บทที่ 256 ไม่เคยเห็นที่รนหาที่ตายเช่นนี้มาก่อน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 256 ไม่เคยเห็นที่รนหาที่ตายเช่นนี้มาก่อน

ดังนั้น เขาจึงขึ้นไปนั่งบนหลังคาด้วยความโกรธ รื้อกระเบื้องออกทีละแผ่นทีละแผ่น ยังคิดที่จะเปิดแผ่นกระเบื้องทั้งจวนออกให้หมด

ยังดีที่จื่อซีมาทันเวลา

อย่างน้อยหลังคาเพิ่งโดยทำลายไปแค่ครึ่งเดียว

“ท่านอยู่ที่นี่เอง! ให้ข้าหาเจอง่ายๆสักที ก่อนที่คุณหนูจะออกจากประตู……ไม่ใช่ ก่อนที่คุณหนูจะข้ามกำแพงออกไปให้ข้าน้อยต้อนรับท่านอย่างดี ท่านอยากจะพักเท้าก่อนแล้วกินข้าวสักมื้อ หรือว่าจะไปชมรอบๆก่อนขอรับ?”

มองดูกระเบื้องเหล่านั้นที่โดนตาใหญ่รื้อออกมาอย่างกระจัดกระจาย เขาเพียงทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นก็มองไปที่ตาใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

คุณหนูคาดการณ์ไว้ไม่ผิดเลยเหมือนดั่งเทพเซียนจริงๆ

เข้าใจตาแก่ที่มีพลังการทำลายร้ายสูงผู้นี้เป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งเขามาปลอบเขา

“หึ! เจ้าสำนักให้เจ้ามารึ?”

ตาใหญ่หยุดการรื้อกระเบื้องลง หันไปมองเขา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด

“แน่นอนขอรับ ข้าจื่อซีฟังเพียงคำสั่งของคุณหนู ในสถานการณ์ปกติแล้วจะไม่อยู่ห่างจากข้างกายคุณหนูแม้สักวินาที หากว่าไม่ใช่คำสั่งของคุณหนู ข้าจะมาได้เยี่ยงไร?

คุณหนูรู้ว่าท่านจะมา นางขอคนที่มีฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศมาจากเจ้าของเรือของเรือแห่งความสิ้นหวังเพื่อมาเป็นพ่อครัวโดยเฉพาะ ทำอาหารให้ท่านทานขอรับ!

ข้าก็ไม่เคยได้รับสิทธิเช่นนี้มาก่อน กลับเป็นท่านกลับที่ได้เสวยสุข”

เมื่อคำพูดนี้ออกไป!

ดวงตาของตาใหญ่ก็เปล่งประกาย

ของกิน?

แถมยังเป็นเจ้าสำนักจัดเตรียมให้เป็นพิเศษ

ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกพองโตสดใสขึ้นมา แต่ยังคงแสร้งทำสีหน้าที่มีทีท่าเหมือนกับว่าไม่เชื่ออยู่

“ฝีมือทำอาหารดีมาก? ขอมาเพื่อทำอาหารให้ข้ากินโดยเฉพาะ?” เจ้าสำนักไม่ได้ทำเพื่อท้องของตัวนางเองหรอกหรือ?

ในจุดนี้ เขาสงสัยเป็นอย่างมาก

“แน่นอนอยู่แล้ว ฝีมือการทำอาหารดีมาก และยังเป็นคนที่ไม่สามารถหาคนที่สองที่มีฝีมือการทำอาหารดีเช่นนี้ได้อีกแล้วในโลกนี้

ท่านลองคิดดู ทำไมก่อนหน้านี้คุณหนูไม่ขอคนมา แต่ต้องขอมาตอนนี้ให้ได้? ไม่ใช่เพราะเห็นท่านลำบาก

นำสวนหยู่มาส่งจากที่อันไกลโพ้น จึงต้องต้อนรับท่านอย่างดีเป็นพิเศษขอรับ!

ท่านได้มีลาภปากแน่นอน ตอนนี้อาหารได้ถูกวางไว้บนโต๊ะแล้ว ไม่เช่นนั้น ท่านรีบกินตอนยังร้อน?”

คำพูดพวกนี้ แค่จื่อซีปริปากก็ออกมา

ติดตามข้างกายหลานเยาเยาแค่สามปี

จื่อซีไม่เพียงแค่เจ้าเล่ห์มากขึ้น ทั้งสมองก็ยังมีไหวพริบมากขึ้นด้วย

ได้ยินดังนั้น!

ในใจของตาใหญ่ละความโกรธไปตั้งนานแล้ว สีหน้าที่จงใจแสดงความบึ้งตึงออกมา ก็พังทลายลงไปตามคำพูดของจื่อซี

“ที่วางไว้บนโต๊ะทั้งหมดเป็นอาหารอันโอชะ?”

เขาต้องต้อนรับเขาให้ดีไม่ด้อยไปกว่าตาแก่ ไม่งั้นเขาจะไม่พอใจ

“ท่านวางใจได้แน่นอน ไก่เป็ดปลาเนื้อ มีครบทุกอย่าง”

“ไปไปไป จะทำลายความหวังดีของเจ้าสำนักไม่ได้ พวกเรารีบไป”

ตาใหญ่ถูมือไปพลง แล้วก็อดใจรอไม่ได้อยากจะเหาะไปให้ถึงที่

จื่อซียิ้มเล็กน้อย แล้วเหาะลงมาก่อน แต่รอตั้งนานก็ไม่เห็นตาใหญ่เหาะลงมา จึงได้เหาะขึ้นไปบนหลังคาอีกครั้ง ก็เห็นตาใหญ่ฮัมเพลงไปพลาง จัดการกระเบื้องที่ละชิ้นให้เรียบร้อยไปพลาง

“……”

ทางด้านหลานเยาเยานี้

ด้วยกลัวว่าตาใหญ่จะทำลายจวนของนาง ดังนั้นจึงส่งให้จื่อซีไปปลอบให้เขาสบายใจ จากนั้นก็พาจื่อเฟิงมุ่งไปหลังลานนอกกำแพงรั้ว

เมื่อปีนข้ามกำแพงไป ก็เห็นม้าสีน้ำตาลแดงที่รูปร่างแข็งแรงบึกบึนถูกล่ามไว้ข้างต้นไม้ใหญ่ มีชายรูปร่างกำยำผู้หนึ่งถือมีดด้ามใหญ่เฝ้าอยู่ด้านข้าง

มันเป็นม้าเหงื่อโลหิต ชื่อว่าสวนหยู่

ในแผ่นดินใหญ่นี้ ม้าเหงื่อโลหิตได้รับการยกย่องว่าเป็นม้าแห่งสวรรค์ ความฉลาด การได้ยิน การได้กลิ่นนั้นจะดีเป็นพิเศษกว่าม้าพันธุ์ปกติธรรมดา

ม้าเหงื่อโลหิตพันธุ์แท้ที่หายากนี้ ไม่เพียงแค่ดื้อรั้น หัวแข็งไม่เชื่อฟัง ทั้งยังทำให้เชื่องยากมาก

ที่ได้กลายมาเป็นพาหนะของนาง ก็เป็นเพราะความโชคดีโดยบังเอิญของนาง

บังเอิญเจอมันในตอนที่กำลังเจ็บหนักจนถึงจะหมดลมพอดี

นางช่วยมันไว้

จากนั้น นางจะไปที่ไหน มันก็ตามไปที่นั่น

เมื่อนางตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง และในเวลาที่คนข้างกายทั้งหมดถูกถ่วงเวลาไว้ มันก็พุ่งเข้ามาช่วยนาง มันโดนมีดไปหลายรอย แต่มันก็ยังแบกนางข้ามภูเขาใหญ่มาหลายลูก แบกนางจนกลับถึงสำนักหงอี

หลังจากนั้นมา มันก็กลายเป็นพาหนะของนาง นางตั้งชื่อให้มันว่าสวนหยู่!

“วิ้ว……”

หลานเยาเยาหันไปผิวปากกับมันครั้งหนึ่ง

เมื่อได้ยินเสียงของนาง สวนหยู่ก็รีบมองมาทันที จากนั้นก็ร้องคำรามสองสามครั้ง อยากจะสลัดให้หลุดพ้นจากเชือกที่มัดไว้

เมื่อเห็นดังนั้น!

หลานเยาเยาก็เอามีดสั้นออกมาทันที จากนั้นก็โบกมือไปทีหนึ่ง มีดสั้นก็ลอยไปในอากาศ ตัดเชือกที่มัดอยู่กับต้นไม้ให้ขาดออก

เมื่อเชือกขาด สวนหยู่ก็ร้องคำรามอีกสองสามครั้ง

แต่มันก็ไม่ได้วิ่งมาข้างกายหลานเยาเยาในทันที แต่ใช้ปากม้าของมันกัดไปที่มีดสั้นที่ปักอยู่บนต้นไม้ จากนั้นก็ดึงออกมา

จึงจะวิ่งมาหานางอย่างรวดเร็ว ถูไถที่เสื้อผ้าของนางอย่างขี้อ้อน แล้วเอามีดสั้นที่คาบไว้ที่ปากของมันยื่นไปตรงหน้านาง

หลานเยาเยารับมีดสั้นมา จากนั้นก็ลูบหัวของมัน

“สวนหยู่เก่งที่สุด! ไป ข้าจะพาเจ้าไปแสดงอานุภาพ แล้วก็ช่วยเจ้าหาแฟนไปด้วยซะเลย”

“เทพธิดา!”

ชายร่างกำยำที่เฝ้าม้าสุดที่รักของนางทำมือทำความเคารพต่อนาง

“ลำบากแล้ว ไปพักในจวนเถอะ!”

“ขอบคุณเทพธิดา!”

ชายร่างกำยำทำมือเคารพอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปทางประตูจวนของเทพธิดา

หลานเยาเยาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก หลังจากที่ลูบสวนหยู่ ก็ขึ้นไปบนหลังม้าทันที

“สวนหยู่ พวกเราไป”

ราวกับว่าสวนหยู่ฟังนางรู้เรื่อง หลังจากที่นางขึ้นไปนั่งแล้ว หลังจากที่ส่งเสียงคำรามครั้งหนึ่งเพื่อแสดงออกเป็นการตอบรับ ก็ออกไป

มันมีความเร็วดุจดั่งลม ในชั่วพริบตา ก็วิ่งมาได้ไกลมากแล้ว

เพราะว่าสนามแข่งขันล่าสัตว์อยู่ใกล้กับประประตูเมืองทางทิศตะวันออกมาก

ดังนั้น!

บนท้องถนนของประตูเมืองทางทิศตะวันออกจึงแออัดมาก ขุนนางที่มีฝีมือความรู้ที่ไปร่วมการแข่งขัน ก็ล้วนพาลูกๆของตัวเองไปด้วย

ดังนั้นรถมาบนถนนแทบจะเป็นต่อกับเป็นเชือกเส้นหนึ่ง จากนอกประตูเมืองทางทิศตะวันออกห่างยาวออกไปมาก ถึงด้านในประตูเมืองทางด้านทิศตะวันออก ก็เป็นระยะทางยาวไปอีก

ด้วยเหตุนี้ ขี่ม้าหรือเดินทางก็ไม่ต่างกัน

มองดูท่าทาง หลานเยาเยาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เลี้ยวหัวม้า ไปทางประตูด้านทิศใต้

จากประตูด้านทิศใต้ไปยังสนามแข่งขันล่าสัตว์ แม้ว่าจะต้องอ้อมไปไกล แต่เป็นทางเลือกที่จะขี่ม้าไปที่สนามล่าสัตว์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอน!

นี่เป็นเพียงทางที่เหมาะสำหรับการขี่ม้าอ้อมไป

สำหรับรถม้านั้น……

ไม่เหมาะจะอ้อมไปจากประตูทางทิศใต้ โดยรวม ทางอ้อมไปสนามล่าสัตว์จากประตูทางทิศใต้ มีหน้าผาสูงชันที่อันตรายอยู่มากมาย

ขี่ม้าไปก็ยังต้องระวัง ก็ไม่ต้องพูดถึงรถม้าแล้ว

เพราะว่าเส้นทางที่เป็นหน้าผาแคบและสูงชัน ทั้งยังมีหินทรายเยอะมาก จะตกลงเหวได้ง่าย

เกือบทุกคนที่มีความรู้เพียงเล็กน้อยก็แทบจะรู้เรื่องนี้กันทั้งหมด

แต่หลานเยาเยากลับคิดไม่ถึง ว่าบนเส้นทางนี้นางจะบังเอิญพบเข้ากับ คนที่นั่งรถม้าไปทางประตูทิศใต้ไปสนามแข่งขันล่าสัตว์ อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นเย่แจ๋หยิ่งที่นางคุ้นเคยมากด้วย

เอ่อ……

เคยพบคนที่รนหาที่ตาย

แต่ไม่เคยพบเจอคนที่รนหาที่ตายเช่นนี้มาก่อน

รถม้าของเย่แจ๋หยิ่งเดินทางด้วยความรวดเร็วมาก ราวกับว่าไม่เห็นหนทางแคบที่อยู่เบื้องหน้าในสายตาสักนิด

ยิ่งใกล้ถึงทางข้างหน้าผา รถม้าก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น

เดิมทีหลานเยาเยามาจากทางด้านหลัง

แม้ว่านางจะขี่ม้าด้วยความเร็วมาก แต่รถม้าของเย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้กินแต่ผัก

เมื่อม้าของนางวิ่งตามมาทัน รถม้าของเย่แจ๋หยิ่งก็ได้ไปถึงทางข้างหน้าผาแล้ว

นางคิดจะแซงขึ้นไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงตามอยู่หลังรถม้า

มองรถม้าสีดำที่ทรงพลังด้านหน้า หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่มองไปที่รถม้า รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

เย่จ๋หยิ่งคงจะไม่ได้หลับไปแล้วหรอกนะ?

ไม่เช่นนั้น ทำไมรถม้าไปถึงขอบหน้าผาแล้วถึงยังไม่มีวี่แววที่จะชะลอตัวลงเลย?