บทที่ 318 คนเฝ้าประตูค่ายองครักษ์ลับ

จี้จือฮวนกลับห้องไปเปลี่ยนชุดของตัวเอง รอเมื่อมีคนมาเรียกไปกินข้าว จึงได้ออกไปพร้อมเผยยวน

เดิมคิดว่าเซียวเย่เจ๋อเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีเลือดตกยางออก ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อไปถึง เจ้าเด็กนี่กำลังแกะเมล็ดทานตะวันอย่างมีความสุข ส่วนทางด้านนั้น หย่งหนิงกำลังเล่นเชือกหรรษาอยู่ เสี่ยวลิ่วจื่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็ถือตุ๊กตาตัวใหญ่กำลังหยอกล้อเด็กน้อยไปด้วย

เซียวเย่เจ๋อทำสีหน้าภูมิใจราวกับกำลังจะบอกว่า เป็นอย่างไร อาหญิงข้าช่วยออกหน้าทุกอย่างย่อมเรียบร้อย!

จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เขา “เรียบร้อยแล้วหรือ?”

เซียวเย่เจ๋อส่ายหน้า “ข้าจะต้องพยายามด้วยตัวเองมากกว่านี้ แต่จะไม่ใช้วิธีการฉวยโอกาสเด็ดขาด”

เฮอะ พูดซะน่าฟัง แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่เอาหย่งหนิงออกมา

โชคดีที่มีหย่งหนิงอยู่ด้วย จึงทำให้ทุกคนกินอาหารมื้อนี้กันอย่างมีความสุข

กินข้าวเสร็จฮวาเส้าจงก็เริ่มไล่คน แม้ว่าจะยินดีให้หย่งหนิงอยู่ต่อ แต่ลูกเขยที่จู่ ๆ ก็โผล่มาอย่างเซียวเย่เจ๋อยังต้องฝึกอีกมากนัก! อย่าคิดว่าวันแรกราบรื่นก็จะสามารถอยู่ค้างได้

กว่าฮวาเซียงเซียงจะส่งคนกลับไปเสร็จ เมื่อกลับเข้ามาเห็นการแต่งตัวของจี้จือฮวนกับเผยยวนก็เอ่ยถามขึ้น “พวกเจ้าสองคนจะออกไปข้างนอกหรือ?”

เพราะเผยยวนถึงกับพกอาวุธด้วย

จี้จือฮวนเองก็ไม่ได้ปิดบังนาง “อืม ที่พวกเรามาเมืองหลวงเรื่องแรกก็คือมาดูร้าน ในเมื่อเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ควรไปทำเรื่องอื่นต่อได้แล้ว”

ฮวาเซียงเซียงสงสัย “เรื่องอะไรต้องพกอาวุธไปด้วย อันตรายอย่างนั้นหรือ?”

ฮวาเส้าจงเมื่อได้ยินว่ามีอันตราย ก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง “พายอดฝีมือของกองเรือข้าไปด้วย

อย่าปฏิเสธ หากปฏิเสธจะถือว่าเจ้าไม่เห็นพี่น้องกองเรือของเราเป็นคนในครอบครัว”

พูดมาขนาดนี้แล้ว หากทั้งสองคนยังคงยืนกรานปฏิเสธอีกล่ะก็ เกรงว่าคงจะต้องแตกหักกับฮวาเส้าจงเป็นแน่

ฉินต๋าจึงไปเลือกมือดีมายี่สิบคน โดยที่เผยยวนกับจี้จือฮวนขี่ม้าตัวเดียวกัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางประตูเมือง

อู๋ซิ่วกำลังเก็บสัมภาระอยู่ เขารอคำสั่งจากหัวหน้าไม่ไหวแล้ว คืนนี้เขามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น จึงอยากจะรีบเดินทาง ทว่าสุดท้ายเพิ่งจะออกมาจากห้องเล็ก ๆ ที่ใช้สำหรับพักผ่อน ก็เห็นเผยยวนพาคนพุ่งออกประตูเมืองไปแล้ว…

???

แม่จ๋า ไม่กลับบ้านแล้วดีกว่า หนีไปเลยเถอะ!

