หลังจากเสร็จงานเลี้ยงที่จวนอ๋องฉีคืนนี้ อ๋องฉีก็ไปที่เรือนหอ
หลังจากเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดง ให้คนในเรือนหอออกไปทั้งหมดแล้ว เขามองใบหน้ากลมของหยวนหย่งอี้ พูดว่า “ข้าอยากคุยกับเจ้า”
หยวนหย่งอี้กะพริบตา ถูที่ลำคอ “เชิญท่านอ๋อง”
ฉีอ๋องพูดว่า “คืนนี้ ข้าจะไม่นอนที่นี่”
หยวนหย่งอี้ยื่นมือไปกุมที่หน้าอก โล่งใจไปเฮือกใหญ่ แลบลิ้นพูดว่า “เช่นนั้นก็ดีมากเลย”
อ๋องฉีนิ่งอึ้ง “เจ้า ไม่เสียใจหรือ”
หยวนหย่งอี้ยืนขึ้น เอาหมวกบนศีรษะออก เดินไปนั่งลงที่โต๊ะและกินอย่างมูมมาม
“ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว วันนี้ทั้งวัน ก็ได้กินแค่ซุปบะหมี่ตอนข้าแต่งตัวช่วงเช้าเท่านั้น หิวจนถึงตอนนี้ ใจดำจริงๆเลย”
อ๋องฉีมองนาง เห็นนางไม่มีวี่แววที่จะรู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย ค่อยวางใจ “เช่นนั้นเจ้าก็กินเถอะ ข้าจะออกไปก่อน ”
“ช้าก่อน ”หยวนหย่งอี้วางตะเกียบลง พูดว่า
ในใจของอ๋องฉีหนักอึ้งลงอีกครั้ง เห็นที คงจะไม่ได้ไปง่ายๆ จึงทำหน้าเคร่งเครียด
หยวนหย่งอี้มองเขา เผยให้เห็นใบหน้าประจบ “ท่านคุ้นเคยดีกับพระชายาฉู่ใช่หรือไม่ ”
อ๋องฉีขมวดคิ้ว “ก็นับว่าพอใช้ได้ ทำไมหรือ”
“เช่นนั้นตอนที่ท่านไปจวนอ๋องฉู่ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ”หยวนหย่งอี้มองเขาอย่างขอร้อง
“เจ้าจะไปจวนอ๋องฉู่ทำไมกัน”อ๋องฉีถามขึ้นอย่างสงสัย
“ไปหาพระชายาฉู่เพื่อพูดคุยยังไงเล่า”
อ๋องฉีมองนาง พูดในใจ หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์เสียจริง ได้คืบจะเอาศอก หากออกไปข้างนอกกันสองคน ย่อมเท่ากับใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
เห็นทีจะไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกัน
เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถ้าไปวันไหนข้าจะบอก”
“พรุ่งนี้ไปหรือไม่”
“ไม่ไป”
หยวนหย่งอี้อารมณ์เสีย “แล้ววันมะรืนเล่า”
อ๋องฉีเอ่ยเสียงเย็น “มะรืนกลับบ้านเจ้ามิใช่หรือ”
“แล้ววันมะรืนเล่า”หยวนหย่งอี้ยังคงถามต่อ
อ๋องฉีสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา “เจ้าอย่าเอาแต่ถามคาดคั้นเลย กิริยาการกินเจ้าไม่น่าดูเอาซะเลย”
หยวนหย่งอี้นิ่งอึ้ง การกินไม่น่าดู นางหิวนี่นา
หิวยังจะต้องรักษาภาพลักษณ์ในการกินอีกหรือ
นางเป็นหญิงสาวที่มาจากจวนแม่ทัพ ปู่นางเป็นชายชาติทหาร พ่อนางเป็นชายหยาบกร้าน ไม่ได้พิถีพิถันเรื่องพวกนี้
หยวนหย่งอี้ยังคงกินต่อไป
สาวใช้ที่ติดตามนางมาด้วยชื่อหมิงเยว่กับชิงเฟิงเข้ามา น้ำตานองหน้า พูดกับหยวนหย่งอี้ด้วยน้ำเสียงเศร้าเสียใจว่า “คุณหนู ท่านช่างอาภัพนัก คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของท่าน แต่ท่านอ๋องกลับไม่นอนที่ห้องนี้”
หยวนหย่งอี้ค้อนให้พวกนาง “เขาไม่นอนที่นี่ข้าก็อาภัพแล้วหรือ นี่มันเหตุผลอะไรกัน เขาตายแล้วข้าจึงจะอาภัพต่างหาก ไม่ใช่สิ เขาตายแล้วข้ายังแต่งงานกับคนอื่นได้”
หากไม่ใช่เพราะพระชายาฉู่บอกว่าแต่งไปเป็นพระชายารองอ๋องฉีแล้วดี นางคงไม่มองอ๋องฉีที่เป็นหนอนหนังสืออ่อนแอคนนี้หรอก แค่มองก็รู้ว่าแม้แต่แรงบีบคอไก่ยังไม่มี เกรงว่าแม้แต่เรื่องบนเตียงก็คงจะไร้เรี่ยวแรงเช่นกัน
แต่ว่า พระชายาฉู่บอกว่าดี นั่นต้องดีแน่นอน
ผ่านไปหลายวัน หยวนชิงหลิงร่างกายดีขึ้น ตามระเบียบ ก็ต้องเข้าวังไปน้อมทักทาย
อากาศค่อยๆหนาวเย็นลง เข้าวังน้อมทักทายนั้นต้องตื่นตั้งแต่เช้า เดิมทีหยู่เหวินเห้าไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะนางไม่ไปน้อมทักทายตอนนี้ ก็ไม่มีใครว่าอะไร
แต่ว่า หยวนชิงหลิงอยากพบไท่ซ่างหวง เพราะอยู่แต่ในจวนก็น่าเบื่อมาก ไม่ได้ไปที่ใดเลย ตอนนี้อ๋องหวยก็แข็งแรงดีแล้ว สั่งยาแต่ละทีก็เป็นสิบวัน ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปบ่อยๆ
แม่นมสี่กับลู่หยาและสวีอีเข้าวังไปพร้อมกันด้วย
วันนี้ นอกจากพระชายาอ๋องจะเข้าวังน้อมทักทายแล้ว ยังมีภรรยาขุนนางใหญ่ถูกเรียกเข้าวังด้วย
หยวนชิงหลิงไม่ค่อยสนใจเรื่องในวังมากนัก จึงไม่รู้ว่าในวังมีการจัดเตรียมได้อย่างใหญ่โตมาก แต่พอเห็นสาวน้อยชุดสีเขียว ใจนางก็เต้นระทึก
ตอนที่รออยู่นอกตำหนักบรรทมของไทเฮา เห็นฉู่หมิงชุ่ยพาหยวนหย่งอี้กับฉู่หมิงหยางเข้ามา
ฉู่หมิงชุ่ยสวมเสื้อที่ทำจากผ้าต่วนสีแดงยาว มีความโบราณ ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ว่า หยวนชิงหลิงวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว นี่ควรจะเป็นชุดราชสำนักของพระชายาอ๋อง
ฉู่หมิงชุ่ยสวมกระโปรงจีบลายหยูอี้ ที่คอมีสร้อยปะการังสีแดงแขวนอยู่พวงหนึ่ง แต่ละเม็ดสีแดงดุจเพลิง สดใสดึงดูดตา
เหมือนกับใบหน้าของนาง งดงามราวดอกท้อ
ส่วนหยวนหย่งอี้นั้นสวมชุดค่อนข้างโดดเด่น สีเหลืองจับคู่สีเขียว ผมถูกม้วนเป็นมวยขึ้นมา ยังปักปิ่นปักผมที่มีกระดิ่งห้อยอยู่ การแต่งตัวไม่ค่อยเหมือนคนที่แต่งงานแล้วสักเท่าไหร่ แต่เหมือนกับหญิงสาวที่รอให้คนมาสู่ขอเสียมากกว่า
พอนางเห็นหยวนชิงหลิง สายตาก็เป็นประกาย รีบวิ่งเข้ามาหา มองหยวนชิงหลิงอย่างสำรวมและดีใจ “ท่านพี่พระชายาฉู่ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
หยวนชิงหลิงยิ้มบางๆ เห็นใบหน้ากลมเกลี้ยงนั้นแล้ว หลังจากเกิดเรื่องเสี่ยวหลันขึ้น ช่วงนี้นางค่อนข้างต่อต้านใบหน้ากลมน่ารักมาก
ฉะนั้น การตอบสนองของนางจึงเย็นชาไปหน่อย “ใช่แล้ว สวัสดีพระชายารองหยวน”
แต่ว่า หยวนหย่งอี้ไม่รู้สึกกระดากเลยสักนิด เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สวัสดีท่านพี่พระชายาฉู่”
ร้องเรียกท่านพี่ทุกคำอย่างไรเสียก็อันตราย หยวนชิงหลิงต้องรักษาระยะห่างเอาไว้
ฉู่หมิงหยางเอ่ยเสียงเย็นว่า “หน้าร้อนๆแนบไปที่ก้นเย็นๆของผู้อื่น ไม่รู้จักอายซะบ้าง คนอื่นเขาเห็นเจ้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ตอนนี้คนอื่นเขาได้ขึ้นเป็นที่โปรดปรานของราชวงศ์แล้ว สายตาของเขาจะมองแต่ที่สูงๆเท่านั้น ”
หยวนชิงหลิงไม่ตอบโต้ ฉู่หมิงหยางนั้นปากคอเราะราย นางรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ตอบโต้
ส่วนหยวนหย่งอี้จะน้อยใจหรือไม่ นางไม่อยากจะแทรกตัวเข้าไปยุ่ง สาวน้อยคนนี้ก็ไม่ใช่คู่ปรับฉู่หมิงหยางเหมือนกัน
แต่ว่า คำพูดต่อมาของหยวนหย่งอี้ กลับทำเอาหยวนชิงหลิงตกตะลึง
“หุบปาก เจ้าหน้าตูดลิง คำว่าอับอายเจ้ายังมีหน้ามีพูดหรือ ทำไมปากจึงได้เหม็นเน่าเช่นนี้ ตอนเช้าเจ้าตื่นมาไม่บ้วนปากหรือไม่ล้างก้นกันแน่ ”
คนที่ตกตะลึงไม่ได้มีแต่หยวนชิงหลิง ยังมีฉู่หมิงชุ่ยกับฉู่หมิงหยาง
ฉู่หมิงหยางรู้สึกหัวสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ พอได้สติใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงตับหมูไปเสียแล้ว ยื่นนิ้วมือชี้ออกไปเกือบจะชนจมูกหยวนหย่งอี้อยู่แล้ว “เจ้า เจ้าบังอาจ”
ไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน นางเป็นถึงคุณหนูรองของตระกูลฉู่ ใครกล้าไร้มารยาทกับนาง
“เก็บนิ้วของเจ้ากลับไป ไม่เช่นนั้นข้าจะหักมันเดี๋ยวนี้เลย”หยวนหย่งอี้ถลึงตาโต ราวกับหมาป่าที่แยกเขี้ยว ดุร้ายและโหดเหี้ยม
แต่ทว่า ตอนที่นางหันกลับมามองหยวนชิงหลิงนั้น กลับมีแววอบอุ่นและประจบ “ท่านพี่พระชายาฉู่ อย่าไปสนใจปากสุนัขเน่าเหม็นเลย พวกเราไปคุยกันที่อื่นดีหรือไม่”
“หยวนหย่งอี้ เจ้าช่างบังอาจนัก หน้าพระตำหนักไทเฮา เจ้ายังกล้าไร้มารยาทเช่นนี้ ”ฉู่หมิงหยางเสียหน้ามาก ไหนเลยจะพอใจ
หยวนหย่งอี้หันกลับไป เดินขึ้นไปตรงหน้า ใช้มือคว้าคอเสื้อของฉู่หมิงหยางเอาไว้ เอ่ยอย่างข่มขู่ว่า “ถ้าเจ้ายังเอาแต่พล่าม ข้าจะถอดเสื้อผ้าเจ้าออกให้หมดโยนไปนอกเมืองให้คนอื่นได้ชื่นชม เจ้าเชื่อหรือไม่ ”
ไม่ว่าฉู่หมิงหยางจะเคร่งขรึมและปากร้ายแค่ไหน แต่พอเจอเข้ากับหยวนหย่งอี้ที่ถนัดใช้การลงมือ ไม่มีทางต่อกรได้เลยสักนิด เพียงแต่อับอายจนกลายเป็นโกรธจ้องนางอยู่อย่างนั้น
ฉู่หมิงชุ่ยเดินเข้ามา เอ่ยเสียงเย็นว่า “พระชายารองอย่าเสียมารยาท”
หยวนหย่งอี้ปล่อยฉู่หมิงหยางออก มองฉู่หมิงชุ่ยแวบหนึ่ง “ท่านอย่ามาวางมาดพระชายากับข้า ท่านเองก็ไม่ได้มีดีอะไร เดิมที่เมื่อวานพี่อ๋องฉีบอกว่าจะพาข้าไปที่จวนอ๋องฉู่ ท่านแกล้งป่วยจนทำข้าเสียเรื่อง ต้องมีสักวัน ข้าจะเปลื้องผ้าของท่านทั้งหมดโยนออกไปนอกเมืองคอยดู”
นอกตำหนัก มีเหล่าภรรยาขุนนางและพระชายาอ๋องท่านหลายกำลังมารออยู่แล้ว เหลือแต่เหล่าสนมฮ่องเต้ที่ยังมาไม่ถึง โดยปกติแล้วพวกนางจะมาสายนิดหน่อย
คนมากมายเช่นนี้ ได้ยินพระชายารองหยวนพูดจาโผงผางไร้มารยาท ยโสโอหังไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ต่างก็ตกตะลึง แต่ว่า ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปห้ามแม้แต่ครึ่งก้าว คนของตระกูลหยวนเป็นขุนนางตระกูลเก่าแก่ตกอับ เป็นพวกอันธพาล หาเรื่องไม่ได้
ฉู่หมิงหยางเห็นว่าต่อกรกับหยวนหย่งอี้ไม่ได้ แล้วก็เห็นหยวนหย่งอี้ประจบสอพลอหยวนชิงหลิง ก็เลยเดินขึ้นไปตรงหน้าหยวนชิงหลิงแล้วก็ย่อตัวคำนับพูดว่า “คำนับพระชายาฉู่”
หยวนชิงหลิงมองดูละครฉากนี้อย่างออกรส พอเห็นฉู่หมิงหยางเข้ามาย่อตัวคำนับ เห็นคนมาทำดีด้วยโดยมีเจตนาไม่ดีไหนเลยจะวางใจได้
“คุณหนูรองไม่ต้องมากพิธี”นางเผยรอยยิ้มเสแสร้ง
ฉู่หมิงหยางมองนาง ยิ้มอย่างชั่วร้าย เอ่ยขึ้นทีละคำว่า “มารยาทนั้นขาดไม่ได้ ภายหน้าหากข้าแต่งเข้ามา พวกเราก็เป็นพี่น้องกันแล้ว”
รอยยิ้มเสแสร้งของหยวนชิงหลิงชะงักค้างอยู่ที่มุมปาก