บทที่ 266 พานพบ

แผ่นดินนี้ช่างกว้างใหญ่ จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร? ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น นางเห็นน้องชายของตัวเองหรือ? เฉาจีรู้สึกว่าเซี่ยเซี่ยของเขาคงจะคิดมากเกินไป จึงได้ตาฝาด

แต่เมื่อเห็นภรรยาเศร้าตัวเขาก็เศร้าเช่นกัน

เขารู้ดีว่าน้องชายคนนี้สำคัญสำหรับภรรยาเขามากเพียงใด มันคือปมที่ติดค้างอยู่ภายในใจฮวาเฟิ่งเซี่ยมาโดยตลอด เฉาจีลูบหลังนางเบา ๆ

“เซี่ยเซี่ยเจ้าอย่ากังวลเลย ข้าส่งคนไปสืบข่าวให้เจ้าแล้ว พวกเขากำลังเดินทางไปที่ ๆ เจ้าและน้องชายพลัดหลงกัน พวกเราจะต้องตามหาน้องชายของเจ้าจนเจออย่างแน่นอน”

ฮวาเฟิ่งเซี่ยพยักหน้ารับ “อืม”

เฉาจีมองดวงตาที่แดงระเรื่อของภรรยาแล้วรู้สึกเป็นทุกข์ใจ เขาอุ้มนางเดินไปยังที่เปลี่ยวไร้ผู้คนก้มลงจูบที่ริมฝีปากของภรรยา หลังจากได้จุมพิตหวานล้ำจากสามีอารมณ์ของฮวาเฟิ่งเซี่ยก็ดีขึ้น

“หน้าไม่อาย…” เถ้าแก่เนี้ยฮวาทุบไปที่หน้าอกแข็งแกร่งของเฉาจี

“เซี่ยเซี่ยเจ้าไม่ชอบหรือ?” เฉาจีโน้มใบหน้าไปกระซิบที่ข้างหูนาง น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเต็มไปด้วยสเน่ห์ที่ฮวาเฟิ่งเซี่ยหลงใหล ให้ความรู้สึกที่เร้าใจยามเขาเอ่ยคำหวานหยอกล้อแก่นาง

หญิงสาวกดจูบที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม หลังจากการกระทำที่แสนอ่อนหวานจบลงทั้งสองเดินกุมมือไปกับตามของถนนอย่างมีความสุข

“เซี่ยเซี่ยไปสะพานนกกางเขนกันไหม? แม่นางถังหลี่บอกว่าหากคู่รักที่เดินข้ามสะพานนี้ด้วยกันจะได้ครองคู่กันตลอดไป” เฉาจีกล่าว

หลังจากได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันก็ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต่างโหยหาซึ่งกันและกัน ฮวาเฟิ่งเซี่ยพยักหน้าก่อนที่จะจูงมือกันไปยังสะพานนกกางเขน

…..

จั๋วชูเดินผ่านตลาดที่คึกคักไปยังร้านขายตำราก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเถ้าแก่เห็นจั๋วชูก็เข้าทักทายอย่างสนิทสนม

“บัณฑิตจั๋ว..”

“เถ้าแก่ ข้าคัดลอกตำราเล่มนี้เสร็จแล้วขอรับ” จั๋วชูหยิบตำราสองออกมามาจากแขนเสื้อของเขาส่งให้กับเถ้าแก่

“ขอข้าตรวจสอบดูก่อนนะ”

เถ้าแก่รู้สึกแปลกใจ ความจริงแล้วตำราเล่มนี้ควรใช้เวลาคัดเสร็จภายในหนึ่งเดือน แต่จั๋วชูทำได้เสร็จภายในเวลาครึ่งเดือนเท่านั้น

เถ้าแก่หยิบตำราออกมาสองเล่ม เล่มหนึ่งคือต้นฉบับส่วนอีกเล่มคือตำราที่จั๋วชูคัลอกเอาไว้ เขาเปิดพลิกดูสองสามหน้า

ลายมือของเด็กหนุ่มประณีตและอ่านง่ายเหมือนเช่นเคย

ตามกฎของร้านแล้วคนที่มาคัดลอกตำราจะต้องนำเงินมาวางก่อนถึงจะนำตำราและกระดาษเปล่ากลับไปได้

หากเล่าย้อนกลับไปในวันที่จั๋วชูมาหาเขา สิ่งแรกที่จั๋วชูพูดคือเขาไม่มีเงินเลย แต่เมื่อเห็นลายมือที่ประณีตอีกทั้งรู้ว่าเขาคือศิษย์ของสำนักศึกษาหลวง เถ้าแก่จึงยอมฝ่าฝืนกฎและให้งานเขากลับไปทำ

ตำราเล่มแรกที่จั๋วชูคัดลอกนั้นมีความหนาไม่มากนัก เถ้าแก่พอใจในฝีมือของเขามากจึงมอบหมายงานชิ้นที่สองให้เขา…และในครั้งนี้เขาก็พอใจในผลงานอีกเช่นเคย จึงมอบเงินให้แก่จั๋วชูสองตำลึง

“ขอบคุณขอรับเถ้าแก่” จั๋วชูกล่าว เขาหน้าแดงเล็กน้อย “หากท่านมีงาน..”

