บทที่ 317 เรียกผู้อาวุโสมา

“ไม่ใช่แค่อาชิง เพราะข้าสั่งให้เด็ก ๆ ทุกคน ถึงเวลาจะออกจากเมืองหลวงค่อยไปเอา เช่นนี้อยู่บ้านพวกเขาก็สามารถเล่นไซอิ๋วได้แล้ว”

เผยยวนประสานมือกับนาง พลางเอ่ยเสียงเบา “แล้วข้าเล่า”

จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นพลางกวาดตามอง ก่อนจะถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าเล่นกับข้ายังไม่พออีกหรือ?”

“…” เซียวผิงที่ได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินเข้า ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าเช่นไรดี

ทางด้านฮวาเส้าจงก็จูงมือฮวาเซียงเซียงเข้าไปข้างใน พลางพิจารณาเซียวเย่เจ๋อที่เดินตามมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นระยะ จนเข้ามานั่งในห้องโถงแล้ว กลับไม่พูดอะไร จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวลิ่วจื่อและอาอู๋ออกไปข้างนอกด้วยกัน

ฮวาเซียงเซียงชะโงกตัวเข้าไปต้องการจะแอบฟัง แต่กลับถูกฉินต๋าขวางเอาไว้

“เซียงเอ๋อร์ อย่าดื้อ”

ฮวาเซียงเซียงเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าเซียวเย่เจ๋อพลางเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “อีกเดี๋ยวถ้าข้าขยิบตา หรือมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็หนีไปได้เลย เข้าใจหรือไม่?”

เซียวเย่เจ๋อสงสัย “เพราะอะไร? ข้าแค่เอาของขวัญมาคารวะเองนะ”

“ชิ อย่างไรเสียก็ฟังที่ข้าพูด ไม่อย่างนั้นขาข้างนี้ของเจ้าก็อย่าคิดที่จะเก็บเอาไว้อีกเลย”

เซียวเย่เจ๋อถูกนางขู่ก็นึกกลัวขึ้นมา

“พ่อเจ้าจะตีข้าจริงหรือ?”

“ข้าล้อเจ้าเล่นอยู่หรืออย่างไร?” ฮวาเซียงเซียงนั่งลงเงียบ ๆ เริ่มหมุนนิ้วด้วยความกระวนกระวายใจ

จี้จือฮวนกับเผยยวนยังคงดูรายละเอียดของน้ำตาลปั้นอย่างตั้งใจ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่ได้สนใจพวกเขาเพราะไม่เกี่ยวกับตัวเอง อีกอย่างนี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวคนอื่นไม่เหมาะที่จะเข้าไปยุ่ง ลูกเขยมาบ้านลำบากหน่อยจะเป็นอะไรไป

ฮวาเส้าจงไม่นานก็กลับมาจริง ๆ ทว่าในมือกลับถือแส้ม้ามาด้วย

เซียวเย่เจ๋อเห็นดังนั้นก็ไม่มีท่าทางเฉลียวฉลาดเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว พลางลุกขึ้นยืนทันที ฮวาเส้าจงหรี่ตาลง “เซียวซื่อจื่อลุกขึ้นทำไมกัน ผู้มาเยือนเป็นแขก เชิญนั่งเถอะ”

เอ่ยจบก็ตบลงบนบ่าของเซียวเย่เจ๋อ ทำให้ร่างของเขาพลันไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะมีเซียวผิงประคองหลังอยู่ล่ะก็ ดูท่าคงจะทรุดลงไปคุกเข่าแล้วเป็นแน่

“ผู้น้อยยืนก็พอขอรับ”

เผยยวนเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นมา “ข้ากับฮวนฮวนขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนนะขอรับ ขออภัยหัวหน้าฮวา”

ท่าทีที่ฮวาเส้าจงมีต่อเผยยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเดินไปส่งทั้งสองคนที่ประตูห้องโถงด้วยตัวเอง เมื่อหันหน้ากลับมาเห็นสายตาเว้าวอนของเซียวเย่เจ๋อ ก็แค่นเสียงหนัก ๆ ออกมา

เขาโยนแส้ลงบนโต๊ะน้ำชา “เซียวซื่อจื่อมาวันนี้ ข้ายังไม่ทราบว่าท่านมาในฐานะอะไร ขอเซียวซื่อจื่อพูดมาให้ชัดเจนด้วย”

ฮวาเซียงเซียงอยากจะเอ่ยแทรก ฮวาเส้าจงกลับจ้องนางเขม็ง “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

ฮวาเซียงเซียงอยู่บ้านต่อให้ถูกตามใจจนเหลิงเพียงใด แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องเชื่อฟังแต่โดยดี

เซียวผิงยังคงประคองเซียวเย่เจ๋อเอาไว้ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ยืนเองได้ จากนั้นก็คารวะอย่างเป็นทางการ “ความจริงแล้วเซียวเย่เจ๋อมาเพื่อสู่ขอขอรับ”

“สู่ขอ! หิ้วของมาเท่านี้คิดจะมาสู่ขอได้แล้วหรือ! เจ้าเห็นลูกสาวข้าเป็นอะไรกัน!” ฮวาเส้าจงตะโกนออกมา

ฮวาเซียงเซียงกระทืบเท้า “โอ๊ย ท่านพ่อ เป็นข้าที่ให้เขามาเอง เขาบอกข้าแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าตอบตกลงแล้วหรือ?!”

“เปล่าเจ้าค่ะ ต้องดูความจริงใจก่อน”

ฮวาเส้าจงมีสีหน้าอ่อนลง “เจ้ายังไม่ได้ตอบตกลงก็เข้าข้างคนนอกเสียแล้ว อีกอย่างใครเขามาสู่ขอด้วยตัวเองกัน แม่สื่อเล่า? ผู้อาวุโสในบ้านเล่า ทำเช่นนี้ดูถูกกลุ่มกองเรือของเราหรืออย่างไร?”

“ที่บ้านมีผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่อยู่ในเมืองหลวง วันนี้เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน นางยัง…”

“ผู้อาวุโสเพียงคนเดียวเช่นนั้นก็ถือเป็นผู้อาวุโส ข้าฮวาเส้าจงรอได้ ขึ้นอยู่กับจวนอู่อันโหวของเจ้าแล้ว ว่าจะยอมให้นางมาพบข้าหรือไม่”

เซียวเย่เจ๋อทำอะไรไม่ได้ จึงให้เซียวผิงรีบไปที่สำนักศึกษาเพื่อรับหย่งหนิงมาบราวนี่ออนไลน์

สักพักก็ได้ยินว่าอาหญิงของเซียวเย่เจ๋อมาแล้ว

ฮวาเส้าจงลุกขึ้น “ข้าจะไปรับด้วยตัวเอง”

“ความจริงไม่ต้องก็ได้ขอรับ นางไม่ได้วางมาดอะไรขอรับ” เซียวเย่เจ๋อปาดเหงื่อบนหน้าผาก

“หึ มารยาทเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ แม้ข้าจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ข้าก็รู้เรื่องกฎระเบียบดี” ในเมื่อเป็นเรื่องการแต่งงานของสองตระกูล ลูกสาวเขาถูกเจ้าเด็กนี่เอาเปรียบไปแล้ว หากปล่อยคนดูแคลนฮวาเซียงเซียง เช่นนั้นพ่ออย่างเขาจะไปพบแม่ของลูกที่ปรโลกได้อย่างไรกัน?

เซียวเย่เจ๋อจำต้องกลืนคำพูดลงคอไป ความจริงแล้วท่านแค่ยกของว่างมาให้เล็กน้อย ก็คุยกับผู้อาวุโสคนนี้ของพวกเราได้แล้ว ท่านหน้าตาดุดันเช่นนั้น อาจทำให้ท่านอาหญิงของเราตกใจจนร้องไห้ก็เป็นได้

เมื่อคนทั้งกลุ่มมาถึงที่หน้าประตู ฮวาเส้าจงก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น

เขาจึงเดินลงบันไดไปรับด้วยตัวเอง ก่อนจะประสานมือแล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มีสาเหตุ ขอท่านหญิงได้โปรดอภัยและลงจากรถม้าด้วยขอรับ”

หลังจากพูดไปได้สักพักก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากภายในรถม้า ฮวาเส้าจงขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดว่าจวนอู่อันโหวต้องการแสดงอำนาจกับตนหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง ครอบครัวเช่นนี้ไม่นับเป็นญาติก็ไม่น่าเสียดายอะไร

ขณะที่ฮวาเส้าจงเฝ้ารอเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ภายในรถม้าก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว

มีหญิงชราผู้หนึ่งลงมาก่อน หน้าตายิ้มแย้มท่าทางใจดีและสุภาพ ฮวาเส้าจงเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสท่าทีก็ดีขึ้นหลายส่วน “ท่านหญิงได้โปรดระวังด้วย”

แม่นมเจียงรีบปัดมือไปมาแล้วเอ่ยขึ้น “มิใช่เจ้าค่ะ ข้าแซ่เจียง ท่านเรียกข้าว่าแม่นมเจียงก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

ฮวาเส้าจงเริ่มไม่พอใจท่านหญิงจวนอู่อันโหวที่วางมาดผู้นี้ขึ้นมาแล้ว ขณะกำลังจะสะบัดแขนเสื้อจากไป รองเท้าปักเล็ก ๆ ข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในรถม้า จากนั้นก็ตามมาด้วยมือเล็ก ๆ คู่หนึ่ง สุดท้ายก็เป็นจุกผมเล็ก ๆ สองจุก

ฮวาเส้าจงคิ้วกระตุกขึ้นมาทันที เหตุใดมาเป็นแขกถึงยังพาเด็กมาด้วยอีก

หย่งหนิงเปิดม่านออก กะพริบตาเล็กน้อยและมองไปที่ประตู ก่อนจะยื่นมือไปทางเซียวเย่เจ๋อ “อุ้ม ๆ”

เซียวเย่เจ๋อรีบรับเด็กน้อยมา เห็นหมึกสีดำบนฝ่ามือของนางก็เอ่ยขึ้น “เหตุใดถึงสกปรกเช่นนี้”

“วันนี้อาจารย์สอนข้าเขียนพู่กันก็เลยเปื้อนเช่นนี้ แล้วที่นี่คือที่ใดกัน?”

เซียวเย่เจ๋อชี้ไปที่ฮวาเซียงเซียง “บ้านพี่สาวฮวาของเจ้าอย่างไรเล่า”

หย่งหนิงไม่เคยเห็นฮวาเซียงเซียงแต่งตัวเป็นบุรุษมาก่อน นางจึงปิดปากแล้วเอียงคอหัวเราะ “พี่สาวฮวากลายเป็นพี่ชายฮวาไปแล้ว”

ฮวาเส้าจงรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้น่ารักน่าชัง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าท่านอาเจ้าเหตุใดถึงยังไม่ลงมาจากรถม้าอีก? ไม่เห็นกองเรือของเราอยู่ในสายตาหรืออย่างไร”

หย่งหนิงหันขวับไปมองเขาทันที “ท่านถามหาข้าหรือ?”

ฮวาเส้าจงกับฉินต๋าสบตากัน “เจ้าเป็นอาหญิงของเจ้าเด็กนี่หรือ?”

“อืม!” สาวน้อยสูดน้ำมูกเล็กน้อย “ข้าชื่อหย่งหนิง”

ของว่างหลากหลายของเจียงหนานวางอยู่เต็มโต๊ะ ฮวาเส้าจงยิ้มจนตาหยี พลางเอ่ยกับหย่งหนิงน้อยด้วยความเอ็นดู “กินตามสบายนะ”

เท้าเล็ก ๆ ของหย่งหนิงกวัดแกว่งในอากาศ “ท่านอา หลานโง่ของเราทำเรื่องไม่ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

แน่นอนว่าฮวาเส้าจงอยากจะต่อว่าและแจกแจงออกมาเป็นข้อ ๆ ให้พวกเขาฟัง แต่ผู้อาวุโสของตระกูลเซียวที่มาทำให้คนพูดไม่ออก ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลานั้นตอนที่เลี้ยงลูกสาว

“หลานชายเจ้าชอบทำเรื่องไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว เขาโง่มากเลย”

ฮวาเส้าจงสีหน้าเข้มขึ้น เซียวเย่เจ๋อได้แต่เอามือปิดหน้า

“แต่เขาก็เป็นหลานที่ดีมาก สหายร่วมชั้นข้าไม่มีใครมีหลานเลย มีข้าแค่คนเดียวที่มีหลาน” หย่งหนิงเชิดหน้าขึ้น “เขายังเปลี่ยนเอี๊ยมให้ข้า เล่นเป็นเพื่อนข้าด้วย ท่านอาอย่ารังแกเขาเลยนะเจ้าคะ”

เด็กน้อยออกตัวแทนเซียวเย่เจ๋อด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม แม้ฮวาเส้าจงจะโมโหเพียงใดก็ต้องพยายามใจเย็นลง

“ได้ ๆ ๆ ไม่รังแก”

“ท่านอาเป็นคนดีจริง ๆ เลยเจ้าค่ะ รอข้ากลับไปถึงจวนแล้วจะบอกท่านพี่ให้เอาหลานโง่ผู้นี้แต่งเข้าบ้านพวกท่านก็แล้วกันนะเจ้าคะ!”

หย่งหนิงเอ่ยพลางก็กัดของว่างไปหนึ่งคำ ก่อนจะยิ้มหวานออกมา

พร้อมกับจดลงในสมุดบันทึกเล็ก ๆ ที่อยู่ในใจของนางว่า : วันนี้ข้าก็เป็นผู้อาวุโสที่ดีมาก!

.

.

.