บทที่ 278 สังหารทั้งหมดและเอาสินค้าออกไป

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 278 สังหารทั้งหมดและเอาสินค้าออกไป

บทที่ 278 สังหารทั้งหมดและเอาสินค้าออกไป

ภายในอาคารใกล้ท่าเทียบเรือ โหยวเก๋อซางนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบ ๆ ความรู้สึกกระสับกระส่ายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ

“มีศัตรู!”

เธอได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากระยะไกล

ทันใดนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอคว้ากระเป๋าหอกสีดำข้างตัวแล้ววิ่งออกไปอย่างว่องไวราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู

ฝนที่ตกลงมาดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญ โหยวเก๋อซางเหยียบเม็ดฝนและวิ่งไปในอากาศด้วยร่างกายที่เพรียวบางของเธอ

ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสิบวินาที เธอก็มาถึงที่เกิดเหตุ

เธอยืนอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ที่วางซ้อนกันหลายตู้

ภายใต้ม่านฝนนี้ มีกลุ่มคนกำลังโจมตีและสังหารคนของเธอ

ภายใต้แสงสลัว ศพนับสิบนอนเกลื่อนกลาด…

“ไอ้สารเลว! ใครกล้าโจมตีนิกายเร้นลับของเรา!!” โหยวเก๋อซางตะโกนและพุ่งเข้าใส่ศัตรูหลายคนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร

ปัง! ปัง!

ทันใดนั้น ร่างที่เร็วเหมือนสายฟ้าสองร่างก็พุ่งมาขวางทางเธอไว้

มันคือมังกรขนาดใหญ่สองตัวที่ก่อตัวขึ้นจากมวลน้ำฝน ทำให้ร่างของเธอถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว

โหยวเก๋อซางไม่รีรอ เธอรีบเปิดกระเป๋าหอกและประกอบหอกที่อยู่ข้างในอย่างรวดเร็ว

เพียงพริบตา หอกยาวก็อยู่ในมือของโหยวเก๋อซาง

เธอชี้ปลายหอกไปที่เป้าหมายด้านหน้า

ขณะที่ปลายหอกถูกยกขึ้นชี้ตรงไปยังสองร่างตรงหน้า โหยวเก๋อซางก็ตะโกนขึ้นมาด้วยสีหน้ามืดมน “พวกแกสองคนมาจากไหน? ทำไมพวกแกถึงโจมตีนิกายเร้นลับของเรา! ทำไมแกถึงกล้าที่จะเป็นศัตรูกับนิกายเร้นลับของเรา!”

“เมื่อไหร่กันหนอที่ปีศาจโหยวเก๋อซางชอบพูดจาไร้สาระ?” เสียงแหบแห้งดังขึ้นอย่างประชดประชัน

“ต่อให้ข้าพูดไร้สาระ มันก็ดีกว่าพวกแกที่ซ่อนตัวจนหัวหด ถ้าพวกแกแน่จริงก็ถอดหน้ากากออก! ข้าไม่ชอบฆ่าไอ้พวกขี้ขลาดที่ทำตัวเป็นหนู!” โหยวเก๋อซางกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง

“ถ้าอยากเห็น ข้าก็จะให้ได้เห็น!”

สิ้นประโยคนี้ ปราณดาบรุนแรงจำนวนนับไม่ถ้วนพลันแยกม่านฝนและปิดล้อมโหยวเก๋อซางจากทุกทิศ

ท่ามกลางปราณดาบที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด หญิงงามผู้หนึ่งก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าและใช้ดาบฟาดฟัน

ชายชราสองคนที่สวมหน้ากากพุ่งอ้อมไปปิดล้อมอีกสองทาง

“ฉู่เทียนฮุ่ย? ประมุขสำนักโอสถ?”

ดวงตาของโหยวเก๋อซางถึงกับเบิกกว้าง เธออุทานเสียงหลงออกมาทันที

ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องก็ดังขึ้นกลบเสียงของเธอโดยสิ้นเชิง

โหยวเก๋อซางถูกขนานนามจากผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนในโลกผู้ฝึกยุทธ์ว่าเป็นปีศาจ เพราะเธอทั้งโหดเหี้ยมและทรงพลังยิ่งนัก

แต่ขณะนี้สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หอกยาวในมือปัดป่ายไปมาอย่างรีบเร่ง เธอพยายามดิ้นรนที่จะต้านทานปราณดาบที่พุ่งมาจากทุกสารทิศ

อย่างไรก็ตาม ปราณดาบนั้นมีมากเกินไปและรุนแรงเกินไป

แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อต้านและปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย แต่บาดแผลที่ลึกถึงกระดูกก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ เสื้อผ้าของเธอก็ขาดวิ่นและแดงฉานไปด้วยเลือด

“ประมูขฉู่ไม่ได้มีความเกลียดชังระหว่างเรา! ทำไมท่านถึงโจมตีเราเช่นนี้!?” โหยวเก๋อซางตะโกนใส่

“ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความเคียดแค้น? ถ้ามันเป็นอย่างที่เจ้าพูด ทำไมสำนักโอสถของเราถึงถูกไล่ล่าโดยปรมาจารย์ทั้งสี่ของนิกายเร้นลับของเจ้าล่ะ? หากปรมาจารย์สำนักโอสถของเรามาช่วยไม่ทันเวลา เกรงว่าป่านนี้ศิษย์ของเราคนนั้นคงถูกฝังอยู่ใต้ดินแถวนี้ไปแล้ว!” ฉู่เทียนฮุ่ยโบกแขน และการโจมตีด้วยดาบยาวก็รุนแรงมากขึ้น

โหยวเก๋อซางเข้าใจแล้ว

ปรากฏว่าเป็นคนของสำนักโอสถที่สังหารปรมาจารย์ทั้งสี่ หรือก็คือกลุ่มของเฮยอู่หยา

เธอรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้ตัดสินใจหนีไปจากที่นี่หลังจากที่กลุ่มของเฮยอู่หยาถูกสังหาร

ขณะนี้ชีวิตของเธอกำลังจะถึงจุดจบแล้ว

หนึ่งในคนที่เธอเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเธออย่างอาจไม่ต้านทาน และอีกสองคนที่ปิดทางอยู่นี้ก็อยู่ในระดับบรรพจารย์ยุทธ์ ต่อให้เธอทุ่มเททุกอย่างก็คงไม่สามารถหลบหนีไปได้แน่

“โหยวเก๋อซาง เจ้าภาวนาเผื่อสาวกของนิกายเร้นลับของเจ้าด้วยว่าอย่าได้มาเหยียบประเทศจีนอีก! ไม่เช่นนั้นสาวกของนิกายเร้นลับอีกจำนวนไม่น้อยจะต้องลงไปอยู่ในนรกพร้อมกับเจ้า!” เสียงของฉู่เทียนฮุ่ยดังขึ้น

ทันใดนั้น ปราณดาบจำนวนมหาศาลก็ควบแน่นรวมตัวกัน เหลือเพียงปราณดาบยาวหลายสิบเมตรซึ่งกลายเป็นสีรุ้งและวาดผ่านร่างของโหยวเก๋อซางทันที

“นี่คือความแข็งแกร่งของระดับผสานเต๋างั้นหรือ?”

“ไม่! ข้าไม่ยินยอม!”

พริบตาต่อมา ร่างของโหยวเก๋อซางก็กระเด็นเคว้งไปอย่างรุนแรง และดวงตาของเธอก็กลายเป็นสีเทาขุ่น

ดาบนี้ทำลายพลังชีวิตของเธอ

ดาบนี้พรากความหวังทั้งหมดของเธอไป

เมื่อร่างกระเด็นไปกระแทกกับตู้คอนเทนเนอร์ที่วางเรียงราย ร่างของเธอก็ระเบิดออก เลือดและเนื้อสาดกระเซ็นไปทั่วส่งกลิ่นคาวคลุ้ง

ฉู่เทียนฮุ่ยที่สวมชุดสีขาวสะบัดดาบในมือของเธออีกครั้ง กวาดเลือดและเนื้อของโหยวเก๋อซางให้สลายหายไปจนไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้

“ฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือ และยึดของทั้งหมดไปด้วย!” ฉู่เทียนฮุ่ยตะโกนสั่ง

ห่างออกไปกว่าสิบกิโลเมตร

บนทางหลวงเลียบชายฝั่งอันกว้างขวาง รถออฟโรดสีดำสองคันกำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่สี่คัน

ภายในรถออฟโรดสีดำคันที่สอง เยี่ยนเทียนหรูผู้มีผมสีเงินกำลังเล่นกับตัวหมากรุกในมือ เขามองผ่านหน้าต่างออกไปยังฝนห่าใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เป็นเวลาสี่ปีมาแล้วที่ไม่มีใครในนิกายเร้นลับติดต่อตระกูลเยี่ยนของพวกเขา แม้ว่านิกายดอกบัวขาวจะถูกทำลายไปพักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวจากนิกายเร้นลับ

ตระกูลเยี่ยนรู้สึกถึงวิกฤต และเมื่อพวกเขากำลังลังเลว่าจะติดต่อกับนิกายเร้นลับดีหรือไม่ ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้รับข้อความจากผู้มีอำนาจของนิกายเร้นลับ โดยขอให้พวกเขาช่วยซื้อวัตถุดิบยาจำนวนมาก และส่งพวกมันมายังเซี่ยงไฮ้ภายในหนึ่งวัน

เยี่ยนเทียนหรูรับผิดชอบงานนี้เป็นการส่วนตัว เขาเดินทางมาพร้อมกับวัตถุดิบยา ในแง่หนึ่งนั้นเขาต้องการทำงานที่ได้รับมอบหมายจากคนของนิกายเร้นลับให้สำเร็จ และอีกเรื่องหนึ่งคือเขาต้องการถามคนของนิกายเร้นลับว่าเหตุใดนิกายเร้นลับจึงปล่อยให้นิกายดอกบัวขาวถูกทำลายโดยที่ไม่มีการตามล้างแค้น

“เสี่ยวซี จะต้องใช้เวลานานแค่ไหน?”