“ข้าจะมอบให้เจ้าทำอย่างแน่นอน”

หลังจากกล่าวขอบคุณ จั๋วชูก็รับเงินและเดินจากไป ด้วยเงินสองตำลึงในกระเป๋า เขาจึงได้หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านขายอุปกรณ์การเรียน อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของเว่ยจื่ออั๋งแล้ว เขาอยากให้ของขวัญบางอย่างแก่สหาย จั๋วชูจึงอดหลับอดนอนเป็นเวลาครึ่งเดือนเพื่อคัดลอกตำราให้เสร็จ

สิ่งที่จั๋วชูสนใจคือแท่นหมึกสีฟ้ารูปร่างคล้ายปลามีความสง่างามและประณีต เมื่อเดินเข้าไปหยุดมองอย่างสนใจทันที

“คุณชาย ท่านมาดูทุกวันเลยนะขอรับ ท่านอยากจะซื้อใช่ไหม?”

จั๋วชูมาที่ร้านแห่งนี้บ่อย มาครั้งใดก็ชอบที่จะยืนดูอยู่เป็นนานสองนานจนหลงจู๊ของร้านคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี

“ใช่ข้าจะซื้อมัน เจ้าห่อให้ข้าได้หรือไม่?” จั๋วชูกล่าว

“ได้ขอรับ โปรดรอซักครู่” หลงจู๊รีบนำมันไปห่อให้ทันที

จั๋วชูมีเงินประมาณหนึ่งถึงสองตำลึงซึ่งพอที่จะซื้อแท่นฝนหมึกอันนี้ เขารับไว้ก่อนจะออกจากร้านไป เด็กหนุ่มแวะซื้อซาลาเปาสองลูกก่อนจะเดินกลับไปที่สำนักศึกษา ตอนนี้เขาเหลือเงินอยู่สี่ร้อยเก้าสิบสี่อีแปะ

เงินจำนวนเก้าสิบสี่อีแปะนี้เพียงพอที่เขาจะใช้จ่ายภายในหนึ่งเดือน ส่วนอีกเก้าร้อยอีแปะเขาจะเก็บมันเอาไว้ก่อน ตำราเล่มเก่าที่เขาคัดลอกไม่ได้หนามากนัก เขาจึงไม่ได้เงินเยอะมาก แต่เมื่อรวมกับเก้าร้อยอีแปะนี่ก็จะมีอยู่ประมาณสองตำลึง หากเถ้าแก่ยังมอบหมายงานให้แก่เขาอีกสักสามสี่เล่ม เขาจะรวบรวมเงินได้ถึงห้าตำลึงเพื่อนำไปใช้หนี้ให้บิดา…เมื่อคิดเช่นนั้นจั๋วชูก็มีความหวังผุดขึ้นมา ความหวังเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้เขา เพียงแต่ไม่อาจจะเร่งรัดไปได้มากกว่านี้

……………..

วันเวลาผ่านไปย่างเข้าปีที่สามแล้วที่ถังหลี่ทะลุเข้ามาในนวนิยายเรื่องนี้

ปีนี้ต้าเป่าอายุสิบขวบ เอ้อร์เป่าเก้าขวบและซานเป่าอายุห้าขวบ

นางยังจำได้ว่าในครั้งแรกที่มาที่นี่ ซานเป่าอายุเพียงสามขวบเท่านั้น ยังเป็นเพียงเจ้าเกี๊ยวตัวน้อย ๆ ที่มีดวงตาใสซื่อ แม้หนทางจะขรุขระและมีอุปสรรคไปบ้างแต่ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็ยังเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างดี

ถังหลี่ให้ความสำคัญกับวันเกิดสิบขวบของต้าเป่ามาก นางวางแผนที่จะจัดงานวันเกิดให้แก่เด็กหนุ่ม แม้ว่าเขาจะเป็นพี่คนโตของน้อง ๆ แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่

นางอยากให้เป็นวันเกิดที่น่าจดจำของเขา โดยที่นางไช่และฮวาเฟิ่งเซี่ยให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

“ถังถัง เจ้าตั้งใจจะเชิญแขกมากี่คนหรือ?”

