ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเย่เหลียนอี เคยใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากลางวันแสกๆตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
สิ่งที่พวกเชิดชูก็มีแต่การใช้ความรุนแรงเท่านั้นแหละ !
ถือปืนเอาแล้วก็ระเบิดหัวกบาลของฝ่ายตรงข้ามนี่แหละที่เรียกว่าความสามารถ !
ดังนั้นแล้ว ชายในชุดสูทจึงไม่ได้พูดอะไรที่ไร้สาระ จากนั้นก็มีคนสองคนเข้ามาลากตัวพวกเขาออกจากงานแต่ง
หลานเล่อซินนั้นถูกอุ้มขึ้น และเธอก็พูดอย่างเป็นกังวลว่า : “ อย่ามาแตะต้องลูกของฉันนะ ! ฉันท้องอยู่ พวกคุณยังมาถึงอีก……ถ้าหากว่าลูกฉันเป็นอะไรไปละก็ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะพวกคุณฆ่า ! เคยดูไหม Ju-on The Grudge พวกคุณจะถูกสาปแช่ง……”
ชายในชุดสูดก็อุ้มเธอและเดินออกไปด้านนอก เขาไม่สนใจคำพูดไร้สาระของเธอเลยสักนิด สีหน้าที่เย็นชาและเคร่งขรึมเหมือนกันกับตอนที่เข้ามาเมื่อกี้นี้เลย
“ หลานเสี่ยวถางเธอนี่มันไม่รู้บาปบุญคุณโทษเลย !” หูซิ่วจูนั้นดิ้นรน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของการที่ถูกลากออกไปได้ในขณะนี้ได้ : “ นี่แกทำแบบนี้กับญาติพี่น้องที่เลี้ยงแกมาตั้งหลายปีแบบนี้ได้ยังไงกัน ! ลูกแกที่คลอดออกมาก็ดีไม่ได้หรอก !”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ภายในของหลานเสี่ยวถางก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาในทันที
จะว่าเธอยังไงก็ได้ไม่เป็นไร คาดไม่ถึงเลยว่าจะกล้ามาสาปแช่งของลูกของเธอ !
หน้าอกของเธอที่กำลังยกขึ้นยกลงนั้น บนหูของเธอที่ติดหูฟังเอาไว้ก็มีเสียงดังขึ้น
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ในตอนเช้าเธอได้ไลฟ์สดติดต่อกับเย่เหลียนอีกที่อยู่ทางนั้น เพราะฉะนั้นในเวลานั้นเย่เหลียนอีกำลังพูด : “ ถางถาง อย่าโกรธนะ ลูกในท้องสำคัญ ! ผู้หญิงคนนั้นที่พูดไร้สาระ หลังจากนี้ไปแม่จะทำให้เค้านั้นพูดไม่ได้อีก ! สบายใจได้เลย แม่จะให้ลูกเป็นคนจัดการเธอเอง !”
หลานเสี่ยวถางก็กลับคืนสู่สภาพจิตใจและรีบทำให้จิตใจนั้นสงบลง
จริงๆแล้วเธอท้องอยู่ไม่สามารถที่จะใจร้อนได้
เธอเอื้อมมือไปลูบที่ท้องของตัวเองเบาๆแล้วก็ค่อยๆสงบลง
โจวเหวินซิ่วก็ถูกพาออกไปเหมือนกัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอที่อายุเจ็ดสิบกว่าแล้วทำไมถึงได้มีเรี่ยวแรงแบบนี้ เธอที่ถูกลากตัวออกไป ก็ยังคงตะโกนเรียกชื่อสือมูเฉินอยู่ตลอด และดูเหมือนว่าน้ำเสียงจะร้องไห้เป็นสายเลือด : “ มูเฉิน แกนี่เลือดเย็นเกินไปแล้วนะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้ความรุนแรงกับแม่ตัวเองแบบนี้ ! ฉันผิดหวังมาก ! ในตอนนั้นฉันไม่น่ายืนกรานที่จะคลอดแกออกมาเลย……”
พอเห็นว่าสือมูเฉินไม่ขยับเลยสักนิด โจวเหวินซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอีกครั้งเพื่อเรียกสือมูชิง : “ มูชิง น้องแกทำกับฉันแบบนี้ แกยังไม่ยืนออกมาช่วยแม่อีกหรอ ? ตอนนั้นแม่รักและทะนุถนอมแกยังไงลืมแล้วหรอ ?”
