ทว่า หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกประหลาดใจ ไท่ซ่างหวงมีของประหลาดประหลาดแบบนี้ได้อย่างไร
นี่คือหญ้างูทิพย์ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
นางพบว่าที่สวนหลังตำหนักนี้นอกจากหญ้างูทิพย์แล้ว ยังมีพืชรูปร่างประหลาดอีกหลายชนิด
นางค่อยๆเดินดู เดินตรงไปตรงหน้าดอกไม้สีสดดอกหนึ่ง นางยื่นมือออกไปคิดจะจับ แม่นมสี่รีบพูดขึ้นว่า “อย่าจับเพคะ”
หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้ง หันกลับไปมองแม่นมสี่ “ทำไมหรือ”
“นี่คือดอกไม้กินคน”แม่นมสี่พูดด้วยสีหน้าขาวซีด
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะไม่เคยเห็นหน้าตาของดอกไม้กินคน แต่ว่าก็เคยเห็นผ่านหนังสือและโทรทัศน์มาก่อน ไหนเลยจะมีรูปร่างเช่นนี้
ดอกไม้ดอกนี้ ดูแล้วเหมือนกุหลาบ แต่ไม่ได้มีกลีบดอกที่ซับซ้อนเท่ากับดอกกุหลาบ มีเพียงหกกลีบเท่านั้น ที่ล้อมเป็นวงกลม ข้างในมีเกสรสีเหลือง
แม่นมสี่เห็นนางทำท่าไม่อยากเชื่อ ก็เลยเก็บกิ่งไม้เล็กๆขึ้นมาหนึ่งกิ่ง แตะไปที่เกสรดอกไม้ เห็นเพียงกลีบดอกไม้ทั้งหกกลีบหุบลงอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียง “กร๊อบ” กิ่งไม้กิ่งเล็กๆก็มีเสียงหักดังขึ้น รอจนกระทั่งกลีบดอกไม้เปิดออกมาอีกครั้ง กิ่งไม้เล็กๆนั้นก็ถูกหักเป็นท่อนเล็กๆ แตกออกเป็นกากไม้ไปแล้ว
“ของเหล่านี้ ไปเอามาจากที่ใด ”หยวนชิงหลิงถามอย่างตกใจ
อย่าว่าแต่จะเคยเห็นเลย ชื่อยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ
“เซียวเหยากงมอบให้เพคะ”แม่นมสี่พูด
ไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้วที่ได้ยินคำว่าเซียวเหยากงสามคำนี้
เห็นที นางสมควรต้องไปเยี่ยมเยียนเซียวเหยากงสักหน่อยแล้ว
ตอนที่ออกมาจากตำหนักฉินคุน ก็พอดีได้พบกับฉู่หมิงชุ่ยและฉู่หมิงหยางสองพี่น้อง
หยวนหย่งอี้ไม่ได้อยู่กับพวกนาง สองศรีพี่น้องดูแล้วคงเพิ่งจะออกมาจากตำหนักฮองเฮา
ทว่า หยวนชิงหลิงคิดไว้แล้วว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น จะเดินผ่านไป
แต่ฉู่หมิงชุ่ยกลับเรียกหยวนชิงหลิงเอาไว้ “พระชายาฉู่ช้าก่อน”
หยวนชิงหลิงหันไปมองนาง “พระชายาฉีมีเรื่องอะไรหรือ”
ฉู่หมิงชุ่ยเดินเข้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงขออภัยว่า “น้องรองของข้าแต่ไหนแต่ไรก็ปากไวชอบพูดอย่างที่ใจคิด แต่ว่านางไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ขอพระชายาฉู่อย่าได้ถือสานางเลย ”
“ไม่ถือสา”ฉู่หมิงหยางนั้นไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่นางเต็มไปด้วยเจตนาร้ายต่างหาก
ฉู่หมิงชุ่ยโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดี ยากนักที่พระชายาฉู่จะใจกว้าง ไม่ถือสานาง คิดว่า ภายหน้าพวกท่านก็คงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข”
เอาอีกแล้ว หยวนชิงหลิงเลิกคิ้วขึ้น ครั้งนี้นางคิดว่าต้องโต้ตอบบ้างแล้ว “ข้าไม่เห็นชอบให้นางแต่งเข้ามา เรื่องนี้เจ้าเองก็คงรู้ดี”
ฉู่หมิงชุ่ยนิ่งอึ้ง “เจ้าไม่เห็นด้วย แต่เรื่องนี้กำลังดำเนินการอยู่นี่นา พี่เห้าก็รู้”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “พี่เห้าของเจ้าไม่รู้”
ฉู่หมิงชุ่ยแสดงออกว่าตกใจ หันกลับไปมองฉู่หมิงหยาง ราวกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเสียเต็มประดา
ฉู่หมิงหยางยิ้มเย็น “คนที่จิตใจคับแคบเช่นนี้ ยังเหมาะจะเป็นพระชายาอีกหรือ”
หยวนชิงหลิงมองไปทางฉู่หมิงหยาง “ข้าจำได้ว่าข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า”
ทำไมหญิงคนนี้จึงกัดนางไม่ปล่อย อย่ามาพูดกับนางเรื่องที่ว่าเป็นพี่น้องที่รักกันมากกับฉู่หมิงชุ่ย ก็ต้องช่วยพี่สาวระบายแค้น ฉู่หมิงหยางคนนี้ตื้นเขินเกินไปแล้ว นางไม่ทำแน่
ฉู่หมิงหยางเดินขึ้นไปตรงหน้าหนึ่งก้าว เงยหน้าเล็กน้อยเหลือบมองหยวนชิงหลิง เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า แต่ข้าไม่ชอบที่เห็นเจ้าทำท่าทีเหมือนพวกคางคกขึ้นวอ เจ้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย ใช้วิธีการสกปรกจนเจริญขึ้นได้ทุกวันนี้ แต่กลับแสร้งว่าตัวเองนั้นบริสุทธิ์สูงส่งกว่าใครๆ ยังใช้จุดนี้มาล่อให้อ๋องฉู่รักเจ้าหัวปักหัวปำ ชิ ข้าเห็นแล้วก็อยากจะอาเจียน ข้าไม่อยากเห็นเจ้าได้ดังใจ ข้าจะฉีกหน้าเจ้า ให้คนอื่นเห็นภายในใจที่ไร้ยางอายของคนชั้นต่ำเช่นเจ้า ”
อกของหยวนชิงหลิงกระเพื่อมขึ้นลง นางรู้ว่าฉู่หมิงหยางจงใจจะทำให้ตัวเองโกรธ ทำให้นางโมโหจนอันตรายต่อตัวเอง แต่นางที่เป็นถึงหมอปริญญาเอก ที่จริงไม่ควรถือสาสาวน้อยปากร้ายที่แม้แต่การศึกษาระดับประถมก็ยังไม่มีคนนี้
แต่ว่า นางกดอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่
นางคว้ามือของแม่นมสี่เอาไว้ เพราะเกรงว่าตนเองจะเกิดโมโหจนสลบไป ดวงตากลมโตจ้องไปที่ฉู่หมิงหยาง พูดเสียงเย็นว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะแต่งเข้าจวนอ๋องฉู่จริงหรือแค่ต้องการกระตุ้นให้ข้าโกรธ แต่ข้าได้ยินทุกถ้อยคำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวคนใด ที่คิดอยากจะเข้ามาในจวนอ๋องฉู่ อยากจะพึ่งพาหยู่เหวินเห้า ล้วนต้องถามข้าก่อน ส่วนข้า จะไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ”
หยวนชิงหลิงพูดจบ ก็รู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง นางยังขัดเกลาตัวเองได้ไม่มากพอ
นางหมุนตัว ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะอย่างดูถูกของฉู่หมิงหยาง “ไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว คนตายแล้ว ย่อมต้องถอยเป็นธรรมดา ”
หยวนชิงหลิงหันกลับไปอย่างแรง อยากจะตบหน้าสักฉาด
แม่นมสี่รีบเข้าไปขวางไว้ตรงหน้านาง เอ่ยเสียงเย็นว่า “คุณหนูรอง พูดจาอย่าชั่วร้ายเกินไป ระวังคำพูดคำจาด้วย”
ฉู่หมิงหยางกำลังจะแย้งกลับ แต่ถูกฉู่หมิงชุ่ยรั้งเอาไว้ ฉู่หมิงชุ่ยย่อตัวคำนับ “แม่นม เชิญส่งพระชายาฉู่กลับไปเถอะ เรื่องวันนี้ ข้าต้องไปขอโทษถึงที่แน่”
“ไม่จำเป็นเพคะ”แม่นมสี่หลุบตาลง เอ่ยเสียงเย็น
ที่หน้าผากของหยวนชิงหลิงมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมา อากาศหนาวขนาดนี้ นางยังมีเหงื่อออก
ในใจของแม่นมสี่เป็นห่วงอย่างที่สุด แค้นจนอยากจะฉีกปากของฉู่หมิงหยางซะเดี๋ยวนี้เลย
ออกมาถึงข้างนอก สวีอีกำลังรออยู่ เห็นแม่นมสี่ประคองพระชายาออกมา อดไม่ได้ที่จะหน้าขรึมลง “นี่เกิดอะไรขึ้น”
“อย่าเพิ่งถาม ขึ้นรถม้าก่อน”แม่นมสี่รีบพูด
ขึ้นรถม้าแล้ว สีหน้าของหยวนชิงหลิงก็ขาวซีดแล้ว กุมหน้าท้องหายใจลึกๆอยู่หลายครั้ง
“อย่างตื่นเต้น ค่อยๆหายใจ ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”แม่นมสี่พูดปลอบ
หยวนชิงหลิงรู้ว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ นางปรับการหายใจให้ปกติ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก
รถม้ากลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว แม่นมประคองนางลงมา สวีอีรีบวิ่งไปหาหมอหลวง
ลู่หยากับแม่นมประคองกันคนละข้าง ประคองหยวนชิงหลิงกลับไปที่ตำหนักเซียวเยว่
หยวนชิงหลิงหงุดหงิด “นางแค่จะทำให้ข้าโกรธ ข้าไม่หลงกลหรอก”
แม่นมสีสายตาเยือกเย็น “ไม่ว่าใครได้ยินคำพูดพวกนั้นก็ย่อมต้องโมโห”
หยวนชิงหลิงนอนลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เมื่อครู่ข้าสะกดอารมณ์ไม่ได้จริงๆ หากไม่ใช่แม่นมเจ้ารั้งข้าเอาไว้ ข้าเกรงว่าคงจะตบลงไปจริงๆ”
คนท้องช่างเหนื่อยยากเสียจริง ถูกคนด่าไม่กี่คำ ก็สารพัดทนไม่ไหว ราวกับตุ๊กตาดินเผาก็ไม่ปาน
แม่นมสี่รู้ว่า พระชายาเตรียมจะลงมือแล้ว แต่ว่า ไม่ว่าลงมือถูกใครคนใดก็ตาม สุดท้ายก็เท่ากับทำร้ายตัวนางเอง
แม่นมสี่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ฉู่หมิงหยางก็เหมือนแมลงวันที่น่ารังเกียจตัวหนึ่ง คอยแต่จดจ้องพระชายา
ฝีปากเช่นนี้ พระชายาจะด่าก็ไม่ใช่ จะลงมือก็ไม่ได้ ช่างเสียเปรียบจริงๆ
นึกถึงตรงนี้ ในใจของแม่นมสี่ก็มีความโกรธพุ่งขึ้นมา นางต้องหาวิธีการสักอย่าง ไม่เช่นนั้น จะไม่จบไม่สิ้น
หมอหลวงรีบเร่งมาถึง ตรวจชีพจร เพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบทำให้เกิดอาการเจ็บท้อง หยวนชิงหลิงพักผ่อนปรับสมดุลอยู่หลายวัน ถูกสั่งให้กลับไปทำอย่างเดิมอีกแล้ว คือนอนนิ่งๆเป็นเตียงห้ามเคลื่อนไหว
แม่นมสี่สั่งให้แม่นมฉีและลู่หยาดูแลพระชายา ตัวเองกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ออกไปข้างนอก
พูดถึงฉู่หมิงหยางที่เห็นฉู่หมิงชุ่ยที่ขวางนางเอาไว้ ยังบอกกับแม่นมสี่ว่าวันหน้าจะไปขอโทษถึงที่ รู้สึกว่านางจะไม่มีกล้าเลยสักนิด เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่าทีที่ท่านอ่อนน้อมต่อสาวใช้คนหนึ่งทำข้ารังเกียจเสียจริง”
“แม่นมสี่เป็นคนข้างกายไท่ซ่างหวง จะล่วงเกินไม่ได้ ”ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยเสียงเรียบๆ สีหน้ามีแววโกรธเคืองเล็กน้อย ช่วงนี้ฉู่หมิงหยางยิ่งอยู่ก็ยิ่งใจร้อน แม้แต่นางที่เป็นพี่สาวนางก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา
“แล้วอย่างไร ก็แค่คนรับใช้คนหนึ่ง”ฉู่หมิงหยางเอ่ยเสียงเย็น
“เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ท่านปู่เคยไปมาหาสู่กับนาง”ฉู่หมิงชุ่ยพูดด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก “ข้านั้นหวังดีกับเจ้า เจ้ายังพูดจาเช่นนี้ เจ้าช่างไม่เข้าใจความหวังดีของผู้อื่นเลย”