เถ้าแก่เนี้ยฮวาถาม

“เป็นสหายในเมืองเหอตงนี่แหละ พี่น้องสกุลตู้ นายท่านสกุลเจียงและบุตรชายของเขา สหายร่วมชั้นของต้าเป่าบางคน น่าจะมีแขกเหรื่อราว ๆ หกหรือเจ็ดคนเห็นจะได้” ถังหลี่กล่าว

“หากรวมพวกเราด้วย โต๊ะจัดเลี้ยงสักสามโต๊ะก็น่าจะเพียงพอแล้ว ข้าจะเป็นคนดูแลงานเลี้ยงให้เจ้าเอง” เถ้าแก่เนี้ยฮวารับอาสา

“ฟางจวิ่นกับข้าจะไปซื้อของ พวกเรามาจดรายการของที่ต้องซื้อก่อนดีกว่า” นางไช่เป็นคนอาสาไปซื้อของเอง

ด้วยจำนวนคนมากมายที่กระตือรือร้น ทำให้แม้แต่เหยี่ยนเสี่ยวตวนที่ยังบาดเจ็บรู้สึกว่าเขาต้องเริ่มทำงานบ้าง

“เฮ้ เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ? ไม่เวียนหัวแล้วหรือ?” ถังหลี่หันไปหยอกล้อเหยี่ยนเสี่ยวตวนที่ดูกระปรี้กระเปร่า

เด็กหนุ่มที่ชื่อเหยี่ยนเสี่ยวตวนนั้นน่าสนใจมาก ตอนที่เขาบาดเจ็บก็แสร้งทำเป็นว่าตัวเองสบายดี แต่เมื่อหายเจ็บก็เริ่มแสร้งว่ายังป่วยอยู่ เพื่อที่จะนอนขี้เกียจทั้งวัน แต่ตอนนี้เขาคงตื่นเต้นเกินกว่าจะนอนเฉย ๆ เลยลุกขึ้นมาทำงานบ้าง

ถังหลี่จึงหันไปหยอกล้อเขาทันที

“อาจจะเป็นเพราะคำพูดให้กำลังใจจากนายหญิง ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เวียนหัวและหายเป็นปกติแล้วล่ะ ฮิฮิ” พูดจบเขาก็รีบประโดดออกไปจากประตู

ถังหลี่หัวเราะเบา ๆ เด็กคนนี้คนตลกมาก ด้วยความช่วยเหลือจากสหายหลายคน ทำให้การจัดงานเป็นไปอย่างผ่อนคลาย

ถังหลี่ได้แต่ครุ่นคิดว่านางจะให้อะไรเป็นของขวัญแก่ต้าเป่าดี ต้าเป่าไม่ได้ขาดเหลืออะไร สิ่งของที่มอบให้เขาควรเป็นของพิเศษที่ทำให้เขาจดจำไว้

ซานเป่าและเอ้อร์เป่าเองก็แอบครุ่นคิดเงียบ ๆ เช่นกัน

เพียงพริบตาเดียววันเกิดของต้าเป่าก็มาถึง บังเอิญในวันนี้สำนักศึกษาปิดพวกเขาจึงไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยอยู่ที่บ้าน ส่วนเอ้อร์เป่าขอลาเรียนกลับมาบ้านเช่นกัน วันนี้ต้าเป่าคือตัวเอกในงานเลี้ยง

ในตอนเช้าถังหลี่นำเสื้อผ้าใหม่มาให้ต้าเป่า เป็นชุดสีขาวสะอาดตา ดวงตาของเอ้อร์เป่ากลมโต รูปร่างสูงโปร่ง สวี่เจวี๋ยมองต้าเป่าดวงตาของเขาเป็นประกาย เขายกนิ้วให้แก่ต้าเป่า

“หล่อเหลามาก”

“ต้าเป่าเจ้ารูปงามมาก”

“ต้าเป่าโตขึ้นมากเลยนะ”

ทุกคนผลัดกันกล่าวคำชมเชยแก่เด็กหนุ่มจนต้าเป่ามีใบหน้าแดงระเรื่อ

“ไปนั่งสิ”

ต้าเป่าถูกดันให้นั่งลงไป การที่เขาเห็นว่าทุกคนให้ความใส่ใจเขาทำให้หัวใจของต้าเป่ารู้สึกอบอุ่น สวี่เจวี๋ยเดินไปต้อนรับแขกที่ประตูพร้อมกับเอ้อร์เป่า จากนั้นแขกก็เริ่มทยอยมาทีละคน

เถ้าแก่เนี้ยฮวากำลังวุ่นอยู่จนเผลอหันไปมองที่ประตูอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นนางก็ยืนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าของนางเปลี่ยนสี ดวงตาเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี