เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หยานชิงเจ๋อจึงดึงซูสือจิ่นให้ตามมา ก่อนจะพาเธอไปยังลานเต้นรำ
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องราวของวันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็แทบไม่มีการสัมผัสเรือนร่างอะไรกันเลย ซูสือจิ่นรู้สึกเพียงแค่ว่าสัมผัสนั้นที่ฝ่ามือของตนเอง มันบ้าคลั่งมากจนแทบจะสั่นคลอนสติในทุกอณูของเธอเลยก็ไม่ปาน
สมองของเธอเป็นเพราะมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเช่นนี้ ดังนั้นแล้วจึงรู้สึกว่าออกซิเจนโดยรอบนั้นแปรเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
ดังนั้นแล้ว ในทุกย่างก้าว เธอแทบจะอ่อนแรงลงเล็กน้อย จนกระทั่ง เดินมาถึงที่กลางลานเต้นรำแล้ว
เสียงเพลงดังขึ้น หยานชิงเจ๋อยืนอยู่อย่างมั่นคงอยู่ตรงหน้าของเธอ เขายืนมือข้างหนึ่งออกมา ก่อนจะวางมันลงบนช่วงเอวของซูสือจิ่น
อันที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ใช่ไม่เคยได้เต้นรำกันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แม้กระทั่ง เมื่อก่อนพวกเขาก็ยังเคยเต้นรำแบบละตินอย่างเมามันด้วยกันเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในตอนนั้นความรู้สึกเป็นแบบไหนกันนะ?
ซูสือจิ่นหวนนึกถึงวันวานอยู่ครู่หนึ่ง
แทบจะ เธอในตอนนั้น บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาสว่างสดใสเป็นประกาย ประสานสายตามองเขาอยู่ตลอดเวลา
ส่วนเขา ก็หลุบตามองเธอเช่นกัน มุมปากประดับรอยยิ้มบางเบาเอาไว้ นัยน์ตาฉายประกายรักใคร่ออกมาทั้งหมด
แต่ทว่า เพียงแค่ค่ำคืนยุ่งเหยิงนั่นคืนเดียวเท่านั้น ใบทะเบียนสมรสใบนั้น เรื่องราวทั้งหมด มันกลับแปลเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว
ตามจังหวะการชักนำของหยานชิงเจ๋อ ซูสือจิ่นก้าวเท้ายาวและเต้นรำตาม
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเหมาะสมและคุ้นเคยกันไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ทว่า กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาแทน
ซูสือจิ่นรู้สึกว่าตนเองนั้นแทบจะหายใจไม่ไหวเข้าเสียแล้ว
แต่ทว่าทางด้านข้าง จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
ซูสือจิ่นหันไปมองโดนอัตโนมัติในทันที ก่อนจะเห็นฟู่สีเกอและเฉียวโยวโยวกำลังปะทะฝีปากกันอยู่
แทบจะเป็นเฉียวโยวโยวเลยที่คอยจงใจที่จะเหยียบเท้าของฟู่สีเกอ หลังจากนั้นฟู่สีเกอก็หาจังหวะแล้วกลั่นแกล้งเฉียวโยวโยวกลับไป
สีหน้าของทั้งสองคนแสดงออกมาเล็กน้อย ทำให้ซูสือจิ่นรู้สึกสับสนมากไปกว่าเดิมขึ้นไปอีก
ดังนั้นแล้ว เมื่อไม่ทันได้ระมัดระวัง เธอจึงเหยียบเข้าที่เท้าของหยานชิงเจ๋อไปครั้งหนึ่ง
วันนี้เธอสวมใส่รองเท้าส้นสูง ส้นของรองเท้านั้นแหลมมาก ดังนั้นแล้ว ซูสือจิ่นเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าใบหน้าหล่อเหลาของหยานชิงเจ๋อขมวดคิ้วเข้ามากันขึ้นมาในทันที ก่อนที่บนใบหน้าจะกักเก็บสีหน้าเจ็บปวดกลับเข้าไป
“ขอโทษค่ะ——” เธอกุลีกุจอหันไปกล่าวกับเขาอย่างตื่นตระหนก “พี่ชิงเจ๋อคะ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม? เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
หยานชิงเจ๋อส่ายหน้า มุมปากระดับรอยยิ้มขบขันเย็นยะเยือก “วันนั้นเป็นเพราะว่าแต่งงาน ก็ถูกพ่อของฉันทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถูกเธอเหยียบเข้าสักหน่อยมันจะไม่มากอะไร?”
สีหน้าของซูสือจิ่นแข็งค้างในทันที ภายในหัวใจจู่ ๆ ก็มีความเจ็บปวดที่กดข่มเอาไว้เริ่มตีรวนขึ้นมาอีกแล้ว
เธอบังคับตนเองให้ไม่ต้องไปสนใจ ในตอนที่กำลังหมุนตัวนั้นเอง ก็มองเห็นแสงไฟจากเวทีกำลังส่องมายังพวกเขา ซูสือจิ่นจึงรีบยกยิ้มขึ้นมาทันที
เธอไม่สามารถลืมตัวจนทำให้เสียกิริยาได้ ไม่สามารถให้ทุกคนมองเธอเป็นตัวตลก อย่างน้อย ต่อให้ตนเองจะทุกข์ทรมานมากอีกสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาเช่นนั้นได้
อีกอย่าง ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในพิธีมงคลสมรสของสือมูเฉินอีกด้วย เธอจะทำลายงานแต่งงานของพี่ใหญ่ของเธอได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นแล้ว ซูสือจิ่นจึงทำราวกับว่าไม่ได้ยินความหมายเสียดแทงของคำพูดหยานชิงเจ๋อ กลับกันกลับหันไปยิ้มให้เขาแทน “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะค่ะ”
หยานชิงเจ๋อหรี่ตาลง
เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เป็นเขาที่จงใจหลบเลี่ยงเธอ ดังนั้นแล้ว คำพูดและการแสดงออกของเธอทั้งหมดนั่น เขานั้นสามารถทำเป็นไม่สนใจได้ทั้งหมด
แต่ทว่าในตอนนั้น ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันมากขนาดนี้แล้ว เธอนั้นแทบจะตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอยู่แล้ว ดังนั้น สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อครู่นี้ทั้งหมดของเธอ เขานั้นเห็นมันได้อย่างชัดเจนเต็มสองตา
เพราะฉะนั้นแล้ว เขาจึงเห็นแล้วว่าซูสือจิ่นนั้นเดิมแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่ทว่า กลับกักเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นคืนไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งสีหน้าที่กำลังกดข่มอดทนอย่างเต็มที่นั่นอีก
เขาเห็นแล้วว่าเธอนั้นรู้สึกแย่อย่างชัดเจนแต่ทว่ากลับแสร้งทำเป็นฝืนยิ้มอย่างสุดชีวิต
หยานชิงเจ๋อเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย น้องสาวของเขาคนนี้ หากถามเขาก็เป็นเขานั่นแหละที่เข้าใจเธอมากที่สุดแล้ว
เธอเติบโตมาราวกับไข่ในหินตั้งแต่เด็ก บิดามารดารักใคร่ พวกพี่ชายก็ต่างเอาอกเอาใจ สามารถพูดได้เลยว่า เธอไม่เคยได้รับความยากลำบากมาก่อนเลย
ดังนั้นแล้ว ขอเพียงแค่ถ้าหากว่าเธอได้รับบาดเจ็บ ก็จะร้องไห้ออกมาเสียงดังสนั่นเกินจริง เธอมีอะไรก็จะพูดออกมาอย่างนั้น ไม่เคยต้องสนใจอะไรเลย อีกทั้งไม่เคยต้องกักเก็บเอาไว้ด้วย
แต่ทว่า เมื่อครู่นี้เธอทำเช่นนั้นไปทำไมกันนะ?
ถ้าหากว่าแปรเปลี่ยนไปเป็นสถานการณ์ปกติ เธอได้รับการเสียเปรียบเช่นนี้ ก็ไม่ได้จะต้องฟาดมือใส่หน้าคนอื่นในทันทีเลยหรือไง?!
เพียงแต่ จู่ ๆ นัยน์ตาของหยานชิงเจ๋อกลับเหมือนราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที
จริงสิ เป็นเพราะว่าวันนั้นเธอเป็นฝ่ายเป็นคนไปหาเขาที่ห้องนอนก่อนเองนี่ ดังนั้นแล้ว เป็นเพราะแบบนั้นเองเธอถึงไม่พอใจหรือเปล่านะ? ถึงได้กักเก็บความเป็นเด็กที่เอาแต่ใจนั้นกลับไป
ถ้าอย่างนั้นแล้ว เขาก็จะตั้งตาดู ว่าท่าทางกดข่มอดทนของเธอแบบนี้ จะสามารถทำมันไปได้นานถึงเมื่อไหร่!
หัวใจของหยานชิงเจ๋อพรั่งพรูความรู้สึกดำมืดบางอย่างขึ้นมาทันที เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย มักจะรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนตัวของเขาเองเลย
เขามักจะเป็นคงนิ่งเงียบและสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่ทำเรื่องราวน่าเบื่อเช่นนี้ แต่ทำไมกันนะ ทำไมถึงคิดอยากที่จะฉีกกระชากหน้ากากของเธอที่กดข่มอดทนนี่เอาไว้อยู่?!
แม้กระทั่ง เขานั้นค้นพบว่าหัวใจของตนเองนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก กลับกล้าที่จะทำให้เธอต้องกักเก็บสีหน้าท่าทางเช่นนี้ เขานั้นรู้สึกกลับกันและตรงกันข้างอย่างถึงที่สุด
เขาไม่อยากเห็นเธอต้องทน เขาไม่คิดอยากที่จะเห็นเธอเหมือนกับผู้หญิงที่มีเล่ห์เพทุบายเหมือนคนอื่น ที่เก็บอะไรเอาไว้ในใจทั้งหมด!
เขาหวังว่าเธอจะกลับไปเป็นเสี่ยวจิ่นที่เขารักใคร่คนนั้นเหมือนเมื่อก่อน! ถึงแม้ว่าจะกลับไปไม่ได้แล้วก็ตาม!
เพียงแต่ ถึงแม้ว่าหยานชิงเจ๋อกับซูสือจิ่นต่างก็กำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจของตนเอง แต่ทว่า หลังจากนั้นท่าทางของพวกเขากลับเข้ากันเป็นอย่างยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากนั้น เมื่อเพลงเริ่มเร็วมากยิ่งขึ้น ฟู่สีเกอนำให้เฉียวโยวโยวหมุนตัว เฉกเช่นเดียวกัน ซูสือจิ่นเองก็ถูกหยานชิงเจ๋อชักนำเต้นอยู่ด้วย รู้สึกเพียงแค่ว่าตอนนี้หางกระโปรงของตนเองนั้นแทบจะลอยตามขึ้นมาอยู่แล้ว
ในตอนนั้นเอง เธอก็รู้สึกว่าจู่ ๆ ตนเองกลับลืมเลือนทุกอย่างไปทั้งหมด มีเพียงแค่แสงไฟที่สาดส่องตามร่างนั้นที่ไม่กล้าหยุดอยู่นานโดยตลอด มันคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
เสียงเพลงค่อย ๆ เริ่มช้าลง ฟู่สีเกอเห็นว่าเฉียวโยวโยวหน้าแดงซ่านไปหมดแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบีบเธอเข้าให้หนึ่งที “คุณโยวคนโง่ ปกติแล้วขาดการฝึกซ้อมหรือไงกันครับ?”
เฉียวโยวโยวสบตามองเขา “แล้วคุณฝึกซ้อมมาอย่างดีหรือไงคะ?”
ฟู่สีเกอเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย “ผมร่างกายของผมมีตรงไหนบ้างที่คุณไม่เคยสัมผัสน่ะ ฝึกซ้อมมาดีหรือไม่ดีคุณเองไม่รู้หรือไงครับ? อีกอย่างนะ เรี่ยวแรงเป็นอย่างไร คุณไม่เคยผ่านมันมาก่อนหรือไง?”
เฉียวโยวโยวยกเท้าขึ้นแสร้งจะเหยียบเขา เขาหัวเราะก่อนจะหลบหลีก หลังจากนั้นจึงหรี่ตาลง “คุณโยวคนโง่ พวกเราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ ถือว่าได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมอย่างเป็นทางการแล้วนะ เมื่อไหร่คุณจะย้ายมาอยู่บ้านผมละครับ?”
อยู่บ้านของสือมูเฉินทุกวัน เขาดูไม่ได้กินไม่ถึง แบบนั้นมันปวดฟันมากเกินไปแล้วนะ!
ฟู่สีเกอคิดมาได้จนถึงตรงนี้แล้ว ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงเพราะว่ากระหายครั้งสองครั้งในทันที
เฉียวโยวโยวเห็นสายตาเป็นประกายของเขา ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติราวกับว่าถูกหมาป่าหิวโซจับต้องอยู่เลยก็ไม่ปาน
“ขนทั้งร่างของฉันลุกไปหมดแล้วนะคะ!” เฉียวโยวโยวเหลือกตามองบนใส่ฟู่สีเกอ “นี่คุณคิดถึงแต่เรื่องนั้นทั้งวันเลยหรือไงกัน? หึ พวกผู้ชายอย่างพวกคุณบอกว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไรนั้นล้วนแล้วแต่ปลอมทั้งสิ้น คิดถึงแต่เรื่องแบบนั้นสิถึงจะเป็นเรื่องจริง!”
“เป็นจริงทุกอย่างเลยครับ” ฟู่สีเกอจับแขนเอาไว้แน่นขึ้นหลายส่วน ก่อนจะพุ่งเข้าไปที่กกหูของเฉียวโยวโยวแล้วเอ่ยว่า “บอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไงครับ สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ทว่ากลับเป็นสิ่งที่ได้มาแล้วแต่ก็ถูกเอาไปอีกครั้ง ตอนนี้ความรู้สึกของผมเป็นแบบนี้เลยครับ ได้ทานของอร่อยมาแล้วสองครั้ง หลังจากนั้นก็ให้ผมหิวโซมาเช่นนี้โดยตลอด ใกล้จะคลั่งแล้วนะครับ!”
“อ๊ะ!” เฉียวโยวโยวรู้สึกเพียงแค่ว่าเลือกในกายนั้นพุ่งขึ้นที่ศีรษะแล้ว “ฟู่สีเกอ คุณมันเป็นหมาป่าจอมลามก!”
“ที่ไหนกันครับ ผมลามกแค่กับคุณคนเดียวเท่านั้นต่างหาก!” ฟู่สีเกอเอ่ยปลอบประโลมขึ้นมาว่า “คุณโยวโยวเด็กดีครับ คืนนี้ไปอยู่บ้านผมดีไหมครับ?”
พูดไป ก็อาศัยจังหวะในตอนที่เฉียวโยวโยวหมุนตัวเข้ามากระแทกเข้าสู่อ้อมกอดของเขา เขาจึงถือโอกาสขบเม้มเบา ๆ เข้าที่ใบหูของเธอครั้งหนึ่ง
รู้สึกเพียงแค่ว่าที่ใบหูด้านข้างมีกระแสไฟฟ้าที่ไม่อาจห้ามได้ไหลเข้ามาแล้ว แม้กระทั่งอีกเพียงนิดเดียวก็จะถูกดูดอากาศไปทั้งอย่างนั้นเลย ทรวงอกของเฉียวโยวโยวกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งอับอายทั้งตื่นตระหนก
ตามต่อมาด้วย เสียงเพลงในตอนนี้กำลังจะดำเนินมาจนถึงตอนจบแล้ว แต่ทว่าฟู่สีเกอกลับนำเธอให้มีท่าทางชวนขนลุกท่าทางหนึ่งด้วย
ไฟของเธอยังไม่ได้ปลดปล่อยออกไป อีกทั้งยังฉีกรอยยิ้มหวานให้กับทุกคนอีกด้วย
เฉียวโยวโยวสาบานเลย หลังจากที่งานแต่งงานจบลงแล้วจะหาโอกาสกลั่นแกล้งรังแกฟู่สีเกออย่างแน่นอน! เจ้าความคิดอีกครึ่งหนึ่งที่เป็นสัตว์คนนี้!
ในตอนนี้เองหยานชิงเจ๋อและซูสือจิ่น ก็หยุดอยู่ที่ท่วงท่าสุดท้ายแล้วเฉกเช่นเดียวกัน
ในตอนนั้นเอง ที่ลานเต้นรำ เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสองคู่ คู่หนึ่งครึกครื้นดั่งไฟ ส่วนอีกคู่หนึ่งสง่างดงาม ในขณะเดียวกันก็ประทับใจผู้คน ดังนั้นที่ด้านล่างของเวทีจึงเรียกเสียงโหร้องได้ไม่น้อย
พิธีกรหยิบไมโครโฟนขึ้นมาเอ่ยกับทุกคนว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่เปิดฉากงานเต้นรำได้คุ้มค่ามากขนาดนี้ เอาละครับ ลำดับต่อไป ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเต้นรำอย่างสนุกสนานกันเลยดีกว่าครับ!”
หลังจากที่เขาเอ่ยจบลง กลุ่มนักดนตรีในนั้นก็เริ่มบรรเลงเพลงและจังหวะเร็วขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศคึกคักในทันที ดูสนุกสนานกันทั้งหมด!
เพียงแต่ ในตอนที่ผู้คนต่างทยอยกันลุกขึ้นนั้นเอง ในตอนที่กำลังเตรียมตัวจะเต้นรำ จู่ ๆ เดิมที่ฉายรูปภาพของหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินที่อยู่ทางด้านข้างลานเต้นรำซ้ำไปซ้ำมานั้นเอง จู่ ๆ กลับดำมืดไปทั้งหมดก่อนจะมีภาพคลื่นสีเทาดำขึ้นมาแทน เสียงดนตรีถูกกลบด้วยเสียงของกระแสไฟที่ดังสนั่นแทน
เรียวคิ้วของสือมูเฉินขมวดกันแน่นในทันที หัวใจรู้สึกว่ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ภาพคลื่นสีเทาดำนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแทนที่ด้วยภาพถ่ายใบหนึ่งของสือมูเฉิน อีกทั้งในเสียงนั้นเอง ก็มีเสียงของผู้ชายที่ถูกดัดแปลงดังขึ้นมาว่า “ทุกท่านครับ เชื่อว่าทุกท่านคนจะรู้นะครับ ว่าคนสำคัญของงานแต่งงานในวันนี้อย่างสือมูเฉิน เป็นประธานบริหารของ Times Group ใช่ไหมครับ?”
ถึงแม้ว่าเสียงจะถูกดัดแปลง แต่ทว่า ในตอนที่เสียงนั้นดังขึ้นในที่นี้ สือมูเฉินก็รับรู้ได้ทันที ว่าใครเป็นคนทำ
มั่วหลิงชวน
ตั้งแต่ต้นจนจบ มั่วหลิงชวนคิดอยากที่จะเปิดเผยสถานะของเขามาโดยตลอด แต่ทว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะธนาคารมั่วซื่อกรุ๊ป เขาจึงเงียบหายไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ทว่ากลับคิดไม่ถึงเลย ว่าเขาจะเลือกมาโจมตีในช่วงเวลานี้!
เพียงแค่ การติดตั้งในวันนี้และคฤหาสน์โดยรอบทั้งหมดถูกติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ก่อนหน้านี้หมดแล้ว มั่วหลิงชวนเข้ามาได้อย่างไรกันนะ?
ถึงแม้ว่าสือมูเฉินจะสงสัยเป็นอย่างมากก็ตาม แต่ทว่า ฝีเท้ากลับมีปฏิกิริยาตอบกลับไปก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพุ่งไปยังหลังเวที
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ภาพบนหน้าจอกว้าง มีตั้งแต่รู้ภาพที่เป็นทางการของสือมูเฉิน แปรเปลี่ยนไปจนถึงภาพถ่ายของเขาในตอนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยของประวัติการทำงาน
น้ำเสียงของมั่วหลิงชวนแปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นเต้นเล็กน้อย “ภาพถ่ายประวัติการทำงานนี้ สามารถพูดไปเลยนะครับว่าเป็นสิ่งของที่บัณฑิตจบใหม่ทุกคนใฝ่ฝันกันเป็นอย่างมาก แต่ทว่า นี่กลับไกลไม่พอ เป็นเพราะว่า ประวัติการทำงานของสือมูเฉินของพวกเรานั้นน่ะ ถึงจะเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจล้ำค่าเป็นอย่างมากจริง ๆ เลยต่างหากละครับ เป็นหนังสือของการทำงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด!”
หยานชิงเจ๋อในตอนนี้เดาถึงคนคนนี้ออกแล้ว เขารีบไปที่หลังเวที ก่อนจะพุ่งเข้าไปตัดแหล่งไฟ แต่ทว่า เป็นเพราะว่าการเปิดและการปิดที่นี่นั้นต้องใช้รีโมท ตอนนี้รีโมทกลับหาไม่เจอ อีกทั้งอุปกรณ์ทั้งหมดก็ยังมีไฟสำรองอีกด้วย เป็นเพราะว่าเพื่อป้องกันสถานการณ์เป็นพิเศษ ดังนั้นแล้วตอนนี้ ถึงเป็นช่วงเวลาที่เข้าทางมั่วหลิงชวนทั้งหมด
หลานเสี่ยวถางถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่ามั่วหลิงชวนจะพูดถึงอะไรในตอนสุดท้าย แต่ทว่า เธอเองก็คาดเดาได้ถึงเขาที่กำลังจะป่าวประกาศสถานะของสือมูเฉินอีกสถานะหนึ่งได้แล้ว
ถึงแม้ว่าเจ้าสถานะนี้ หลานเสี่ยวถางเองก็อยากรู้เป็นอย่างมาก แต่ทว่า ในเมื่อสือมูเฉินไม่ได้เอ่ยถึง แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลที่ไม่พูดแน่ ๆ เธอก็จะเชื่อ จะเชื่อเขาอย่างไร้ข้อกังขา อีกทั้งจะทำลายต้นเหตุที่จะสามารถป่าวประกาศนี้ไปทั้งหมดด้วย!
เธอหมุนตัวกลับไป ก่อนจะผ่านกลุ่มคนมากมายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง ที่ข้างใบหูก็ได้ยินเสียงของเย่เหลียนอีดังขึ้นมาว่า “ถางถาง พ่อของลูกเขากำลังใช้อุปกรณ์ทางการทหารรบกวนระบบอยู่จ้ะ ให้เขาเปิดระบบเร็วเข้า!”
เป็นในตอนที่หลานเสี่ยวถางวิ่งเข้าไปหาหลานเซี่ยวเฉิงนั้นเอง มั่วหลิงชวนก็เอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ทำไมถึงพูดออกมาแบบนี้งั้นหรือครับ? เป็นเพราะว่า คุณสือมูเฉินนั้น ยังมีอีกสถานะหนึ่งนะสิครับ ถ้าหากผมพูดออกมาแล้วละก็ ทุกคนก็คงจะต้องตกตะลึงและต้องขอคำแนะนำจากสถานะนั้นแน่นอนเลยครับ แล้วก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาฮุบ Times Group มาจากน้ำมือของพี่ใหญ่ของเขาได้อย่างรวดเร็วมากขนาดนั้นด้วย!”
น้ำเสียงของเขาชัดเจนมาก เพียงพอต่อความต้องการของทุกคน “เป็นเพราะว่าสือมูเฉินคือ——”