บทที่ 344 บุคคลลักลอบ

บทที่ 344 บุคคลลักลอบ

“เลเวลสามสิบแล้วยังไง? ก็ตายด้วยกระบี่ข้าได้ใช่หรือไม่?” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองขณะใช้วิชาชำแหละ จัดการแยกส่วนร่างของพยัคฆ์หมอกเมฆา

พยัคฆ์หมอกเมฆาเลเวลสามสิบไม่อาจเป็นภัยคุกคามให้อู๋ฝานได้ ในเวลาไม่นาน มันก็ดับสิ้นภายใต้คมกระบี่ของอู๋ฝาน ทิ้งไว้ก็เพียงเศษซากร่างกายให้ชายหนุ่มชำแหละ นับว่าเป็นความตายที่มีประโยชน์

ในสื่อโทรทัศน์ที่เคยดูก่อนหน้านี้ กล่าวไว้ว่าวิทยายุทธแห่งใต้หล้าคือความรวดเร็ว ตอนนี้อู๋ฝานเพิ่งได้ตระหนักถึงประโยคดังกล่าว พยัคฆ์หมอกเมฆาที่เลเวลสามสิบ พละกำลังของมันอย่างไรก็ต้องแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มที่ยังไม่เลเวลสิบสอง ทว่าจนกระทั่งมันตายก็ไม่อาจสร้างความเสียหายใดให้แก่เขาได้ เพราะความเร็วของอู๋ฝานนั้นเกินกว่ามันจะโจมตีได้ทัน

แม้พยัคฆ์หมอกเมฆาเป็นสัตว์ที่มีความว่องไวสูง แต่หากเปรียบความว่องไวของอู๋ฝานที่ผสานรวมกับวิชานางแอ่นถลาลม การเคลื่อนไหวของมัน ในสายตาของชายหนุ่มนั้น ไม่ได้เร็วไปกว่าเต่าเดินสักเท่าไหร่

หลังสังหารมอนสเตอร์เลเวลสามสิบได้สำเร็จ จึงทำให้อู๋ฝานเกิดรู้สึกว่าป่าแห่งนี้ราวกับเล็กลงไปบ้าง ในเมื่อมาจนถึงที่นี่แล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รีบสืบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด เพียงสำรวจมองทิศทางเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปต่อ

ป่าแห่งนี้มีมอนสเตอร์อยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่อู๋ฝานผ่านพื้นที่รอบนอกของป่าเข้ามาด้านใน โอกาสเจอมอนสเตอร์ไม่เพียงเพิ่มมากขึ้น แต่ยังเลเวลสูงมากขึ้น รวมกับบัฟที่พวกมันได้จากช่วงเวลากลางคืน ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มขึ้นตาม

อย่างไรอู๋ฝานตอนนี้ก็ไม่ใช่อ่อนแอดังเช่นที่เคยเป็นอีกแล้ว ยังไม่กล่าวว่าป้ายอัญเชิญที่ครอบครองนั้นสามารถใช้งานในยามเจออันตรายได้ ตราบใดที่อัญเชิญสิ่งมีชีวิตสักอย่างหนึ่งมา มันก็มากพอสำหรับการสนับสนุนช่วยเหลือ หากไม่ได้เจอฝูงมอนสเตอร์ในป่า หรือบอสมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงกว่ามาก ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องเกรงอันตรายจนเกินไป

เวลาล่วงเลยจนกระทั่งเกือบรุ่งสาง อู๋ฝานก็ยังไม่อาจหาทางออกจากป่า ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นทางออกของป่าได้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งช่วงเวลาที่ชายหนุ่มอยู่ที่นี่หมดลง จึงถูกบังคับให้เทเลพอร์ตกลับไป

ช่วงรุ่งสางภายในโลกแห่งเกม โลกแห่งความเป็นจริงก็เป็นช่วงตะวันใกล้ตกดิน เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นช่วงเวลามื้อเย็นแล้ว หลังอู๋ฝานปรับความเข้าใจเล็กน้อย จึงค่อยขับรถเดินทางออกไป

อู๋ฝานขับรถมุ่งตรงไปถึงรอบนอกของเมือง ในปัจจุบันร้านอาหารมีความต้องการใช้วัตถุดิบค่อนข้างสูง ดังนั้นเขาจึงต้องเติมโกดังวัตถุดิบของร้านอยู่ตลอด และกระบวนการดังกล่าว ก็จำเป็นต้องทำที่โกดังนอกเมือง

หลังประตูโกดัง อู๋ฝานนำเอาวัตถุดิบมากมายออกจากกระเป๋าหลังทีละรายการ วางพวกมันเรียงรายในโกดัง นับตั้งแต่ได้รับกระเป๋ามิติมาครอบครอง ชายหนุ่มก็ยิ่งขนย้ายวัตถุดิบมายังโลกความเป็นจริงได้สะดวกมากขึ้น สามารถนำวัตถุดิบหลากหลายชนิดมาได้พร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องเสียแรงเหมือนก่อนหน้านี้ ที่ต้องย้ายวัตถุดิบกันอยู่หลายครั้ง เพราะพื้นที่กระเป๋าหลังมีจำกัดเกินไป

ผ่านไปเกือบจะครึ่งชั่วโมง รถบรรทุกที่อู๋ฝานโทรเรียกใช้บริการก็มาถึง เพราะไม่ใช่เพิ่งร่วมงานกันเป็นครั้งแรก คนที่ลงมาจึงทักทายชายหนุ่มอย่างคุ้นเคย ก่อนจะเริ่มลำเลียงขนย้ายวัตถุดิบขึ้นไปบนรถบรรทุก

เดิมอู๋ฝานก็ไม่ได้ใส่ใจกระบวนการเหล่านี้สักเท่าไหร่ ที่ทำก็เพียงแค่มองภาพรวม แต่ครั้งนี้ เขากลับได้เห็นว่าข้างรถบรรทุกเหล่านั้น นอกจากคนที่กำลังยุ่งกับงานขนย้าย กลับมีคนที่ดูไม่คุ้นหน้าค่าตากำลังลอบแอบมองอยู่

อู๋ฝานชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เฉินปิงเหยาเคยรายงานเรื่องใดเอาไว้ ทำให้เขาต้องเดินเข้าไปใกล้

“พวกคุณมาทำอะไรกันที่นี่?” อู๋ฝานที่เดินเข้าหาและถามโดยตรง

เมื่อคนกลุ่มนั้นเจอคำถามของอู๋ฝาน พวกเขาก็ตื่นตระหนก ก่อนจะละล่ำละลักตอบกลับ “พวกเราก็แค่ดู… คุณเป็นใคร พวกเราขวางทางคุณหรือไง?”

“โกดังนี้เป็นของผม พวกคุณลอบเข้ามาที่นี่ ผมถามก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

“โกดังของคุณ?” เมื่อกลุ่มคนได้ยินคำตอบของอู๋ฝาน พวกเขาก็เผยสีหน้าแตกตื่นอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับมา “เป็นของคุณแล้วยังไง พวกเราก็แค่ดู ไม่ได้มาก่ออาชญากรรมสักหน่อย!”

“ใช่ พวกเราก็แค่มองจากด้านนอก ไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไร ไม่ได้เข้าไปพื้นที่ของคุณ!”

“ถ้าแค่สงสัยเลยมอง ผมก็คงไม่อะไร” อู๋ฝานกวาดสายตามองกลุ่มคน “แต่ที่ผมเห็น เหมือนพวกคุณจะไม่ได้บังเอิญผ่านมาเลยแวะดูสักนิดนะครับ”

“ไม่เข้าใจหรอกนะว่าคุณหมายความว่าอะไร แต่ไม่ให้ดูก็ไม่ดู พวกเราไปแล้ว!”

กลุ่มคนเหล่านั้นตอบคำก่อนจะกลับกันไป

“โกดังนี่ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”

“ใช่ แต่ผู้ว่าจ้างก็แค่ขอให้พวกเราตามขบวนรถขนส่ง เพื่อหาที่มาของวัตถุดิบเท่านั้น”

“ใช่ เรื่องที่จ้างก็มีแค่นั้น พวกเรารับเงินก็พอแล้ว”

“ไว้ได้เงินมาแล้ว พวกเราไปเล่นด้วยกันหน่อยเป็นไง?”

“ไปที่คลับเฮาส์ครั้งก่อนก็ไม่เลว บริการของที่นั่นดีพอตัวเลย”

“บริการดีหรือคิดถึงแต่พวกสาว ๆ กันแน่ ฮ่า ฮ่า!”

ก่อนที่กลุ่มคนเหล่านั้นจะไปได้ไกล พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเอง ช่วงแรกพูดถึงงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ช่วงหลังก็คุยแต่เรื่องกินเที่ยว

บางทีพวกเขาเหล่านี้คงคิดว่าอู๋ฝานจะไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงพูดโดยไม่ระมัดระวัง ไม่ได้คาดว่าอู๋ฝานที่ผ่านการปรับสภาพทางร่างกาย จะสามารถได้ยินจากระยะไกลกว่าคนธรรมดา พวกเขาที่คิดว่าคุยกันเสียงเบา และอยู่ไกลเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยินแล้ว จึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจน

“รอเดี๋ยว!” อู๋ฝานเรียกคนกลุ่มนั้นเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง

บทสนทนาช่วงหลังของกลุ่มคน อู๋ฝานไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ แต่ส่วนแรกนั้นไม่ใช่ มันสะกิดความสงสัยของเขา

คนเหล่านั้นหันกลับไปมองอู๋ฝาน หนึ่งในกลุ่มคนเอ่ยถาม “ยังมีอะไรอีก? ไม่ให้พวกเราดู พวกเราก็ไม่ดูแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังจะกลับ ยังต้องการอะไรอีก”

“ไอ้หนู! อย่าให้มันมากเกินไป คงไม่คิดว่าพวกพี่ชายตรงนี้จะรังแกกันได้หรอกมั้ง”

กลุ่มคนหนุ่มเหล่านี้ไม่รู้ว่าอู๋ฝานเป็นใคร ตั้งแต่ถูกชายหนุ่มไล่ครั้งแรกพวกเขาก็โมโหกันไม่ใช่น้อย ตอนนี้เมื่อเป็นฝ่ายยอมถอยไปเองแล้ว แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายเรียกไว้ ถือได้ว่าเกินกว่าที่พวกเขาจะอดกลั้นต่อ

อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดกันอยู่ในใจ

อู๋ฝานเมินความก้าวร้าวของกลุ่มคน ก่อนจะเดินตรงเข้าหา “พวกนายมาทำอะไรที่นี่กันแน่? คงไม่บอกว่าบังเอิญผ่านมา กับสถานที่ที่ไร้ผู้คนอย่างนี้ ไม่มีอะไรอื่นนอกจากโกดังขนาดใหญ่เต็มไปหมดเนี่ยนะ?”

“พวกเรามาทำอะไรใช่เรื่องที่แกต้องสนใจรึไง ที่นี่ไม่ใช่บ้านแก ต่อให้โกดังนี้เป็นของแก พวกเราก็ไม่เข้าไปแล้ว ดังนั้นแกจะสนใจทำไม!”

“ใช่แล้ว พวกเราก็แค่มาดู ไม่ได้รึไง?”

เมื่อเผชิญหน้ากับอู๋ฝาน พวกเขาเหล่านี้ไม่มีทีท่าคิดยอมแม้แต่น้อย

“ใครใช้พวกแกมาที่นี่?” อู๋ฝานถามตรงเข้าประเด็นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อที่คนเหล่านี้ตอบกลับมาแม้แต่น้อย

“ไม่มีใครใช้พวกเรามาที่นี่ พวกเราแค่ผ่านมาเดินเล่นไม่ได้รึไง?”

“คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ?” อู๋ฝานชี้หน้าหนึ่งในกลุ่มคน “ผู้ว่าจ้างที่แกพูดถึงกันเมื่อกี้ มันเป็นใคร?”

สีหน้าของคนที่ถูกอู๋ฝานชี้หน้าถามเปลี่ยนไป เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยินคำพูดที่พวกตนคุยกันเองเมื่อครู่ ดังนั้นจึงตอบกลับด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ไม่รู้หรอกนะว่าแกพูดถึงเรื่องอะไร ผู้ว่าจ้างอะไรนั่น… จะมีผู้ว่าจ้างอะไรกัน? ไอ้หนู คิดจะหาเรื่องกันรึไง?”