สือมูชิงก็รูสึกลังเลใจเล็กน้อย
ถึงอย่างไรโจวเหวินซิ่วก็ไม่เคยรู้สึกผิดต่อเขามาก่อน อีกทั้งหลังจากที่กลับมาในครั้งนี้ โจวเหวินซิ่วก็โอนหุ้นของตัวเองมาเขา และยังช่วยให้เขาได้ตำแหน่งประธานกลับมาอีกด้วย
แต่ทว่าเขาในตอนนี้ไม่สามารถขยับได้ !
ส่วนสือเพ่ยหลินยังคงรักษาตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แล้วก็ได้ยินมาว่าเข้าสู่ขั้นวิกฤตแล้ว แถมค่าใช้จ่ายและยาที่ใช้รักษาทั้งหมดนั้นก็เป็นหลานเสี่ยวถางที่เป็นฝ่ายออกเองทั้งหมด
ถ้าหากว่าเขาลุกขึ้นมาตอบโต้ละก็ ชีวิตของลูกชายตัวเองก็คงไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้ว !
ดังนั้นสือมูชิงก็เลยแกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน จนกระทั่งต้องปิดหน้าอกเอาไว้ราวกับว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงอะไรอย่างนั้น
ทันใดนั้น เรื่องตลกทั้งหมดที่เกิดขึ้นสุดท้ายก็จบลงเสียงร้องของโจวเหวินซิ่วที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ในใจลึกๆของสือมูเฉินก็คงจะรู้สึกเหนื่อยล้า
วันนี้เป็นวันที่เขาเตรียมการมานาน และเป็นวันที่เขาทุ่มให้หลานเสี่ยวถางเพื่อจัดงานแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดกับเธอ
แต่เป็นเพราะว่าปัญหาครอบครัวของเขา ทำให้งานแต่งงานถูกทำลาย อีกทั่งยังทำให้หลานเสี่ยวถางขายหน้าอีก
เมื่อเห็นว่าโจวเหวินซิ่วและคนอื่นๆได้ออกไปแล้ว เขาก็หันตัวกลับมายืนตรงหน้าหลานเสี่ยวถางและพูดกับเธอว่า : “ ขอโทษนะ ”
หลานเสี่ยวถางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอก็เลยหัวเราะและพูดกับเขาว่า : “ มูเฉิน ไม่เป็นไร ตอนนี้แขกที่มาก็ยังอยู่ พวกเรามาเริ่มงานแต่งงานกันต่อดีไหม ?”
จู่ๆสือมูเฉินก็รู้สึกร้อนในแววตาขึ้นมาเล็กน้อย
มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่หลานเสี่ยวถางก็ไม่เคยโทษหรือว่าอะไรเลย อีกทั่งเมื่อกี้เธอยังลุกขึ้นมาอย่างกล้าหาญเพื่อล้างมลทินให้กับเขา ; มาในตอนนี้ ก็ยกโทษให้พร้อมบอกว่าไม่เป็นไร พวกเขายังสามารถจัดงานแต่งงานต่อไปได้
เขาที่รู้สึกซาบซึ้งใจและหน้าอกที่ยกขึ้นยกลง แทบจะไม่มีความลังเลใดๆเลย จากนั้นก็ยื่นแขนออกมากอดหลานเสี่ยวถางเอาไว้ในอ้อมกอด
ทุกคนที่อยู่ในงานก็ไม่ใช่ว่าจะโง่ ในตอนที่เริ่มนะบางทีอาจจะยังรู้สึกสับสน แต่เมื่อหลานเสี่ยวถางบอกว่าสามารถที่จะพิสูจน์ความเป็นพ่อได้ ทุกคนก็แทบจะมีการตัดสินใจเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
ดังนั้น จึงไม่มีใครเอ่ยปากเพื่อเรียกร้องอะไรใดๆ เมื่อทุกคนมองทั้งสองที่โอบกอดกันบนเวที ในใจลึกๆก็มีเพียงแค่เสียงถอดหายใจ
ดูแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งของการรวมเป็นหนึ่ง
แต่ทว่าหลานเสี่ยวถางแต่งงานให้กับความรัก ; ส่วนสือมูเฉินก็แต่งเพราะความรักเหมือนกัน
ณ เวลานี้เป็นเรื่องที่ความสุขมากที่สุด
แขกบางคนก็อดไม่ได้ที่จะต้องเช็คน้ำตา
สือมูเฉินกอดหลานเสี่ยวถางนานอยู่สักพัก จากนั้นถึงได้ค่อยๆปล่อยออก
และพิธีกรที่ถูกมองข้ามไปก่อนหน้านี้ ก็ได้รับคำสั่งจากสือมูเฉิน จากนั้นก็ยืนมาด้านหน้าและหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูดว่า : “ แขกทุกท่านครับ พวกเรามาเริ่มงานแต่งกันต่อเถอะครับ ”
ในขณะที่พูดนั้น เขาก็ได้ถามคำถามซ้ำกับหลานเสี่ยวถาง : “ คุณหลานครับ คุณยินยอมที่จะแต่งงานกับคุณสือมูเฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้าไหมครับ แล้วจะคอยดูแลเขาไปตลอดชีวิต และจะคอยอยู่ข้างเขาไม่ว่าจะจนหรือรวย ไม่ว่าจะแข็งแรงหรือเจ็บป่วย ก็จะไม่มีทางที่จะทิ้งหรือแยกจากกัน ใช่ไหมครับ ?”
หลานเสี่ยวถางมองไปยังสือมูเฉิน และเป็นเพราะว่าเห็นเขาในช่วงนี้ที่ยุ่งกับการเตรียมงานแต่งงานแล้วไหนจะยุ่งกับงานอีกดูเหมือนว่าแก้มนั้นจะบางลงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า : “ ฉันยินยอมค่ะ ”
“ ผมขอประกาศ คุณสือมูเฉินและคุณหลานเสี่ยวถาง ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการแล้ว ” พิธีกรก็ได้นำกล่องแหวนที่สือมูเฉินได้เตรียมไว้ตั้งนานแล้วออกมา : “ ขอเชิญคู่บ่าวสาวนั้นแลกแหวนซึ่งกันและกัน ”
สือมูเฉินก็ได้หยิบกล่องแหวนขึ้นมา ทันใดนั้นไข่นกพิราบสีชมพูที่อยู่ด้านในก็ได้สะท้อนความเปล่งประกายไปยังใบหน้าของหลานเสี่ยวถาง
ในขณะที่เธอมองเขาหยิบแหวนออกมา ก็มีเพชรรูปหัวใจสีชมพูก็ส่องประกายอย่างนุ่มนวลอยู่บนปลายนิ้วของเขา และหลานเสี่ยวถางรู้สึกแค่ว่าโลกใบนี้ได้สงบลงในทันที
มันทำให้ลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมื่อกี้ และมีเพียงแค่ในเวลานี้ที่สือมูเฉินจู่ๆ ก็คุกเข่าลงนั่งตรงหน้าเธอ มันทำให้สะกดทุกจังหวะการเต้นของหัวใจเธอ
ปลายนิ้วของเขาได้บีบแหวนเพชรสีชมพูรูปหัวใจเอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ
ภายใต้แสงไฟนั้น ใบหน้าอันล้ำค่าของเขาก็ได้กลับดูฟุ้งเฟ้อและแพรวพราวมากขึ้น และมันก็ทำให้หลานเสี่ยวถางนั้นลืมหายใจในทันที
สือมูเฉินก็ได้ก็ยกแขนข้างซ้ายของเธอขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆสวมแหวนไปยังปลายนิ้วของหลานเสี่ยวถาง
เธอมองดูแสงแวววาวบนแหวน และมันทำให้ดวงตาของเธอร้อนผ่าวเล็กน้อย
หลานเสี่ยวถางก็ได้เอื้อมือและดึงสือมูเฉินขึ้นมา จากนั้นก็หยิบแหวนแบบเรียบหรูในแบบของผู้ชายออกมาจากกล่อง แล้วก็ยกมือข้างซ้ายของสือมูเฉินขึ้นมาและค่อยๆสวมไปที่นิ้วของเขา
เป็นเพราะว่ามีความตื่นเต้นเล็กน้อย มันก็เลยทำให้มือของหลานเสี่ยวถางนั้นสั่นเป็นอย่างมาก กะอยู่หลายรอบในที่สุดก็สวมให้สือมูเฉินได้สักที
ในงานนั้นเงียบสงัด ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจและมองไปยังฉากบนเวทีด้วยความตื่นเต้น
ในที่สุด มือของพวกเขาก็ร้อยเข้าด้วยกัน แหวนเพชรสองวงที่มือซ้ายก็เรียงอยู่ข้างกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นตัวอักษรบนนั้นก็ชัดเจนขึ้นในทันที
T&C หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉิน。
พิธีกรกำลังจะหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูดว่า‘เจ้าบ่าวสามารถจูบเจ้าสาวได้’ในตอนนั้นสือมูเฉินก็ได้โอบไปที่เอวของหลานเสี่ยวถางแล้ว
และเขาก็ได้เอามืออีกข้างรองไว้ที่หลังศีรษะของเธอ จากนั้นก็ได้จูบลงไป
เดิมทีหลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าการจูบในที่สาธารณะนั้นเป็นเรื่องที่น่าอาย แต่ทว่าในตอนนี้เธอกลับลืมทุกอย่างไปเสียแล้ว
รู้สึกเพียงแค่ว่ามีกระแสไฟฟ้าเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่พวกเขาสัมผัสอย่างต่อเนื่อง และมันแผ่ไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
เซลล์ทั้งหมดของเธอกำลังกระโดดอย่างบ้าคลั่งในขณะนี้ และเธอก็ทำไปตามสัญชาตญาณและสนองตอบกลับไปให้สือมูเฉินด้วยความเร่าร้อน
เป็นการจูบที่ลึกซึ้งและใช้เวลานานกว่าจะจบลง
สือมูเฉินค่อยๆปล่อยหลานเสี่ยวถาง และมองไปยังเธอที่ถูกเขาจูบจนในดวงตานั้นเป็นละออง จากนั้นก็เอ่ยปากพูดว่า : “ เสี่ยวถาง มีความสุขในวันแต่งงานนะครับ !”
ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางก็ยกขึ้น : “ มูเฉิน มีความสุขในวันแต่งงานนะคะ !”
ซูสือจิ่นและหยานชิงเจ๋อที่อยู่ตรงเวทีทั้งสองข้างก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองกัน
จำได้ว่าวันนั้นที่เจ้าหน้าที่ยื่นทะเบียนสมรสให้กับพวกเขาในตอนนั้นก็ได้พูดประโยคที่ว่าบอกว่ามีความสุขในวันแต่งงาน
นี่ถือได้ว่าเป็นการแต่งงานครั้งใหม่กับหยานชิงเจ๋อจริงๆ เพิ่งจะแต่งงานกันไม่ถึงสิบวัน แต่ทว่าหลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันการพูดคุยกันนั้นพอรวมกันแล้วยังไม่ถึงสิบประโยคเลย
รู้สึกว่าภายในใจของเธอจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆและแม้แต่การหายใจก็ยังยากขึ้นอย่างมาก
เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากเมื่อกี้ สิ่งที่พิธีกรนั้นได้ถามคำถามพวกนั้นกับหลานเสี่ยวถางในตอนนั้น และในใจของเธอก็ได้ทำการเปลี่ยนโดยอัตโนมัติจากชื่อของหลานเสี่ยวถางก็เปลี่ยนมาเป็นชื่อของตัวเอง ส่วนชื่อของสือมูเฉินก็เปลี่ยนเป็นหยานชิงเจ๋อ แล้วเธอก็อ้างปากพูดอย่างไรเสียงว่า‘ฉันยินยอมค่ะ’
แต่ทว่าความงดงามทั้งหมดนั้นก็เป็นเหมือนกับภาพลวงตา เพียงแค่พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
งานแต่งานในตอนนี้ก็ได้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้วและมันก็ได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย
และในขณะนั้นเอง ด้านข้างก็มีฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเข็นเค้กเจ็ดชั้นเข้ามา
สือมูเฉินหยิบมีดขึ้นมาและตัดชิ้นแรกให้กับหลานเซี่ยวเฉิง : “ นี่ครับพ่อลองชิมดู ”
หลานเซี่ยวเฉิงก็พยักหน้าแล้วก็รับเค้กมาจากนั้นก็กินไปหนึ่งคำ
และหลังจากนั้น ได้เตรียมพนักงานบริการเอาไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อที่จะให้นำเค้กไปแบ่งให้กับแขกทุกท่าน
พิธีการได้จบลงแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลางานเต้นรำ
เป็นเพราะว่าหลานเสี่ยวถางท้องก็เลยไม่สามารถเต้นได้ เพราะฉะนั้น การเปิดงานเต้นรำก็เลยตกไปอยู่ที่เพื่อนเจ้าสาว
เมื่อเพลงดังขึ้น ฟู่สีเกอก็ยื่นมือให้กับเฉียวโยวโยว : “คุณโยวคนโง่ มาเต้นรำเปิดเพลงฟลอร์แรกกับผมกันเถอะครับ !”
เฉียวโยวโยวก็ได้วางมือลงบนฝ่ามือของเขา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ่มต่ำอย่างดุร้ายว่า : “ ฉันเต้นรำไม่ดี กลัวว่าเดี๋ยวจะเหยียบเท้าคุณเข้า !”
ฟู่สีเกอก็ยักคิ้วพร้อมกับพูดว่า : “ ถ้าไม่อย่างนั้นลองเอาเท้าวางลงบนรองเท้าหนังของผมไหม ?”
“ คุณแน่ใจหรอ ?” เฉียวโยวโยวก็เดินเข้าไปในฟลอร์เต้นรำกับเขา และเหยียบไปบนรองเท้าหนังของฟู่สีเกอจริงๆ
“คุณโยวคนโง่ นี่คุณเอาจริงหรอเนี่ย ?” ฟู่สีเกอหรี่ตาลง
เฉียวโยวโยวก็ยักคิ้วพร้อมกับพูดว่า : “ ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงใจ คุณให้ฉันนวดฝ่าเท้าให้คุณ ฉันก็ทำละนี้ไง !”
“ ดีมาก อีกเดี๋ยวก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดีละกัน !” ในขณะที่พูดนั้น แม้ว่าเสียงเพลงที่เปิดในตอนแรกมันยังคงผ่อนคลายนุ่มนวล แต่ทว่าเขาก็พรวดพราดเร่งจังหวะในการเต้นให้เร็วขึ้น
เฉียวโยวโยวคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำมันแบบนี้จริงๆ เพราะบาลานซ์ตัวเธอไม่ดี เธอก็เลยอดไม่ได้ที่จะยืดแขนออกไปเพื่อโอบฟู่สีเกอเอาไว้ให้แน่น และเธอก็แทบจะแนบติดไปกับบนตัวของเขา
“ คุณโยวคนโง่ ที่แท้คุณชอบผมขนาดนี้เลยหรอ ?” ฟู่สีเกอพูดอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
เฉียวโยวโยวไม่มีทางเลือก รู้ดีว่าตราบใดที่ตัวเองไม่ลงมานั้น ก็ทำได้แค่เป็นเหมือนกับโคอาลาที่เกี่ยวอยู่บนตัวฟู่สีเกอ ดังนั้นก็เลยทำได้แค่เอาเท้าลงมา แต่ทว่าก็ยังคงเบะปากใส่อยู่
ฟู่สีเกอหัวเราะเบาๆจากนั้นก็ก้มหัวลงไปใกล้กับหูของเฉียวโยวโยวและพูดว่า : “ เด็กดี กลับบ้านไปให้คุณนวดให้ก็พอละ ! คุณอยากจะนวดตรงส่วนไหน ผมก็ยอมให้นวดทั้งหมดเลย !”
เฉียวโยวโยวหยิกไปที่เอวของเขาหนึ่งที
ฟู่สีเกอเจ็บตัวเข้าแล้ว สีหน้าดูประหลาดเล็กน้อย ในที่สุดเฉียวโยวโยวก็ได้ระบายความโกรธ จากนั้นก็เริ่มเต้นรำกับเขาดีๆ
เป็นเพราะอิงตามก่อนหน้านี้ที่ได้เตรียมการเอาไว้ เป็นสองคู่ที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวที่ต้องเต้น ดังนั้นเมื่อฟู่สีเกอและทั้งสองนั้นไปถึงฟลอร์เต้นรำก่อน หยานชิงเจ๋อและทั้งสองก็จำเป็นต้องตามไป
ซูสือจิ่นเงยหน้าขึ้นมองหยานชิงเจ๋อ บนใบหน้าของเขาไม่มีการแสดงออกใดๆ เมื่อเห็นว่าฟู่สีเกอเริ่มขยับตัวแล้ว เขาถึงได้ยื่นมือออกมาให้เธอ
ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่า นั่นเป็นเพราะการจัดเตรียมเอาไว้ เขาถึงได้เต้นรำกับเธอ แต่ทว่าเมื่อซูสือจิ่นเห็นมือเรียวยาวอันสวยงามที่อยู่ตรงหน้า ในก้นบึ้งหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
เธอก็ยกมือขึ้นมาและค่อยๆวางลงบนฝ่ามือของหยานชิงเจ๋อ