บทที่ 246 ช่วยเหลือ

เดิมทีเถาฮวาอยากจะคุยกับลูกสาวแล้วพากลับ แต่เห็นเขาเหนื่อยจัดจนทนไม่ได้

หม่านซิ่วเห็นพี่สาวเป็นเช่นนี้ เลยพาเข้าไปคุยกันในห้อง

“พี่เถาฮวา คะแนนของเสี่ยวเหมยออกมาไม่แย่เลย ครั้งนี้จะต้องสอบผ่านแน่นอน” หม่านซิ่วคิดว่าเถาฮวาเป็นห่วงลูกสาว

อย่างที่รู้กันก่อนหน้านี้ เถาฮวาง่วนกับเรื่องเรียนและชีวิตของลูก ๆ ตอนนั้นเธอก็ลืมสามีไปเสียสนิท ทว่าตอนนี้ว่างเลยจึงกลับมาคิดอีกครั้ง จึงเลี่ยงที่จะรู้สึกแย่ไม่ได้

พอถูกถามเช่นนี้ ความหดหู่ใจที่ถูกเก็บกดมานาน ในที่สุดก็พรั่งพรู่ออกมาเป็นหยาดน้ำตา

“ซิ่วเอ๋อร์ ฉันไม่ได้กังวลเรื่องเสี่ยวเหมย เด็กคนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่เคยมีเรื่องให้ฉันกังวลใจเลย แต่ฉันคิดว่ามันคือตัวฉันนี่แหละ!”

เถาฮวาไม่คิดว่ามันจะมีอะไร พอได้ร้องไห้ออกมาก็เก็บอะไรไว้ไม่อยู่

น้ำตานั้นเหมือนกับลูกปัดที่ด้ายขาดจากกัน มันร่วงตกลงมาและยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

“พี่เถาฮวา อย่าร้องไห้เลยนะ!” หม่านซิ่วปลอบเอ่ยปลอบอย่างร้อนรน

ตอนนั้นเองก็จำได้ว่าสามีอีกฝ่ายกลับเมืองหลวงไปแล้ว และเหมือนจะไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยแม้แต่ฉบับเดียว

หม่านซิ่วไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร ผ่านไปตั้งนานแล้ว กลับไม่มีแม้แต่ข่าวคราวเลย!

ถ้าบอกว่าไปถึงอย่างปลอดภัยก็คงจะดีสักหน่อย

แต่หม่านซิ่วกลับพูดออกไปไม่ได้

เลยทำได้แค่ปลอบใจอีกฝ่ายเท่านั้น

“พี่เถาฮวา ไม่มีอุปสรรคใดในโลกนี้ที่พี่เอาชนะไม่ได้ ดูสิ ถ้าไม่อยากคิดเรื่องอื่นก็คิดถึงลูกสิคะ”

หลังจากที่ได้ร้องไห้ระบายออกมา สักพักอารมณ์ก็สงบลงเล็กน้อย ยิ่งได้ยินหม่านซิ่วเอ่ยถึงลูกทั้งสาม เถาฮวาก็ยิ่งสงบนิ่งขึ้นได้อีก

“ซิ่วเอ๋อร์พูดถูก ลูกทั้งสามคนมีหน้าที่การงานที่ดี คนโตอยู่ในกองทหาร เสี่ยวเหมยเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนฉันก็จะดูแลเสี่ยวกังให้ดีที่สุด”

พอคิดลูก ๆ ทั้งสามคนของตนเอง เถาฮวาก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ

“พี่เถาฮวาคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าเสี่ยวเหมยสอบผ่าน เธอก็จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย พอพี่ออกไปที่ไหนมันก็จะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”

ในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่เคยหย่าร้างและโดนคนดูถูก หม่านซิ่วรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

เพราะกลัวว่าจะโดนคนดูถูก ทั้งยังโดนบีบคั้นโดยไม่ได้ตั้งใจอีก คนพูดมันก็แค่ขยับปาก แต่มันกลับทำให้คนฟังล้มได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเถาฮวาที่เคยหย่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าโดนสามีคนนี้ทิ้งอีกครั้ง ชีวิตนี้คงไม่เหลือทางออกแล้วจริง ๆ

หม่านซิ่วเริ่มคิดว่าควรพยายามหางานในเมืองให้เถาฮวาดีไหม ต่อให้เป็นงานชั่วคราวก็ยังดี

หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องกลับไปให้คนที่หิงซินนินทา

“ซิ่วเอ๋อร์ พี่วางแผนจะกลับไปหงซินบ่ายนี้แหละ!” เถาฮวาเอ่ยขึ้นหลังจากร้องไห้มาพอแล้ว

“พี่เถาฮวาอยู่ต่ออีกหน่อยเถอะค่ะ ช่วงนี้ฤดูหนาวนะ ที่ชุมชนมีงานไม่เยอะหรอก รอให้เสี่ยวเหมยสอบเสร็จค่อยกลับไปด้วยกัน!”

หม่านซิ่วคิดว่าให้เสี่ยวเหมยกลับไปเป็นเพื่อนดีกว่าปล่อยเถาฮวากลับไปคนเดียว

เถาฮวาไม่เข้าใจว่าน้องสาวหมายถึงอะไร แต่ที่เธอเลือกจะกลับไปตอนนี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสี่ยวเหมยโดนพูดถึง

เธอแบกรับความทุกข์ได้ จะเอาลูกมาเกี่ยวข้องทำไม?

เพราะงั้นเธอจึงกลับไปก่อน พอถึงช่วงที่เด็ก ๆ กลับไปคนพวกนั้นคงเบื่อที่จะคุยกันแล้ว และมันก็เพื่อไม่ให้เด็ก ๆ รู้สึกอึดอัดเกินไป

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันกลับก่อน ออกมาตั้งนานแล้วแถมเป็นฤดูหนาวด้วย ฉันต้องไปเผาเตียงเตา พอลูกกลับไปก็จะได้อุ่น ๆ”

หม่านซิ่วรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไร จึงได้แต่จับมือแล้วปลอบโยน

เงียบ ๆ

“หม่านซิ่ว วาสนาเธอดีจริง ๆ!”

หย่าก็เหมือนกัน แต่งงานใหม่เหมือนกัน แต่ชีวิตหม่านซิ่วสวยหรูกว่ามาก ส่วนเธอกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

“พี่เถาฮวา ยังไม่มีข่าวคราวมาหาก็น่าจะยังสบายดีหรือเปล่าคะ บางทีอาจจะสูญหายระหว่างทางก็ได้นะ?”

ในที่สุดหม่านซิ่วก็ทนไม่ไหวแล้วรีบหาเหตุผลมาให้

เธอรู้สึกว่าเหตุผลนี้อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงก็ได้นะ

แต่เถาฮวาจะเชื่อได้อย่างไร?

บ่ายวันนี้ ในตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจ เสี่ยวเถียนรีบวิ่งไปบ้านถานจื่อสือ

ถานจื่อสื่อคือถานป้านเฉิงในตำนานที่เคยช่วยชีวิตเสี่ยวเถียนไว้โดยบังเอิญ

แม้ว่าสภาพในปัจจุบันจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ชีวิตเขาและภรรยาก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก

แม้แต่คนเหล่านั้นที่อยากจะได้ประโยชน์จากอีกฝ่ายก็ยิ่งทรมานเขามากขึ้นกว่าเดิม

เสี่ยวเถียนใช้ประโยชน์ที่ตัวเองอายุน้อย เพื่อไม่ให้ง่ายต่อการดึงดูดความสนใจของคนอื่น เพื่อช่วยสองสามีภรรยาเป็นครั้งคราว

แต่ทุกครั้งที่มา เธอจะไม่เอาของมาเยอะเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้

ทุกครั้งเธอจะเอาธัญพืชมาสี่ถึงห้าวันเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่อดตายเท่านั้น

ครั้งนี้เพราะพี่ ๆ กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เสี่ยวเถียนจึงไม่ได้ไปบ้านอีกฝ่ายเจ็ดถึงแปดวันแล้ว

“คุณปู่ถาน คุณย่าถาน หนูมาแล้ว!” ซูเสี่ยวเถียนมาถึงประตูก่อนจะเรียกเสียงต่ำ

ถานจื่อสือรีบเปิดม่านมองหาต้นตอของเสียง พอเห็นว่าเป็นเสี่ยวเถียน ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มจริงใจขึ้น

เขามองสภาพโดยรอบอย่างระแวดระวัง ก่อนจะโล่งใจหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมาด้วย

เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น เสี่ยวเถียนก็คลี่ยิ้ม

ระหว่างทางเธอคุยกับดอกไม้ใบหญ้าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนตามเธอมา

ถ้าไม่ใช่เพราะอาวุธโกงตัวนี้ เสี่ยวเถียนคงไม่กล้ามาโดยไม่ระวังตัวหรอก

“เสี่ยวเถียนเอ้ย หนูมาแล้ว รีบเข้ามาเร็วเข้า!” ถานจื่อสือยิ้ม “ครึ่งปีมานี้ถ้าไม่ใช่เพราะหลาน

คนแก่ ๆ อย่างพวกเราสองคนคงตายไปแล้ว!”

เสี่ยวเถียนหยิงถุงอาหารเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋านักเรียนก่อนจะว่า “ช่วงนี้พี่ ๆ มีสอบค่ะ หนูเลยไม่ได้มาคอยดูแล พวกคุณปู่สบายดีนะคะ?”

“สบายดี ๆ หลายวันมานี้คนพวกนั้นไม่มาแล้ว” ถานจื่อสือประหลาดใจ

แต่เสี่ยวเถียนเข้าใจดีกว่าสถานการณ์ในตอนนี้กับก่อนหน้านั้นมันต่างกันออกไป คนส่วนมากที่ถูกส่งออกไปได้กลับมาแล้ว แม้จะมีหลายคนที่ยังไม่ได้กอบกู้ชื่อเสียงกลับมา แต่ก็ไม่น่าใช้เวลานานเท่าไร

“พวกเขาไม่ได้มาค่ะ พวกคุณทั้งสองก็อยู่อย่างสบายใจได้ค่ะ จากนี้ไปมันก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ”

“เสี่ยวเถียน พวกเราสองคนก็เป็นคนแก่ ๆ ไม่ได้มีอะไรเลย แต่เธอก็ยังดูแลพวกเราอย่างเต็มที่” ถานจื่อสือเอ่ย น้ำตาแทบจะไหลอยู่รอมร่อ

คุณย่าถานก็ยังสะอื้น

เครือญาติที่บ้านมีไม่น้อยก็จริง แต่หลังจากที่ชีวิตพวกเขาล้มลง คนส่วนใหญ่จึงอยากจะอยู่ให้ห่างเข้าไว้ ตอนที่จากไปยังไม่วายมาเตะกันอีก

แม้แต่ลูกของเขาก็ยังไม่สนใจพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง

มันยากมากที่เด็กหญิงผู้ที่ไม่ใช่ทั้งญาติ ทั้งไม่มีเหตุผลที่จะมาหา จะเอาอาหารมาให้กินทุก ๆ สองสามวัน

เป็นครอบครัวที่ดีอะไรเยี่ยงนี้!

ใช่แล้ว พวกเขาจำความใจดีที่เคยมีต่อเสี่ยวเถียนในชาติที่แล้วไม่ได้

ในความคิดของพวกเขาคือ ถ้าไม่ใช่เพราะความกรุณาของครอบครัวนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กหญิงคนนี้จะเอาอาหารมากมายมาให้

“ได้เจอพวกคุณถือว่าเป็นโชคชะตาแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องช่วยไว้ในตอนแรกด้วย แค่ไม่อยากเห็นพวกคุณอดตายก็เท่านั้น!”

เสี่ยวเถียนพูดอย่างตรงไปตรงมา

แต่ถานจื่อสือไม่รู้ว่าตอนที่เสี่ยวเถียนเห็นเขาก็รู้สึกว่าคน ๆ นี้ใจดี เหมือนคนใจดีที่เคยช่วยชีวิตไว้ในชาติที่แล้ว

เขาเป็นคนเดียวที่เชื่อว่ากระเป๋าเงินของเธอถูกขโมยไปที่สถานีรถไฟ ก่อนจะซื้อตั๋วและซื้อข้าวให้ด้วย

ด้วยเหตุนี้เสี่ยวเถียนจึงช่วยเขา

แต่เธอไม่ได้พูดออกมา และก็ไม่กล้าพูดสิ่งนี้ด้วย

“ทำดีไม่รอตอบแทน เด็กดี จากนี้ไปเธอจะต้องโชคดีแน่!” ถานจื่อสือพูดด้วยความซาบซึ้ง

เสี่ยวเถียนตั้งใจว่าจะอยู่ไม่นาน เธอวางอาหารและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

ถานจื่อสือและภรรยามองถุงธัญพืชใบเล็ก ก่อนจะมองหน้ากันด้วยความตกใจ

“ตาเฒ่า…” ยายถานพูดแค่ครึ่งประโยคและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

ถ้าไม่มีครอบครัวนี้ พวกเขาคงอดตาย ป่วยตายไปตั้งนานแล้ว

มนุษย์ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ!

ถานจื่อสือมองภรรยาก่อนจะพยักหน้า “ฉันเข้าใจว่าเธอจะพูดอะไร ยายเฒ่า”

สองสามีภรรยารู้กัน และทุกอย่างก็เงียบลง

แม้แต่ปมเล็ก ๆ ในใจก็ยังถูกคลี่คลายด้วยประโยคนี้ประโยคเดียว

เสี่ยวเถียนกระโดดโลดเต้นกลับบ้าน

พวกคุณย่าซูกำลังตาหาเธออยู่

“ยัยเด็กคนนี้ ไปวิ่งเล่นที่ไหนมา? ย่าตามหาให้ควั่กเลย!” คุณย่าที่เห็นหลานสาวกลับมาก็โล่งใจ

“คุณย่า หนูไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกังวลไปนะ แค่ไปโรงเรียนเพื่อดูว่ามีใครอยู่ไหม จะหลงทางหรือเปล่า?” เสี่ยวเถียนยิ้มแล้วพูดโกหก

เธอจะไม่พูดว่าแอบไปบ้านถานจื่อสือมาอีกครั้งใช่ไหม?