“นายท่านรอง จะต้องใช้เวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงครับ” คนขับหนุ่มชำเลืองมองหน้าจอแผนที่นำทางบนรถและตอบกลับด้วยความเคารพ

“อืม!” เยี่ยนเทียนหรูพยักหน้า

ทันใดนั้น เขาก็พบว่ามีรถ SUV จอดชนกันอยู่ด้านหน้า

“เกิดอะไรขึ้น?” เยี่ยนเทียนหรูถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“มีรถสองคันขวางอยู่ข้างหน้าเรา” เสี่ยวซีกล่าว

“ไป ออกไปบอกให้พวกเขาเคลื่อนรถออกไปจากเส้นทางหน่อย” เยี่ยนเทียนหรูไม่ได้กังวลสักเท่าไหร่เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เป็นเรื่องปกติที่รถจะชนท้ายกันในวันที่ฝนตกหนักขนาดนี้

โจวอี้กำลังถือร่มและแสร้งทะเลาะกับเฉิงฮ่าว

พวกเขารีบขับรถมาดักหน้าขบวนส่งวัตถุดิบยาของตระกูลเยี่ยน และสร้างฉากรถชนเพื่อขวางขบวนขนส่งเอาไว้

“เฮ้! ถอยรถออกไปเร็ว อย่ามาขวางทาง!” เสี่ยวซีเดินมาพร้อมกับร่ม เขาชี้ไปที่โจวอี้และเฉิงฮ่าวด้วยสีหน้าโมโห

หลังจากนั้นก็มีชายร่างใหญ่สองคนที่ดูโกรธเกรี้ยวเดินตามมา

“จะรีบอะไรนักหนา! ถ้าทำลายที่เกิดเหตุรถชนแล้วตำรวจจะมารับผิดชอบได้ยังไง!” โจวอี้ตะโกนด้วยความโกรธ

“อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นายยังต้องการให้ตำรวจช่วยเหลืออีกเหรอ? จะบ้าเหรอ? เจ้านายของฉันอยู่ในรถและกำลังรีบ ใครเป็นคนชนรถใครก่อนก็เป็นคนจ่ายสิวะ? จะเสียเงินเท่าไหร่กันเชียว?” เสี่ยวซีเดินมาที่ด้านหน้าและพูดอย่างโกรธเคือง

“มีประกันแล้วทำไมต้องควักกระเป๋าตัวเองด้วย? บ้ารึไง?” เฉิงฮ่าวตะคอกใส่

“เห็นไหม ก็ไอ้เวรนี่ไม่อยากจ่ายเงิน งั้นก็มีแต่ต้องรอตำรวจและประกันมา ฉันจะไม่ไปไหนโดยที่ไม่ได้ค่าชดเชยแน่นอน!” โจวอี้ขมวดคิ้ว

“แกอยากตายรึไง! ฉันบอกให้รีบขยับรถออกไปก็รีบทำซะ ไม่งั้นแกโดนแน่!” เสี่ยวซีพูดอย่างหงุดหงิด

“โดนงั้นเหรอ!” โจวอี้หัวเราะเยาะ

“รนหาที่ตายสินะ…” เสี่ยวซีพุ่งไปข้างหน้าเพื่อจะคว้าตัวโจวอี้ทันที

โจวอี้หลบและเตะเสี่ยวซีเข้าที่แก้มอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวซีกระเด็นออกไปถึงห้าเมตร

ชายร่างใหญ่หลายคนที่อยู่ข้างหลังเสี่ยวซีตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าเสี่ยวซีที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์จะถูกอีกฝ่ายเตะออกไปง่าย ๆ แบบนี้

หรือว่า?

ผู้ชายคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วย?

“โฮ่ นายก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ใช่ไหม โดนฉันเตะเข้าไปเต็ม ๆ แล้วแต่ยังสามารถลุกขึ้นได้อีก ไม่ธรรมดาเลยนี่หว่า!” โจวอี้มองเสี่ยวซีที่กำลังลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

เขาแสร้งพูดขึ้นว่า “สาวกของนิกายเร้นลับอย่างฉันไม่ได้ออกมาเที่ยวโลกภายนอกนานแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับกลุ่มคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกันเร็วขนาดนี้ นี่ทุกวันนี้มีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ทุกที่เลยหรือไง?”

เสี่ยวซีรู้สึกว่าเมื่อครู่เขาประมาทไปหน่อยจึงถูกอีกฝ่ายเตะได้ง่าย ๆ

ทว่าในขณะที่เขาเริ่มโกรธและพร้อมที่จะโจมตี เขากลับได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายพูดเข้าเสียก่อน สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปทันที

“นี่…นายเป็นศิษย์ของนิกายเร้นลับเหรอ?” เสี่ยวซีถาม

“โอ้? นายรู้จักนิกายเร้นลับของเราด้วย?” โจวอี้ถามกลับและแสร้งทำเป็นประหลาดใจ