ตอนที่ 313 ฮ่องเต้สวรรคต

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 313 ฮ่องเต้สวรรคต

กองทัพเหนือพ่ายแพ้แล้ว!

กองทัพเหนือที่ไร้เทียมทาน ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนพ่ายแพ้แล้ว!

พ่ายแพ้ให้กับกำลังพลที่ต่างกัน พ่ายแพ้โดยไม่มีกองกำลังสนับสนุน พ่ายแพ้ให้กับการทำสงครามเพียงลำพัง

ไม่ใช่กองทัพเหนือทำสงครามไม่ได้ แต่สถานการณ์นั้นบีบบังคับ

กองทัพเหนือพ่ายแพ้ ทำได้เพียงถอยกลับไปที่คูเมือง ล้มเลิกการทำสงครามเผชิญหน้า แต่ใช้กลอุบายเฝ้าระวังแทน

ข่าวถูกส่งไปยังเมืองหลวง ทั้งเมืองตื่นตระหนก

ฮ่องเต้หย่งไท่กระอักเลือดออกมา ก่อนจะสลบไป

เมืองหลวงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ถนนหนทางเงียบสงัด

ราชองครักษ์เหมือนเผชิญศึกหนัก องครักษ์จินอู่กระจายอยู่ทุกหนแห่ง

ซุนปังเหนียนสั่งปิดตำหนักซิงชิ่งตามพระราชโองการ

หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาและองค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้ แม้จะเป็นเถาฮองเฮาก็อย่าคิดเข้าตำหนักซิงชิ่ง

แน่นอนว่าเถาฮองเฮาเข้าตำหนักซิงชิ่งได้อย่างราบรื่น

เวลานี้ องค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้ต้องการเถาฮองเฮาคอยวางแผนและแบ่งเบาแรงกดดันแทนเขาอยู่ด้านข้าง

เขายังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างสมบูรณ์ ย่อมมีบางเรื่องที่คำนึงไม่รอบคอบ มีรายละเอียดที่ละเลย

เถาฮองเฮาเฝ้าอยู่ข้างเตียง นางถอนหายใจ

“กองทัพเหนือพ่ายแพ้แล้ว! เกิดอันใดขึ้นกับแผ่นดินนี้ ฝ่าบาทไม่ใช่จักรพรรดิที่ไม่ดี ยิ่งไม่ใช่จักรพรรดิที่โหดเหี้ยม เหตุใดจึงมีหายนะไม่ขาดสาย ภายในหนึ่งปีกลับถูกต่างเผ่ารุกรานถึงสองครั้ง มันเรื่องใดกัน”

นางกังวลอย่างมาก

สถานการณ์ในครั้งนี้ร้ายแรงกว่าการบุกรุกของราชวงศ์ซีหยงมาก

ราชวงศ์อูเหิงมีกำลังพลกว่าสองแสน ล้วนแล้วแต่เป็นทหารม้า ผู้ใดจะต้าน

จำเป็นต้องรวบรวมกองกำลังร้อยละเจ็ดสิบของต้าเว่ยจึงจะต้านทานได้

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ โจรกบฏยิ่งต้องอาละวาดหนักขึ้น

“ภัยคุกคามทั้งภายในและภายนอก ไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อใด” เถาฮองเฮาเผยสีหน้ากังวล คิ้วของนางขมวดมุ่น

ริมฝีปากของเซียวเฉิงอี้แห้งผาก มีหนังลอกออกมา คอของเขาแห้ง แต่ไม่อยากดื่มน้ำ

เขากังวลอย่างมาก กดดันอย่างมาก ไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันที่เหมือนมีภูเขาทับอยู่บนอกเช่นนี้มาก่อน ทับจนเขาแทบหายใจไม่ออก

เขาพูดกับเถาฮองเฮา “ทางตะวันตกเฉียงเหนือส่งข่าวมา สถานการณ์ของราชวงศ์อูเหิงพอสืบทราบได้คร่าวๆ แล้ว ทางซีอวี้เกิดสงคราม มีกองทัพดุร้ายหนึ่งมาจากทางตะวันตก ปล้นฆ่าอยู่ในซีอวี้ ทำให้แผ่นดินซีอวี้เปลี่ยนสีในชั่วพริบตา อูเหิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทำได้เพียงบุกรุกมาทางตะวันออก

ระหว่างทางอูเหิงรวบรวมชนเผ่าในพื้นที่ราบ อำนาจแข็งแกร่งขึ้น แต่ว่าทางจี๋ซีนั้นแห้งแล้งติดต่อกันมาหลายปี ไม่สามารถเลี้ยงกองกำลังจำนวนมากได้ อูเหิงจำเป็นต้องหาพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งใหม่ ดังนั้นจึงเพ่งเล็งต้าเว่ยของพวกเรา”

เถาฮองเฮาร้องด้วยความตกใจ “เจ้าหมายความว่า อูเหิงไม่ได้ต้องการปล้นเสบียงแล้วถอยทัพ หากแต่ต้องการยึดครองพื้นที่ สร้างบ้านเมืองของพวกเขา?”

องค์รัชทายาทเซียวเฉิงอี้พยักหน้า “ใช่! บรรดาขุนนางคาดการณ์ อูเหิงเพ่งเล็งเยียนโจว อวิ๋นโจวและจี้โจว พื้นที่เหล่านั้นถือว่ามีน้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอากาศไม่ร้อน เหมาะสำหรับเลี้ยงสัตว์”

เถาฮองเฮาเผยสีหน้าหนักใจ “บรรดาขุนนางยังพูดเรื่องใดอีก มีคนเสนอให้ยกพื้นที่ใช่หรือไม่”

“เสด็จแม่ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว! เวลานี้ ไม่มีผู้ใดกล้าทำผิดต่อแผ่นดิน ยกแผ่นดินต้าเว่ยให้ผู้อื่น หากมีคนกล้าเอ่ยปากจริง ผู้นั้นย่อมเป็นศัตรูของต้าเว่ย สมควรประหารเก้าชั่วโคตร!”

สีหน้าของเซียงเฉิงอี้ดำทะมึน ปะปนไปด้วยความอาฆาตเล็กน้อย

เถาฮองเฮาโล่งใจในทันที “เรื่องอื่นล้วนต่อรองได้ มีเพียงพื้นที่ยกให้ไม่ได้ มันคือเส้นตาย มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นคนบาปของต้าเว่ย ถูกขึงไว้บนเสาแห่งความอัปยศไปตลอดกาล”

เซียวเฉิงอี้พยักหน้า “กระหม่อมเข้าใจ! อีกทั้งสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นนั้น ถึงแม้กองทัพเหนือจะพ่ายแพ้แล้ว แต่ต้าเว่ยยังไม่แพ้ กองทัพเหลียงโจว กองทัพโยวโจว กองทัพชิงโจว หรือแม้แต่กองทัพอวี้โจวล้วนกำลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบ สามเดือน เวลาสามเดือนย่อมสามารถทำให้อูเหิงถอยทัพได้”

เถาฮองเฮาเตือนเขา “อย่าได้ชะล่าใจ! อีกสามเดือนก็ถึงเดือนสิบสองที่ยากลำบากที่สุดแล้ว เจ้าก็บอกว่าราชวงศ์อูเหิงต้องการหาพื้นที่เลี้ยงสัตว์เพื่อการดำรงชีวิต ดังนั้นพวกเขาจะยิ่งโจมตีอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้นในฤดูหนาว”

เซียวเฉิงอี้กัดฟันพยักหน้า แต่ไม่ส่งเสียง

เสด็จพ่อล้มลง แรงกดดันทั้งหมดแทบจะทับอยู่บนตัวเขา ทำให้เขาเกือบจะแบกรับไม่ไหว

แต่เขากัดฟันอดทน

วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ต้าเว่ยตั้งประเทศ

นอกจากนี้ยังมีภัยจากภายใน สำนักการคลังและสำนักเซ่าฝู่ยากจน ไม่รู้จะก้าวผ่านมันไปได้อย่างไร

เรื่องเดียวที่น่ายินดีคือผลผลิตในปีนี้พอใช้ ส่วยคงจะเก็บได้ สามารถจัดการปัญหาส่วนใหญ่ได้

เถาฮองเฮากระซิบสั่งเหมาเส้าเจี้ยน “ไปเรียกหมอหลวงมา ข้าจะถามพระอาการของฝ่าบาทด้วยตนเอง”

เหมาเส้าเจี้ยนรับคำสั่งจากไป

เซียวเฉิงอี้มองนางอย่างไร้เสียง

เถาฮองเฮาครุ่นคิดก่อนพูด “เจ้าต้องเตรียมรับมือเอาไว้!”

เซียวเฉิงอี้แสดงสีหน้าเคร่งเครียด

เหมาเส้าเจี้ยนนำหมอหลวงมาถึงตรงหน้าของเถาฮองเฮา

เถาฮองเฮาถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าบอกความจริงกับข้า คราวนี้ฝ่าบาทจะทรงก้าวผ่านได้หรือไม่”

หมอหลวงกล้าๆ กลัวๆ เขาอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงเปล่งออกมา

เถาฮองเฮาผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง “เจ้าพูดมาเถิด ข้าไม่ลงโทษเจ้า”

หมอหลวงจึงตอบด้วยความลังเล “ทูลฮองเฮา คราวนี้เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงก้าวผ่านไปได้ยากพ่ะย่ะค่ะ”

เถาฮองเฮาขมวดคิ้ว “ไม่มีวิธีแล้วหรือ”

หมอหลวงอกสั่นขวัญแขวน “ไม่ปิดบังฮองเฮา พระวรกายของฝ่าบาททรงถึงคราวหมดสิ้นพลังแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทพอรหันต์จุติลงมาก็เกรงว่าจะไร้ซึ่งหนทาง เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นชะตาฟ้าลิขิต ไม่ใช่กำลังมนุษย์จะฝืนได้”

เถาฮองเฮาถอนหายใจพลันถาม “ยังเหลือเวลาอีกเท่าใด”

หมอหลวงครุ่นคิดเล็กน้อย “หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาได้ก่อนพรุ่งนี้เช้า จากนั้นใช้ยาแรง อาจยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะ”

“หากพรุ่งนี้เช้าไม่ทรงฟื้นจะเป็นอย่างไร”

“กระหม่อมไม่กล้าพูด!”

ความหมายก็คือ หากพรุ่งนี้เช้าฮ่องเต้ยังไม่ทรงฟื้นขึ้นมา มีความเป็นไปได้ที่จะจากไปทุกเวลา

เถาฮองเฮาโบกมือให้หมอหลวงถอยออกไป

นางพูดกับเซียวเฉิงอี้ “คำพูดของหมอหลวง เจ้าก็ได้ยินแล้ว เตรียมตัวเอาไว้เถิด!”

เซียวเฉิงอี้พยักหน้า

ในเมื่อเขานั่งอยู่บนตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว แม้จะลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใด เขาก็จะเดินต่อไป

สุดท้าย ฮ่องเต้หย่งไท่ยังคงไม่อาจฝืนชะตาได้

เขาไม่สามารถฟื้นขึ้นมา

สองวันหลังจากนั้น เขาจากไปท่ามกลางความหมดสติ ไม่มีคำสั่งเสียใดหลงเหลือเอาไว้

เมื่อระฆังแห่งความสูญเสียดังขึ้น ทั้งเมืองตื่นตระหนก

“ระฆังนี้…ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว!”

“ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว?”

“เหตุใดจึงกะทันหันเช่นนี้”

บรรดาขุนนางไม่ว่าจะตำแหน่งสูงต่ำล้วนมุ่งหน้าไปทางพระราชวัง

พวกเขายืนกรานที่จะไปดูสถานการณ์ในวังหลวงโดยไม่สนใจคำสั่งห้าม ไม่สนใจการข่มขู่ขององครักษ์จินอู่

ฮ่องเต้สวรรคตอย่างกะทันหันเกินไป ไม่มีข่าวล่วงหน้าแม้แต่น้อย หากไม่ได้ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาทเอาไว้ก่อนแล้ว เกรงว่าทุกคนจะคิดมาก สงสัยว่าฮองเฮาร่วมมือกับองค์ชายสามทำให้ฮ่องเต้สวรรคต

บรรดาขุนนางปิดประตูวังหลวงเอาไว้เพื่อเรียกร้องที่จะเข้าเฝ้าเถาฮองเฮา เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เข้าเฝ้าฮ่องเต้หย่งไท่ที่สวรรคตไปแล้ว

องครักษ์จินอู่เหมือนเผชิญศึกหนัก ราชองครักษ์เหมือนเผชิญศึกหนัก

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังอยากออกคำสั่งให้จับคนทั้งหมดเอาไว้

แต่แล้วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต เขาก็ไม่กล้าลงมือ ทำได้เพียงทำหน้าดำทะมึน มองทุกคนด้วยสายตาดุร้าย

ในขณะที่บรรดาขุนนางต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือดนั้น มีขุนนางฝ่ายในมาถึงหน้าประตูวัง เชิญบรรดาขุนนางเข้าวัง

ไม่ใช่ขุนนางทุกคนที่จะเข้าไปในวังหลวงได้

ขุนนางระดับสามขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเข้าวังหลวง

หลังจากบรรดาขุนนางเข้าวังหลวงแล้วถึงได้พบว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์รออยู่ที่ตำหนักซิงชิ่งก่อนแล้ว บรรดาองค์ชายก็มาถึงแล้ว

สีหน้าของบรรดาขุนนางย่ำแย่ลงทันที

หากพูดเช่นนี้ ตอนที่เสียงระฆังดัง ฮ่องเต้ก็สวรรคตไปสักระยะแล้ว

ระยะเวลานี้ เถาฮองเฮาและองค์รัชทายาททำสิ่งใด

กำลังระวังผู้ใด

คำตอบไม่ต้องพูดก็ชัดเจน

องค์รัชทายาทไม่เชื่อใจขุนนางตระกูลชั้นสูง มันเป็นสัญญาณที่ไม่เป็นมิตร

บรรดาขุนนางต่างแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความเข้าใจ

“ขอบังอาจทูลถาม ฝ่าบาทสวรรคตเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ” มีขุนนางยืนออกมาถามเถาฮองเฮา

เถาฮองเฮาแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ยังคงพูดด้วยความอดทน “ฝ่าบาทสวรรคตในยามอิ๋น[1]”

บ้าคลั่งสิ้นดี!

ฝ่าบาทสวรรคตในยามอิ๋น แต่ตอนที่ระฆังดังขึ้นนั้นเป็นยามเซิน[2]

ระหว่างนั้นห่างกันถึงห้าชั่วยาม

ภายในห้าชั่วยามนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง

ทันใดนั้นจึงมีขุนนางซักถาม “ฝ่าบาทสวรรคตในยามอิ๋น เหตุใดระฆังจึงดังขึ้นในยามเซิน เหตุใดจึงไม่ได้สั่นระฆังตั้งแต่แรกพ่ะย่ะค่ะ”

“เพราะว่าเมืองหลวงไม่ปลอดภัย พระราชวังไม่ปลอดภัย!” เถาฮองเฮาพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ดูจากท่าทีของพวกเจ้า ฝ่าบาทเพิ่งสวรรคตไม่กี่ชั่วยาม พวกเจ้าก็จะเค้นถามข้า ต้องการก่อกบฏหรือ”

“ฮองเฮาทรงระวังวาจา! ไม่มีผู้ใดจะก่อกบฏ พวกกระหม่อมเพียงแค่ต้องการความจริง”

“ความจริงก็คือฝ่าบาทสวรรคต ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก อีกทั้งยังเกรงว่าจะมีคนมาทำร้าย ดังนั้นจึงเลื่อนการตีระฆัง หากแต่รับสั่งให้ราชองครักษ์ปกป้องความปลอดภัยของวังหลวงเอาไว้ก่อน”

“เหตุใดเชื้อพระวงศ์…”

“เพราะพวกเขาแซ่เซียว พวกเขาเป็นคนในตระกูลของฝ่าบาท…ส่วนพวกเจ้าเป็นขุนนาง ขุนนางอย่างพวกเจ้าคิดจะเรียกร้องการปฏิบัตที่เหมือนกับเชื้อพระวงศ์หรือ เหลวไหล!”

เถาฮองเฮาเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังในการต่อสู้

เห็นได้ชัดว่านางคาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้เอาไว้ก่อนแล้ว พร้อมทั้งยังเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว

บรรดาขุนนางไม่ยอม แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งคำพูดของเถาฮองเฮา

พวกเขาเป็นขุนนางจริง

คนในและคนนอกมีความแตกต่าง จะบอกว่าผิดได้หรือ

หากในตระกูลของตนเองมีคนตาย ย่อมต้องแจ้งต่อญาติที่สนิทก่อน จากนั้นจึงจะเป็นมิตรสหายเก่า

เถาฮองเฮาผ่อนเสียงลง “ฝ่าบาทสวรรคตไปท่ามกลางความหมดสติ ก่อนจากไปไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียแม้แต่ประโยคเดียว เรื่องนี้หมอหลวงเป็นพยานได้ โชคดีที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งองค์ชายสามเป็นองค์รัชทายาทก่อนแล้ว พิธีพระบรมศพของฝ่าบาท รวมทั้งเรื่องการขึ้นครองราชย์นั้นยังต้องให้สำนักพิธีและสำนักเซ่าฝู่จัดการ เวลานี้อยู่ในช่วงยากลำบากของบ้านเมืองพอดี ข้าคิดว่าจัดพิธีอย่างเรียบง่าย ฝ่าบาทก็คงทรงเห็นด้วยเช่นเดียวกัน”

“น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”

ขุนนางสำนักพิธีการเด็ดขาดอย่างมาก พิธีพระบรมศพและพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นหน้าที่ของพวกเขา

ทุกสิ่งจัดอย่างเรียบง่ายนั้นก็ไม่ยากเกินไป

ฟุ่มเฟือยมีวิธีของฟุ่มเฟือย เรียบง่ายก็มีวิธีของเรียบง่าย

ทุกอย่างล้วนมีตัวอย่างให้เห็น ปฏิบัติตามประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน รับรองว่าไม่มีทางผิดพลาด

ขุนนางสำนักพิธีการกระตือรือร้นอย่างมาก พวกเขาเริ่มดูปฏิทินเหลืองกันแล้ว

วันที่ในปฏิทินเหลืองล้วนจดจำอยู่ในหัว เมื่อต้องการเพียงแค่ค้นหาจากความทรงจำก็พอ

หลังจากนี้เจ็ดวันเป็นฤกษ์มงคล เหมาะสมกับการขึ้นครองราชย์

เถาฮองเฮาพยักหน้าทันที “บ้านเมืองไม่อาจไร้จักรพรรดิแม้แต่วันเดียว อีกทั้งเวลานี้ราชสำนักยังมีทั้งภัยจากภายในและภายนอก จักรพรรดิองค์ใหม่รีบขึ้นครองราชย์เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่สถานการณ์นั้นมีความจำเป็นอย่างมาก บรรดาขุนนางทั้งหลายมีข้อคัดค้านหรือไม่”

เห็นได้ชัดว่าเถาฮองเฮาควบคุมสถานการณ์เอาไว้หมดแล้ว

รสชาติของการมีอำนาจอยู่ในมือช่างงดงามยิ่งนัก!

[1] ยามอิ๋น เวลาประมาณ 03.00 – 04.59 น.

[2] ยามเซิน เวลาประมาณ 15.00 – 16.59 น.