ข่าวที่เผยยวนกลับมาเมืองหลวง เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ไปคุยกับกลุ่มกองเรือกลับมา ก็ได้มารายงานให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินทราบทันที

แต่ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังทำตามที่ราชครูกำชับอยู่ โดยพักผ่อนให้จิตใจสงบ ดังนั้นจึงสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าเฝ้า

ค่ายองครักษ์ลับทหารเกราะเหล็กอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เพื่อความสะดวกเมื่อนายท่านเรียกตัวและเคลื่อนพลได้ตลอดเวลา หากไม่ติดตามกองทัพก็จะมีคนประจำการอยู่ในค่ายเสมอ

ทว่าค่ายองครักษ์ลับในเวลานี้กลับไร้ผู้นำ คนที่ส่งออกไปล้วนไม่มีใครกลับมา

ท่ามกลางกองไฟ ใบหน้าของแต่ละคนล้วนเฉยชาอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่รอแล้ว ในเมื่อได้ข่าวว่าไปที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน พวกเราแค่บุกไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”

“ส่งคนออกไปมากมายเพียงนั้น ทว่าไม่มีใครกลับมาแม้แต่คนเดียว เจ้ายังจะไปดูอีกหรือ? ข้าว่าพวกเราตอนนี้แม้แต่นายก็ไม่มีแล้ว ไม่สู้แยกย้ายไปตามทางของตัวเองจะดีกว่า”

ความจริงแล้วความคิดนี้ เขาไม่ใช่คนแรกที่พูดออกมา

หลังจากเผยเกอตาย คนของค่ายองครักษ์ลับส่วนใหญ่ล้วนถูกชักจูงให้ทำงานให้กับเซี่ยฉงฟาง ต่อมาหลังจากเผยยวนเกิดเรื่องก็ยิ่งไม่มีที่ยึดเหนี่ยว คนที่ภักดีต่อเผยยวนก็ล้วนถูกเซี่ยฉงฟางฆ่าตาย หากพวกเขารออย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ต่อไป ความสามารถที่มีคงเสียเปล่าแล้ว

“พวกเรามีฝีมือเพียงนี้ออกไปพึ่งตระกูลใดย่อมได้ทั้งนั้น เหตุใดต้องทนรับความอยุติธรรมของตระกูลเผยด้วย ไปกันเถอะ”

เมื่อมีคนหนึ่งลุกขึ้นมา ก็ย่อมมีคนต่อ ๆ ไป

“เฮอะ” มีเสียงเยาะเย้ยดังมาจากหลังคา ทุกคนดูเหมือนจะชินเสียแล้วจึงไม่ได้สนใจ แต่เมื่อพวกเขาจะออกไปจริง ๆ สาวน้อยที่นั่งอยู่บนหลังคาก็ขว้างดาบเล่มใหญ่ลงกับพื้น

“องครักษ์ลับหากทรยศต้องถูกสังหาร!”

นางดูอายุยังน้อยและดูผอมบางกว่าสตรีทั่วไป แถมไว้ผมสั้นทรงแปลก ๆ ใบหน้าไม่มีอะไรโดดเด่น ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายอย่างน่าอัศจรรย์

แต่หากคิดว่านางเป็นเด็กน้อยน่ารักเช่นนั้นก็คิดผิดมหันต์แล้ว เห็นดาบใหญ่ที่นางถือก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่าย ๆ

“เผยเสี่ยวเตา เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนัก ทุกคนล้วนเป็นคนของค่ายองครักษ์ลับ ปกติพวกเราไม่อยากถือสาเจ้า ดังนั้นเพื่ออนาคต การจะแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเองมีอะไรที่ผิดกัน!”

“ถุย พวกเจ้าไม่อยากจะถือสาข้าอย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะสู้ข้าไม่ได้มากกว่า อดทนกับข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าต่างหากที่อดทนกับพวกเจ้ามานานแล้ว ค่ายองครักษ์ลับแซ่เผยไม่ได้แซ่เซี่ย พวกเจ้าติดตามเซี่ยฉงฟางสังหารพี่น้องมากมายเพียงนั้น ตอนนี้คิดจะแยกตัวออกจากค่ายองครักษ์ลับ วันนี้ต่อให้ต้องตายพวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่”

“หากสู้ตัวต่อตัวอาจจะไม่สามารถชนะเจ้าได้ก็จริง เพราะเจ้าเป็นสุนัขเฝ้าประตูของค่ายองครักษ์ลับ แต่พวกเรามีคนมากเพียงนี้ เจ้ามีความมั่นใจกี่ส่วนกัน”

“ข้าบอกแล้ว ต่อให้ต้องตายพวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่!”

นับตั้งแต่ที่นางเข้ามาในค่ายองครักษ์ลับ ถูกเผยเกออุ้มไว้แนบอก พลางชี้ไปทางเผยยวนแล้วบอกนางว่าต้องปกป้องนายน้อยไปชั่วชีวิต เฝ้าประตูค่ายองครักษ์ลับให้ดี นางก็ไม่เคยคิดที่จะจากไป!

ยี่สิบกว่าปีแล้ว นางไม่เคยจากค่ายองครักษ์ลับไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียวจริง ๆ คนเหล่านี้บ้างก็จากไป บ้างก็หนีไป แต่นางไม่ เผยเสี่ยวเตาจะภักดีต่อตระกูลเผยชั่วชีวิต!

“เลิกพูดเหลวไหลกับนางได้แล้ว พวกเราบุก!”

เอ่ยจบ องครักษ์ลับกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวเตาทันที

นางเหวี่ยงดาบใหญ่ขึ้น เศษหินบนพื้นทำให้เกิดคลื่นตามทิศทางของคมดาบ ทุกกระบวนท่าล้วนหมายถึงชีวิต

องครักษ์ลับมักทำงานยามค่ำคืน จึงเน้นการใช้อาวุธลับและวิชาตัวเบา การสอดแนมและสะกดรอยตาม ดังนั้นจึงไม่มีใครเรียนการใช้อาวุธระยะประชิดเช่นนี้ จึงมีเพียงเผยเสี่ยวเตาคนเดียวเท่านั้น ในฐานะคนเฝ้าประตูค่ายองครักษ์ลับ หลังจากนางเข้าประตูนี้มาก็ไม่เคยลงเขาอีก นางไม่รู้จักโลกภายนอก นางรู้แค่ว่าต้องเฝ้าประตูของค่ายองครักษ์ลับเอาไว้

แม้แต่เซี่ยฉงฟางก็ยังไม่กล้าทำอะไรนาง แต่ความดื้อรั้นของนางก็ทำให้คนพูดไม่ออกจริง ๆ

ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ หากพวกเขาบุกพร้อมกัน เผยเสี่ยวเตาต้องตายอย่างแน่นอน หากฆ่าคนเฝ้าประตูแล้ว นับแต่นี้ไปโลกนี้ก็จะไม่มีค่ายองครักษ์ลับอีก

หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ หลังจากองครักษ์ลับที่ภักดีต่อตระกูลเผยกลุ่มนั้นตายไป ค่ายองครักษ์ลับเดิมก็เหลือเพียงชื่อเท่านั้น

ดาบใหญ่จะต่อกรกับคนมากมายได้อย่างไร? แค่พละกำลังก็ไม่สามารถเทียบได้แล้ว ไม่นานบนกายของเผยเสี่ยวเตาก็มีรอยแผลมากมาย แต่แผ่นหลังของนางยังตั้งตรง ตระกูลเผยไม่มีคนไม่ได้เรื่อง เผยเสี่ยวเตาเองก็ไม่ใช่คนเช่นนั้น

ผมของนางยุ่งเหยิงปิดคิ้วและตา นางยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่ไหลลงมาจากมุมปาก “ต่อ! ข้ายังไหว!”

“รนหาที่ตาย!” มีคนลอบจู่โจมจากทางด้านหลัง โดยเล็งไปที่หัวของนาง

แต่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น ดาบสังหารก็แหวกสายลมมา เผยยวนพลิกข้อมือ มือข้างหนึ่งดึงเผยเสี่ยวเตาที่สูงยังไม่ถึงหน้าอกของเขาขึ้นมาด้วย และยืนตระหง่านบนป้ายศิลาของค่ายองครักษ์ลับ

ส่วนคนที่ลอบโจมตีเมื่อครู่ ทันทีที่เผยยวนเตะปลายเท้า หัวก็หลุดออกจากบ่าทันที ก่อนจะล้มลงไป

“ท่านแม่ทัพ!?”

เลือดหยดหนึ่งไหลลงมาจากดาบสังหาร เผยเสี่ยวเตาเอ่ยด้วยความดีใจ “เสี่ยวเผย!”

“บาดเจ็บก็ควรอยู่นิ่ง ๆ” เผยยวนแม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

จี้จือฮวนมาช้าไปหนึ่งก้าว เวลานี้เผยเสี่ยวเตาราวกับสูญเสียพละกำลังไปทั้งหมด นางนั่งอยู่ใต้ป้ายศิลา โดยที่ดาบใหญ่เต็มไปด้วยเลือด นางมีสภาพสะบักสะบอมอย่างมาก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมองมาที่จี้จือฮวน ก่อนจะยกยิ้มให้กับนาง

.

.

.