญญาณกัน”
ฟ่านจิ่นอายุมากกว่าพวกเขาทุกคน และยังเคยมาป่าประลองวิญญาณหลายครั้งแล้ว เขาจึงกลายเป็นผู้นำขึ้นมาทันที
“ข้าเห็นด้วย” เฉียวฉู่พยักหน้าเห็นด้วย
“ป่าในตอนกลางคืนนั้นอันตรายมาก มีสัตว์วิญญาณบางตัวที่ออกหากินในเวลากลางคืน หากไม่ต้องการเป็นอาหารเย็นของพวกมัน ข้าแนะนำให้นอนพักบนต้นไม้” ฟ่านจิ่นกล่าว
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ทุกคนมองไปรอบๆ แล้วพบต้นไม้เก่าแก่ ลำต้นของมันหนามาก กิ่งและใบไม้หนาทึบซึ่งเหมาะสำหรับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก
ฟ่านจิ่นดึงเชือกรอบเอวของเขาออกมาแล้วเอาตะขอผูกกับปลายข้างหนึ่ง ขณะที่เขากำลังจะโยนมันขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อปีน เขากลับเห็นว่าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างกำลังกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้ว!
การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเบามาก พวกเขากระโดดเพียงครั้งเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ที่อยู่ล่างสุดจากนั้นพวกเขาก็ใช้กิ่งไม้ทั้งสองข้างปีนขึ้นไปจนถึงกิ่งไม้ที่อยู่สูงที่สุดได้อย่างง่ายดาย
สายตาของฟ่านจิ่นเป็นประกายขึ้นมาทันทีและมีความชื่นชมปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
เดิมทีเขาคิดว่าที่จวินอู๋เสียเรียกคนเหล่านี้มาเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ในป่าประลองวิญญาณเขาก็พร้อมที่จะดูแลความปลอดภัยของพวกเขา แต่จากสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ เกรงว่าฝีมือของคนกลุ่มนี้จะไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้น
ในเวลากลางคืน สถานการณ์ที่มองอะไรไม่เห็น พวกเขายังสามารถหาสิ่งที่สามารถใช้ได้ในเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือร่างกายของพวกเขาคล่องแคล่วว่องไวมาก
ฟ่านจิ่นรู้สึกว่าถึงแม้จะอยู่ที่ตึกหลักของสำนักศึกษาเฟิงหัว เกรงว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามาถทำแบบนี้ได้
“โยนเชือกขึ้นมา พวกข้าจะดึงพวกเจ้าสองคนขึ้นมา” เฉียวฉู่ไม่รู้เลยว่าความว่องไวของพวกเขานั้นเกินระดับของศิษย์ ‘ตึกรอง’ ไปแล้ว
ฟ่านจิ่นเอาตะขอออกจากเชือกแล้วโยนเชือกไปที่มือของเฉียวฉู่ “ข้าไม่ต้อง เจ้าดึงน้องเสียขึ้นไปเถิด” ฟ่านจิ่นยื่นปลายเชือกอีกด้านหนึ่งให้จวินอู๋เสีย จวินอู๋เสียนำเชือกมาพันรอบเอวและปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้ด้วยแรงดึงของเฉียวฉู่ ในขณะที่ฟ่านจิ่นกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยวิธีของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ
ทุกคนต่างเงียบลงทันทีเมื่อนอนลงบนกิ่งไม้สูง แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนร่างของศิษย์หลายคนผ่านกิ่งไม้และใบไม้ที่หนาทึบ
“เฮ้ ข้าไม่ได้นอนแบบนี้มานานแล้ว คิดถึงเหมือนกันนะ” ไม่รู้ว่าเฉียวฉู่คิดอะไรขึ้นมาได้ เขายิ้มและพึมพำออกมา เขาหันศีรษะไปด้านข้าง จวินอู๋เสียกำลังนอนอยู่บนกิ่งไม้ข้างเขา แต่เมื่อเขาเห็นจวินอู๋เสียเขากลับชะงักงันไปทันที
จวินอู๋เสียไม่ได้พักผ่อน นางหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกจากแขนเสื้อของนางแล้วเทผงสีขาวลงบนฝ่ามือ จากนั้นก็ทาลงบนกิ่งไม้ที่นางพิง เสร็จแล้วถึงก็โยนขวดกระเบื้องเคลือบอันนั้นให้เฉียวฉู่แล้วกล่าวว่า “แมลงเยอะ ทาเสีย!”
ตอนที่ 452 ป่าประลองวิญญาณ (2)
เฉียวฉู่ทำตามที่จวินอู๋เสียบอก หลังจากที่เขาทาเสร็จ เขาก็ส่งขวดกระเบื้องเคลือบไปรอบๆ ทุกคนต่างก็ทำตาม
หลังจากที่จวินอู๋เสียทำเสร็จแล้ว นางก็นอนลงบนกิ่งไม้ทันที เจ้าแมวดำตัวน้อยนอนอยู่ด้านบนของนาง หางปุกปุยของมันห้อยลงมาจากกิ่งไม้แล้วสะบัดไปมา
เมี๊ยว
ป่านี้เหมือนกับที่นั่นเลยนะ
จวินอู๋เสียหรี่ตาลง ในช่วงสิบปีแรกของชาติก่อน รังปีศาจนั้นอยู่ในป่าทึบ ไม่มีผู้คนและล้อมรอบไปด้วยความเงียบงัน
จวินอู๋เสียไม่อยากนึกถึงอดีตที่ผ่านมานางจึงค่อยๆ หลับตาลง
เมื่อแสงตะวันแรกตกสู่พื้นในตอนเช้า เสียงกรีดร้องก็ปลุกผู้คนที่หลับใหลอยู่บนต้นไม้ให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา
เมื่อเสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามา ใบไม้บนต้นไม้ก็เริ่มสั่นไหว
“สัตว์วิญญาณ” เฟยเยียนลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายนั้นดังจนแสบแก้วหู
ฟ่านจิ่นก็ลุกขึ้นนั่งทันที เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้เราอยู่ตรงชายป่าประลองวิญญาณ เป็นไปได้ยากที่จะมีสัตว์วิญญาณระดับสูงมาปรากฏตัวที่นี่”
ทันทีที่ฟ่านจิ่นพูดจบ ร่างที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งหลายคนก็โผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ พวกเขามีอยู่ทั้งหมดสิบเจ็ดคน แต่ละคนสวมชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษาเฟิงหัว แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่เหลือความสง่างามเหมือนกับตอนที่พวกเขาอยู่ในสำนักศึกษาอีกต่อไป บนตัวของพวกเขาไม่เพียงแต่สกปรกมอมแมม เสื้อผ้าของพวกเขายังขาดวิ่นและมีเสื้อผ้าของบางคนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด พวกเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดด้วยความตื่นตระหนกจนไม่ได้สนใจบาดแผลบนตัว
พวกเขาพากันวิ่งกระหืดกระหอบ ก่อนจะเข้ามาพิงต้นไม้เก่าแก่และพวกเขาไม่มีกำลังที่จะวิ่งหนีอีก
ไม่นานก็มีหมาป่าเดียวดายฝูงหนึ่งไล่ตามกลิ่นเลือดมา พวกมันมีทั้งสิ้นสามสิบถึงสี่สิบตัว!
หมาป่าเดียวดายเป็นเพียงสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งธรรมดา พวกมันมีขนาดเล็กกว่าหมาป่ามาก พลังโจมตีของพวกมันก็ไม่แข็งแกร่ง หากผู้ที่ปลุกวงแหวนภูติวิญญาณแล้วพบหมาป่าเดียวดายก็สามารถเอาชนะมันได้ แต่หมาป่าเดียวดายจะอยู่กันเป็นฝูง น้อยสุดก็มีไม่กี่ตัว มากสุดก็หลายร้อยตัว จะมีจ่าฝูงตัวหนึ่งเป็นผู้นำเพื่อหาอาหาร
หมาป่าเดียวดายหนึ่งตัวนั้นรับมือไม่ยาก แต่ถ้าหลายสิบตัวพลังโจมตีของพวกมันก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้น
แม้ว่าหมาป่าเดียวดายจะมีขนาดเล็กแต่พวกมันมีความคล่องแคล่วและว่องไวมาก พวกมันมีเล่ห์เหลี่ยมและจะร่วมมือกันออกล่าเหยื่อ
กลุ่มที่หลบหนีมาที่นี่โชคร้ายจริงๆ พวกเขาเดินอยู่ในป่าประลองวิญญาณมาทั้งคืน แต่เพราะมองไม่เห็น พวกเขาจึงหลงทาง เดินวนอยู่ที่เดิมซ้ำๆ ทั้งยังโชคร้ายไปเจอกับฝูงหมาป่าเดียวดายนี้อีก พวกเขาวิ่งหนีมาทั้งคืนจนหมดเรี่ยวแรง แล้วยังต้องเวียนหัวกับป่าทึบนี้ พวกเขาถูกหมาป่าเดียวดายจู่โจมอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมากยังดีที่ยังมีศิษย์เก่าสองสามคนคอยดูแลพวกเขาอยู่ พวกเขาจึงสามารถหลบหนีมาได้จนถึงตอนนี้
แต่ศิษย์เก่าส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ หมาป่าเดียวดายก็ไล่ตามไม่หยุดด้วยท่าทางที่ไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน
“บัดซบ พวกข้าถูกหมาป่าเดียวดายฝูงนี้ไล่ตามมาถึงที่นี่” แขนของศิษย์เก่าถูกหมาป่าเดียวดายกัด เลือดไหลไม่หยุด เขาจึงทำได้เพียงฉีกเสื้อแล้วมัดมันไว้
“ข้า… ข้าวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว” ศิษย์คนหนึ่งเอนตัวพิงต้นไม้ที่ด้วยอาการหอบเหนื่อย ใบหน้าขาวซีดของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ และริมฝีปากของเขาก็เริ่มขาวซีด
“จื่อมู่ เราหยุดไม่ได้!” ศิษย์เก่าที่ได้รับบาดเจ็บตะคอกใส่ศิษย์คนนั้น
สมองของหลี่จื่อมู่ว่างเปล่า แขนขาของเขาเริ่มกระตุกไม่หยุดเพราะการวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง