บทที่ 319 สร้างค่ายองครักษ์ลับขึ้นมาใหม่

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 319 สร้างค่ายองครักษ์ลับขึ้นมาใหม่

คมดาบสังหารส่องประกายเย็นเยียบภายใต้แสงจันทร์ เผยยวนไม่ลังเลแม้แต่น้อย พุ่งเข้าสังหารกลุ่มคนทรยศทันที

ยอดฝีมือที่พามาจากกองเรือไม่นานก็เข้าร่วมในการต่อสู้ด้วย

ค่ายองครักษ์ลับถนัดเรื่องการหลบหนี เมื่อพุ่งมาทางหน้าประตูก็พบกับจี้จือฮวน

สตรีผู้นี้เผยยวนเป็นคนพามา และดูเหมือนไม่มีกำลังภายในใด ๆ เป็นโอกาสเหมาะที่จะลงมือ

เสี่ยวเตาเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่ามีคนพุ่งเข้ามาจู่โจมก็เอ่ยเตือนขึ้นเบา ๆ “ระวัง!”

จี้จือฮวนสอดมือเข้าใต้รักแร้ของเสี่ยวเตา ลากนางไปยังที่ปลอดภัย ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เตะอาวุธลับจนกระเด็น และเอื้อมมือไปคว้าโซ่เหล็กที่ฟาดมาจากอีกด้านหนึ่งเอาไว้

กรงเล็บเหล็กที่ได้มาจากจื่อเยว่ได้เอาออกมาใช้ประโยชน์พอดี นางเอาโซ่เหล็กที่เป็นอาวุธของอีกฝ่ายไปวนรอบเสาหินที่ประตู เพื่อลากคนผู้นั้นเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างแทงเข้าไปในกระดูกไหปลาร้าของอีกฝ่าย

การเคลื่อนไหวของจี้จือฮวนทั้งคล่องแคล่วและปราดเปรียว แม้แต่องครักษ์ลับเหล่านี้ก็คาดไม่ถึง สตรีผู้นี้ไม่มีกำลังภายในแต่กลับเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้ยอดเยี่ยม เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นครั้งแรก

อีกทั้งวิธีการต่อสู้ก็ยังโหดเหี้ยม เป็นวิชาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้เลยว่าขั้นต่อไปนางจะใช้กระบวนท่าใดอีก

“รนหาที่ตายนัก!” ลอบโจมตีไม่สำเร็จทั้งยังได้รับบาดเจ็บ องครักษ์ลับจึงตะโกนด้วยความโกรธ และโจมตีจี้จือฮวนอีกครั้ง

“คำพูดนี้เก็บไว้บอกกับตัวเจ้าเองเถอะ!” กรงเล็บเหล็กอีกข้างของจี้จือฮวนตวัดไปที่ข้อศอกของเขา หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าก็บินโฉบลงมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง ก่อนจะจิกลูกตาของอีกฝ่ายไปทันที

ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังโกรธแค้น จี้จือฮวนก็ใช้ดาบของทหารฟันคอของเขา

เผยยวนที่อยู่ไกลออกไปเห็นดังนั้น จึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

องครักษ์ลับล้มลงมากขึ้นเรื่อย ๆ เลือดไหลลงมาตามขั้นบันไดหิน จนคนสุดท้ายตายลงตรงหน้าดาบสังหาร เผยยวนจึงได้หยุดลง

จี้จือฮวนถอดกรงเล็บเหล็กออก พลางคิดว่าจะเอากลับไปทำคู่ที่พอดีกับมือของนางอีกสักคู่ ทางที่ดีควรใส่ยาพิษเข้าไปในซอกเล็บด้วย ไม่อย่างนั้นนางที่อยู่ในโลกนิยายไม่มีกำลังภายในจะเสียเปรียบอย่างมาก

คนของกองเรือช่วยลากศพออกไป จี้จือฮวนจึงได้หยิบกล่องยาน้อยออกมา ห้ามเลือดให้เสี่ยวเตา

เสี่ยวเตาไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด นางเพียงจ้องมองจี้จือฮวนตลอดเวลา ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เจ็บหรือไม่?” จี้จือฮวนมองนางเล็กน้อย การเย็บบาดแผลที่แม้แต่ผู้ชายก็ไม่แน่ว่าจะรับไหว แต่นางกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แม้แต่น้อย

“ไม่เจ็บ” เสี่ยวเตาหัวเราะออกมา “ข้าไม่มีความรู้สึกตั้งแต่เด็กแล้ว”

จี้จือฮวนชะงักไปเล็กน้อย “ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหรือ?”

เสี่ยวเตาพยักหน้ารับ “เหล่าเผยบอกว่าเป็นเพราะสวรรค์สงสารข้า ไม่อยากเห็นข้าทรมาน”

จี้จือฮวนใจอ่อนยวบ “เขาพูดถูกแล้ว”

“เจ้าเป็นภรรยาของเสี่ยวเผยหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นสตรีอยู่ข้างกายเขา ทั้งยังไม่ใช่เซี่ยฉงฟางสตรีสารเลวนั่นอีกด้วย”

“ใช่ ข้าเป็นภรรยาของเขา”

รอยยิ้มของเสี่ยวเตาเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม “ข้าเห็นเจ้าแวบแรกก็รู้ว่าเจ้าเหมาะกับเสี่ยวเผยมาก การแต่งงานครั้งนี้ข้าอนุญาตแทนเหล่าเผยเอง”

นางเพิ่งจะเอ่ยจบก็ถูกเผยยวนดีดหน้าผากไปหนึ่งที เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นสนิทสนมเพียงใด

“บาดเจ็บเช่นนี้แล้วยังไม่หุบปากอีก”

เสี่ยวเตาทำท่าจะกัดเขา แต่ก็สงบลง “พวกเขาตายหมดแล้วหรือ?”

“ตายหมดแล้ว” เสียงของเผยยวนเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“ข้าว่าวรยุทธ์ของเจ้าดีกว่าเมื่อก่อนเสียอีก พวกเขาตายไปก็ดีแล้ว” เสี่ยวเตาเอ่ยจบก็ยิ้มออกมา “อีกเดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปที่หนึ่ง”

เผยยวนสงสัย มองแขนที่เต็มไปด้วยบาดแผลของนางแล้วเอ่ยขึ้นมา “รักษาบาดแผลก่อนเถอะ”บราวนี่ออนไลน์

เขานั่งลงข้าง ๆ จี้จือฮวน พลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากหนึ่งที

“ได้รับบาดเจ็บหรือ?”

“แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น” เผยยวนกลัวนางไม่เชื่อ จึงพับแขนเสื้อขึ้นให้นางดู “ฮูหยินวางใจ แค่นิดหน่อยเท่านั้น”

จี้จือฮวนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อีกเดี๋ยวข้าจะทำแผลให้เจ้า เจ้าช่วยไปทำเปลหามมาที เสี่ยวเตาคงเดินไม่ไหว”

“อืม”

เผยยวนเพิ่งจะลุกขึ้น เสี่ยวเตาก็เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ “ช้าก่อน ข้าไม่ไป”

จี้จือฮวนไม่เข้าใจ “ค่ายองครักษ์ลับไม่มีแล้ว เจ้ายังจะอยู่ที่นี่อีกทำไม?”

เมื่อครู่นางกับเผยยวนได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้นอย่างชัดเจน ไม่ต้องให้เผยยวนอธิบายจี้จือฮวนก็รู้ว่าเสี่ยวเตาเป็นคนเฝ้าประตูของค่ายองครักษ์ลับ

เสี่ยวเตาเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ข้าอยู่ ค่ายองครักษ์ลับก็ยังอยู่ ข้าเชื่อฟังแค่นายท่านเท่านั้น”

นายท่านของนางไม่ใช่เผยยวน แต่เป็นนายท่านของค่ายองครักษ์ลับ

จี้จือฮวนจึงนำตราพยัคฆ์ในถุงเงินออกมากุมไว้ในมือ ก่อนจะวางลงในฝ่ามือของนาง “มีสิ่งนี้ นับเป็นนายของเจ้าหรือไม่?”

เสี่ยวเตามองตราพยัคฆ์เขม็ง ทันใดนั้นขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นมา ผ่านไปสักพักจึงได้หันมาเช็ดน้ำตา “แต่หากข้าไปแล้ว ค่ายองครักษ์ลับก็จะไม่มีอีก นี่เป็นความพยายามที่เหล่าเผยทิ้งเอาไว้”

ก่อนหน้านี้จี้จือฮวนคิดว่าค่ายองครักษ์ลับจะอยู่หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ แต่เมื่อมองดูเสี่ยวเตา นางจึงเข้าใจเหล่าองครักษ์ลับที่เสียสละเพื่อเผยยวนเหล่านั้น ความเชื่อมั่นเดียวของพวกเขา คือจดจำว่าตัวเองเป็นคนของใคร

นางกุมตราพยัคฆ์เอาไว้แน่น “ค่ายองครักษ์ลับไม่มีทางหายไป ก็เหมือนกับที่เจ้าพูด เจ้าเป็นคนเฝ้าประตู ขอเพียงมีเจ้าอยู่ค่ายองครักษ์ลับก็จะยังคงอยู่ แต่ตอนนี้เผยยวนต้องการเจ้า เจ้าจะยอมลงเขาไปกับพวกเราหรือไม่?”

“ต้องการข้า?” เสี่ยวเตาเอ่ยถาม

“ใช่ ต้องการค่ายองครักษ์ลับ”

จี้จือฮวนนำตราพยัคฆ์วางไว้ในมือของนาง “พวกเราสามารถสร้างค่ายองครักษ์ลับขึ้นมาใหม่ได้”

ทันใดนั้นเสี่ยวเตาก็เงยหน้าขึ้นมา “พวกเจ้าตามข้ามา หากข้าไปก็ต้องพาพวกเขาไปด้วย”

จี้จือฮวนกับเผยยวนไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธนาง

เนื่องจากนางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ยอดฝีมือของกลุ่มกองเรือคนหนึ่งจึงรับหน้าที่แบกนางไว้บนหลัง อีกกลุ่มหนึ่งก็กำจัดศพที่เหลือและเก็บของสำคัญทั้งหมดที่เหลืออยู่ในค่ายองครักษ์ลับไว้ให้ จากนั้นจึงเดินไปตามอุโมงค์ใต้ดินในห้องลับที่อยู่ภายในค่ายองครักษ์ลับตามการนำทางของเสี่ยวเตา

อุโมงค์ใต้ดินนั้นมืดสนิท มีเพียงเสียงน้ำหยดลงมาเป็นระยะ ๆ หลังจากเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม จึงได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหน้า

เสี่ยวเตาเห็นว่ามาถึงแล้ว จึงให้เผยยวนเปิดประตูหิน แหวกพงหญ้าด้านนอกออก แทบจะทันทีที่นางปรากฏตัวก็มีคนวิ่งมาหานางทันที

“พี่เสี่ยวเตา!”

“พี่เตาเตามาแล้ว!”

เสียงของเด็ก ๆ หลายสิบคนดังขึ้น เมื่อพวกเขาวิ่งเข้ามาและเห็นพวกเผยยวน ก็ชะงักอยู่กับที่ด้วยความหวาดกลัว

เสี่ยวเตาเอ่ยกับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว นี่คือเสี่ยวเผยที่ข้าเคยเล่าให้พวกเจ้าฟัง”

จี้จือฮวนอาศัยแสงไฟพิจารณากลุ่มเด็กที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาล้วนโตกว่าพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านตระกูลเฉินแต่ว่าผ่ายผอมกว่า อีกทั้งร่างกายยังพิการอีกด้วย หากไม่ขาดส่วนนี้ไปก็ขาดส่วนนั้นไป เด็กบางคนใบหน้าบางส่วนก็ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

เสี่ยวเตาหันหน้าไปมองสองสามีภรรยา “นี่เป็นเด็ก ๆ ที่ข้าเก็บมาจากในป่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ พาพวกเขาไปด้วยได้หรือไม่ หากข้าไม่อยู่พวกเขาก็ไม่รอดเช่นกัน

หากจะสร้างค่ายองครักษ์ลับใหม่ สามารถฝึกพวกเขาได้หรือไม่ พวกเขามีความตั้งใจอย่างมาก ไม่มีทางด้อยกว่าคนพวกนั้นแน่ เพราะเป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงมาเองกับมือ ข้าไม่อยากทิ้งพวกเขาไป” เสี่ยวเตาพูดถึงตรงนี้ ในน้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความสงสารหลายส่วน

เมื่อก่อนตอนที่ฉางเริ่นยังอยู่ เด็ก ๆ พวกนี้ยังสามารถวิ่งเล่นใกล้ ๆ กับค่ายองครักษ์ลับได้ ทว่าตั้งแต่ฉางเริ่นเกิดเรื่อง เสี่ยวเตาจึงพาเด็ก ๆ มาอยู่ที่นี่ หากจะไปนางก็ต้องพาพวกเขาไปด้วย

“ได้อยู่แล้ว” เผยยวนกับจี้จือฮวนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

.

.

.