บทที่ 296 ไม่มีข้อกังขา

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 296 ไม่มีข้อกังขา?

บทที่ 296 ไม่มีข้อกังขา?

เจนเคาะประตูห้องทำงานของเคลลี่

“เข้ามา”

เคลลี่เงยหน้าขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นเธอก็พูดขึ้น “มีอะไร?”

น้ำเสียงดูเย็นชา

“รองบรรณาธิการคะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขออนุญาตลาหยุดได้ไหมคะ?”

ดวงตาของเคลลี่นั้นแสนเฉียบคม “ดูรูปเสร็จแล้วเหรอ?”

“ดูเสร็จแล้วค่ะ” เจนรีบพยักหน้า “ส่งรูปภาพเช็ตสุดท้ายไปให้คุณในอีเมลแล้วค่ะ”

หลังตรวจสอบอีเมลจนแน่ใจแล้วเคลลี่ก็พูดขึ้น “หลายวันมานี้ทำให้เธอต้องเหนื่อยมากไปหน่อย รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ถ้าหากว่ายังมีใครส่งอะไรไปอีก ก็ให้ส่งมาที่เมลของฉันได้เลย”

เจนดีใจมาก “ได้เลยค่ะ”

เธอรีบกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อเก็บข้าวเก็บของและออกไปทันที

พนักงานรุ่นพี่ที่นั่งพิงเก้าอี้อยู่ก็ถามขึ้น “เลิกงานไวจัง?”

“ค่ะ รองบรรณาธิการอนุญาตให้ลาหยุดแล้ว” ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

และรีบออกไปจากกองบรรณาธิการทันที เธอรีบเรียกรถเพื่อไปยังงานปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนสนิท

ในขณะเดียวกันนั้น รายการวัยรุ่นสู้ฝันก็กำลังเข้าสู่การประเมินในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งก็คือการแสดงครั้งที่สอง

ภายในหอประชุมขนาดใหญ่ ผู้คนหนาแน่นจนไม่มีที่นั่งเหลืออยู่เลย

อาจารย์ทั้งสี่คนนั่งหันหน้าไปทางเวที

เด็กฝึกสามทีมได้แสดงเสร็จไปแล้ว ทีมต่อไปที่ต้องขึ้นแสดงคือทีมที่อยู่ภายใต้การดูแลของซูโย่วอี๋!

พิธีกรอธิบายถึงเพลงเสร็จก็ถามขึ้น “อาจารย์ซูอยากจะกล่าวอะไรกับสมาชิกในทีมที่คุณดูแลไหมคะ?”

ซูโย่วอี๋หยิบไมโครโฟนขึ้นมา ความงามที่สะกดตาของทุกคนก็ปรากฏบนหน้าจอขนาดใหญ่จนมีเสียงกรี๊ดดังลั่น “โย่วโย่ว ฉันรักคุณ”

“โย่วโย่วสวยมากเลย”

“พวกเราคลั่งไคล้คุณมาก มาที่นี่เพื่อคุณเลยนะ”

ซูโย่วอี๋ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ปากของตัวเองให้ทุกคนเงียบลง “แค่สนุกกับการแสดงก็พอ เชื่อว่าพวกเธอจะทำให้พวกคุณต้องประหลาดใจแน่นอนค่ะ”

พิธีกรพูดต่ออย่างเป็นธรรมชาติ “ดูเหมือนว่าอาจารย์ซูจะเชื่อมั่นในทีมที่เธอเป็นผู้ดูแลมากเลยนะคะ พวกคุณคิดว่าพวกเธอจะอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่กันคะ?”

“ที่หนึ่งอยู่แล้วค่ะ”

เหล่าเด็กฝึกที่รออยู่ได้ยินเสียงของซูโย่วอี๋ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“หัวหน้าทีม อาจารย์โย่วโย่วเชื่อมั่นในตัวพวกเรามากเลยนะ”

“ถ้าพวกเราไม่ได้ตำแหน่งที่หนึ่งมาครอง จะเป็นการเสียหน้ามากเลยใช่ไหม?”

หัวหน้าทีมพยายามผ่อนคลายอารมณ์ “ใครว่าล่ะ? อาจารย์โย่วโย่วชี้แนะให้พวกเราด้วยตัวของเธอเอง พวกเราจะต้องมั่นใจในตัวเองสิคะ”

“สู้”

แต่เด็กคนอื่น ๆ กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเธอนั่งดูหน้าจออยู่ในห้องขนาดใหญ่

“ระดับของทีมพวกเธออย่างมากก็อยู่ได้แค่อันดับที่สาม”

“นั้นมันก็ไม่แน่หรอก”

“ก็จริง ครั้งนี้มีการจัดอันดับจากคะแนนโหวตของผู้ชม อาจารย์โย่วโย่วเป็นที่นิยมมาก ผู้คนรักทุกสิ่งที่เป็นเธอ ต้องมีผู้ชมที่โหวตให้ทีมพวกเธอแน่ ๆ”

ต่อให้ในความเป็นจริง การแสดงของทีมนี้จะไม่ดีก็ตาม

“อ่า ไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ”

“ทำไงได้ล่ะ อาจารย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเด็กฝึก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เธอไม่ได้เลือกอาจารย์ให้ดี”

“แต่พวกเราก็เลือกอาจารย์เองไม่ได้อยู่แล้วนี่” มีคนพึมพำขึ้นมาเบา ๆ

ทีมของกัวหลินหลินเป็นทีมแรกที่ขึ้นมาแสดง และคะแนนโหวตก็มาเป็นอันดับที่หนึ่ง

คำพูดของทุกคนทำให้เธอรู้สึกอารมณ์เสีย พอมองดูซูโย่วอี๋ที่อยู่ในโทรทัศน์ก็ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่

เธอคิดถึงขั้นที่คิดว่าถ้าซูโย่วอี๋ออกจากรายการก็คงดี ถ้าเป็นแบบนั้น คนทั้งรายการก็คงไม่มีใครกล้าขัดเธออีกแล้ว

เสียงเพลงทำให้สติของกัวหลินหลินกลับมา พอมองขึ้นไปก็ถึงกับต้องประหลาดใจ

การแสดงบนเวทีเกินไปกว่าที่เธอคาดหวังเอาไว้มาก

ทีมที่แต่เดิมอยู่ในระดับสองกลับแสดงออกมาได้อย่างกับทีมระดับหนึ่ง!

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงบนเวที มาตรฐานในการเต้น ความสมดุลในทีม และการแสดงออกของทั้งร่างกาย ทั้งหมดล้วนดีมาก

กัวหลินหลินนิ่งค้างไป “นี่มันอะไรกัน?”

พูดตามเหตุผล ซูโย่วอี๋เต้นไม่เป็น เธอไม่มีทางให้คำแนะนำให้เด็กฝึกพวกนี้ได้เลย

แต่การแสดงบนเวทีนั้นเป็นของจริง ทีมนี้พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อการแสดงจบลง เสียงปรบมือดังลั่นไปทั่วทั้งหอประชุม

พิธีกรขึ้นมาบนเวที “ว้าว การแสดงนี้ทำให้ฉันตกตะลึงมากเลยค่ะ ฉันนึกว่าตัวเองกำลังดูการแสดงเปิดตัวของไอดอลเลยนะคะ”

“เชิญเหล่าอาจารย์แสดงความคิดเห็นก่อนเลยค่ะ”

อวี๋ชิงจ้าวหยิบไมโครโฟนขึ้นมา “พวกเธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมาก ๆ พลังในการเต้นของเด็กฝึกทุกคน ฉันเห็นมันได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ ดังนั้นฉันเข้าใจดีขึ้นว่าพวกเธอจะต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้”

“ดีมาก ๆ รักษาระดับไว้นะคะ”

อาจารย์ผู้ชายชื่นชมขึ้นมา “ผมค่อนข้างอยากรู้เลยครับว่าพวกคุณมีเคล็ดลับอะไรที่สามารถพัฒนาได้มากขนาดนี้ในระยะเวลาสั้น ๆ?”

พิธีกรยื่นไมโครโฟนไปให้หัวหน้าทีม

หัวหน้าทีมตอบกลับ “เคล็ดลับก็คืออาจารย์โย่วโย่วค่ะ เธอมองปัญหาได้อย่างเฉียบขาด อีกทั้งยังช่วยพวกเราทุกคนจัดการกับปัญหาอย่างใจเย็น”

“ถ้าไม่มีอาจารย์โย่วโย่ว ทีมของพวกเราก็คงจะเป็นเหมือนฝูงแมลงวันที่ออกบินสะเปะสะปะ อาจารย์โย่วโย่วเป็นคนที่ช่วยฉันค้นหาแนวทาง และให้ทุ่มความพยายามไปกับอะไรที่ถูกต้องค่ะ”

ทุก ๆ คำพูดล้วนเป็นคำพูดที่มาจากใจของหัวหน้าทีมจริง ๆ

แต่ราวกับว่าในกลุ่มคนดูจะไม่มีใครคิดแบบนั้นเลย

“อ่า ประจบประแจงเก่งจริง ๆ”

“นั่นสิ ใคร ๆ ก็รู้ว่าอาจารย์โย่วโย่วเต้นไม่เป็น”

“พวกเรามีอาจารย์อวี๋ค่อยชี้แนะด้วยตัวเอง ยังไม่เก่งขนาดนั้นเลย”

“อืม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์เก่ง ก็เป็นเพราะว่าพวกเราเป็นแค่พวกมือใหม่เหรอ?”

เหล่าเด็กฝึกมองหน้ากัน แต่ก็ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองยังพยายามไม่มากพอ

พิธีกรรับไมโครโฟนคืนมา “เชิญท่านผู้ชมหยิบเครื่องโหวตในมือขึ้นมา และโหวตให้ทีมที่สี่ได้เลยค่ะ”

คะแนนโหวตจะถูกนับตามเวลาจริง ๆ

การลงคะแนนเพิ่มในแต่ละครั้ง แผนภูมิแบบแท่งบนหน้าจอขนาดใหญ่จะไต่ขึ้นไปหนึ่งระดับ

และในที่สุดมันก็หยุดลงที่ 3,172 โหวต

หัวหน้าทีมดีใจและเข้าไปสวมกอดกันกลมกับสมาชิกคนอื่น ๆ

“อา พวกเราได้ที่หนึ่ง” มีสมาชิกคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ

แม้ว่ายังมีอีกสองทีมที่ยังไม่ได้แสดง แต่ก็สามารถคำนวณคะแนนออกมาได้แล้ว

คนดูในที่นี้มี 5,000 คน ในมือของผู้ชมทุกคนมีเพียงแค่ 2 โหวตเท่านั้น ทีมที่แสดงมีคะแนนโหวตรวมกันเกิน 7,000 ไปแล้ว อีกสองทีมที่เหลืออยู่ไม่มีทางได้คะแนนโหวตไปมากกว่านี้แน่นอน

และก่อนหน้านี้ทีมของกัวหลินหลินที่ได้คะแนนโหวตมากที่สุดได้คะแนนไปแค่ 2,781 โหวตเท่านั้น

ท่ามกลางเสียงดีใจนั้น ทีมที่สี่ลงมาจากเวทีแล้ว

เมื่อการประเมินจบลง ผู้คนต่างพากันแยกย้าย อวี๋ชิงจ้าวและซูโย่วอี๋เดินอยู่ข้างหลัง

“ฉันคิดว่าทีมของกัวหลินหลินน่าจะได้ที่หนึ่งซะอีก”

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้มและยิ้มเล็กน้อย “เธอมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้ว”

“อย่าโทษฉันสิ ทีมที่สี่เป็นเหมือนม้ามืด ตอนนี้ทีมงานของรายการก็มีไฮไลต์ให้ตัดแล้ว”

เมื่อนึกถึงไป๋เหิง ซูโย่วอี๋ก็ขมวดคิ้ว “ครั้งนี้ทีมของไป๋เหิงแสดงออกมาได้แย่มาก”

และนี่ก็เป็นทีมที่อยู่ภายใต้การชี้แนะของอวี๋ชิงจ้าวเอง

อวี๋ชิงจ้าวครุ่นคิด “ไป๋เหิงใจอ่อนมากเกินไป เธอไม่สามารถรวบรวมทีมเข้าด้วยกันได้ วันนี้มีคนไม่อยากซ้อม พรุ่งนี้มีคนขอลาหยุด ย่อมทำให้ผลลัพธ์ของการทำงานเป็นทีมไม่เกิดผลอยู่แล้ว”

“ผลลัพธ์แบบนี้ ฉันเดาออกมาตั้งแต่แรกแล้ว”

ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดสิบคนถูกคัดออกจากการแสดง ซึ่งอีกนิดเดียวไป๋เหิงก็จะถูกคัดออกไปแล้ว

ผลลัพธ์ในครั้งนี้มีความยุติธรรมและเท่าเทียม ไม่มีกัวหลินหลินหรือผู้กำกับคอยโกง

ซูโย่วอี๋พยักหน้า “เธอเหมาะที่จะพัฒนาด้วยตัวคนเดียว ไม่เหมาะกับการเป็นหัวหน้าทีม”

ผู้กำกับเชิญให้เหล่าอาจารย์ไปกินมื้อดึกด้วยกัน ซูโย่วอี๋ปฏิเสธไป “ฉันมีงานที่บริษัทค่ะ”

อวี๋ชิงจ้าวเองก็ไม่ได้ไปเพราะเธอต้องกลับบ้าน

เมื่อกลับมาถึงเป่ยสืออี้ผิน เธอก็พบว่าลู่เฉินไม่อยู่บ้าน

เหมือนกับว่าถ้าเธอไม่ได้บอกเขาก่อนว่าจะกลับบ้าน ลู่เฉินก็จะอยู่ที่บริษัทจนถึงดึกดื่น

ซูโย่วอี๋เปิดโทรทัศน์ เธอกอดหมอนและพิงไปที่โซฟา

จู่ ๆ สุนัขจิ้งจอกก็ปรากฏตัวออกมานอนอยู่ข้าง ๆ อย่างเกียจคร้าน

[ซู่จู่ พรุ่งนี้ผลการเลือกคนขึ้นปก [นิตยสารรายสัปดาห์] ในรอบแรกก็จะออกมาแล้ว คุณประหม่าไหม?]

ช่วงนี้ซูโย่วอี๋งานยุ่งมากจนลืมเวลาไปแล้ว

“พรุ่งนี้ตอนกี่โมง?”

[แปดโมงเช้า ผลลัพธ์จะถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ]

ซูโย่วอี๋หาวออกมา “ตอนนี้ผลสรุปก็น่าจะออกมาแล้วแหละ”

ไม่งั้นพรุ่งนี้เช้าก็คงจะเอาออกมาเผยแพร่ไม่ทัน

“งั้นนายช่วยฉันไปดูหน่อยสิ ว่าฉันผ่านรอบแรกหรือเปล่า?”

สุนัขจิ้งจองมองเธอ [บางทีชีวิตก็ต้องมีลุ้นบ้าง ถึงจะมีความหมายนะ]

ซูโย่วอี๋ไม่ได้ร้องขออีก แค่คืนเดียวเท่านั้น

เวลาดึกมากขึ้น เธอทนไม่ไหวจนต้องโทรศัพท์หาลู่เฉิน “คุณจะกลับมาตอนไหน? ฉันรอคุณอยู่ที่บ้านแล้วนะ”

ลู่เฉินได้ยินอย่างนั้น ก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ “[ขอโทษที ผมลืมไปเลย]”

เขาเงยหน้ามองหนิงเชิงที่อยู่ไม่ไกล “[ผมจัดการงานเสร็จก็กลับแล้ว ไม่ต้องรอผมนะ คุณนอนก่อนเลย]”

ซูโย่วอี๋ทำเสียงเหมือนเด็กเอาแต่ใจ “อีกนานไหม?”

“[อืม คงอีกสักพัก]”

“โอเค ขับรถกลับบ้านระวังด้วยนะ”

พอวางสายไป ลู่เฉินก็เดินไปตรงหน้าของหนิงเชิง “คุณนายลู่ มีธุระอะไรก็เชิญพูดมาเลยครับ ผมรีบ”

“รีบกลับบ้าน?” น้ำเสียงไม่พอใจของหนิงเชิงดังขึ้น “ตอนนี้แม้แต่คำว่าแม่แกก็ไม่เรียกแล้วเหรอ”

สีหน้าของลู่เฉินดูเย็นชา แต่เขาไม่ได้ตอบกลับอะไร

หนิงเชิงไม่เสียเวลาต่อ เธอหยิบขวดยาสีขาวออกมาจากกระเป๋า

“ดูสิ”

ลู่เฉินรับมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เขาเปิดฝาออกและมองดู “คุณต้องการจะบอกอะไร?”

“แกไม่อยากรู้เหรอว่าใครเป็นเจ้าของยาขวดนี้?”

ลู่เฉินวางขวดยาลงอย่างไม่ใส่ใจ “คุณนายลู่ อย่าเสียเวลาของเราทั้งคู่เลย มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะครับ”

หนิงเชิงสะบัดสร้อยมุกที่ข้อมือ “ยานี้เป็นของซูโย่วอี๋”

“2-3 วันก่อนที่แกพาเธอไปบ้านของคุณปู่ ก่อนกลับ ซูโย่วอี๋เอายาขวดนี้ไปให้กับคนใช้ และสั่งให้พวกเธอเอาให้คุณปู่กินวันละเม็ดทุกวัน แถมยังบอกอีกว่ายานี้แกเป็นคนซื้อ”

“ลู่เฉิน แกเป็นคนซื้อยานี้งั้นเหรอ?”

ดูจากท่าทางของลู่เฉินเมื่อครู่นี้แล้ว หนิงเชิงรู้ทันทีว่าลู่เฉินไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับยาตัวนี้

เธอถามออกมาเพราะอยากจะดูปฏิกิริยาของลู่เฉิน

ลู่เฉินขมวดคิ้ว “โย่วอี๋เป็นคนให้แล้วมันทำไมเหรอ? ยาตัวนี้มีปัญหาอะไรหรือไง?”

อารมณ์ของหนิงเชิงอ่อนลง นี่เป็นสิ่งที่เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

ตอนแรกเธอเดาว่าซูโย่วอี๋ต้องมีแรงจูงใจอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ จึงได้เอายาไปให้กับฮัวจิง หลังจากการทดสอบส่วนผสมของยาผ่านห้องปฏิบัติการวิจัยของโรงพยาบาลเป๋าไป่

ห้องปฏิบัติการพบว่าเม็ดยามีส่วนผสมที่ไม่รู้จักอย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ก็คือยานี้ช่วยแก้ปัญหากระเพาะอาหารได้อย่างดีเยี่ยม

“ไม่มีปัญหาอะไร”

ลู่เฉินไม่แปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น “คุณนายลู่ หวังว่าครั้งต่อไปคุณจะไม่หวาดระแวงอะไรแบบนี้อีกนะครับ”

นัยน์ตาของหนิงเชิงเหม่อลอย “อาเฉิน ยาขวดนี้โรงพยาบาลเป๋าไป่บอกว่ามีมูลค่าเป็นหลักล้าน สิ่งสำคัญก็คือยาตัวนี้ยังไม่ถูกยื่นจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และยังไม่มีวางขายที่ไหนเลย”

“ซูโย่วอี๋เอายาตัวนี้มาได้ยังไง แกไม่สงสัยเลยงั้นเหรอ?”

“แกไม่มีข้อกังขาตอนอยู่กับเธอเลยจริง ๆ เหรอ?”

มือของลู่เฉินที่ถือเสื้อคลุมอยู่หยุดชะงักกลางอากาศ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ผมเชื่อเธอ”

“ยานี้มีค่ามาก อย่าลืมเอาไปให้คุณปู่ด้วยล่ะ”

เขาดันประตูออก มีเจตนาไล่แขกอย่างชัดเจน

หนิงเชิงลุกขึ้นยืนและเดินผ่านตัวเขาไป “อาเฉิน เราไม่อาจล่วงรู้จิตใจของคนอื่นได้หรอกนะ”

จนกระทั่งหนิงเชิงจากไป ลู่เฉินก็กลับไปนั่งลงที่โซฟา

ดวงตาของเขาดูสับสน

ลู่เฉินจำได้อย่างชัดเจน หลังจากที่เกิดเรื่องกับคุณปู่ เขาโทรศัพท์ไปบอกโย่วอี๋ว่าจะไปดูคุณปู่ และไม่ได้บอกเลยด้วยซ้ำว่าคุณปู่ป่วยเป็นโรคอะไร

แล้วโย่วอี๋ไปเอายามาตอนไหนกันนะ?