เจียงซื่อเขยิบไปด้านข้างหนึ่งก้าว
ใกล้กันเกินไป มันอาจทำลายสติสัมปชัญญะของนางได้
แต่งงานกับเขาน่ะหรือ…หากในชาติภพที่แล้วและชาติภพนี้ในใจของเขาล้วนเป็นเจียงซื่อ การแต่งงานกับเขาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่าแต่งงานกับชายอื่นแน่นอน
ทว่าตอนนี้นางไม่ใช่สตรีที่ใครๆ ก็พากันเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ และเขาก็ถูกพระราชทานยศเป็นเยี่ยนอ๋องก่อนกำหนด เดิมเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
อีกอย่าง การที่จะบากบั่นเข้าไปอยู่ในพระราชวังได้จะต้องมีความสามารถ ชาติภพที่แล้วนางตายอย่างน่าเวทนาในแผนลอบทำร้ายทรยศราชวงศ์ ถ้าแต่งงานกับเขาไปก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับหวาดระแวงอีกครั้งงั้นหรือ
วันเวลาแบบนั้นมันช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับการที่ต้องผ่านอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อกับเขา นางยอมอยู่แบบตอนนี้ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าวันใดวันหนึ่งจะต้องตายจากโลกนี้ไปโดยพิลึกพิลั่น
“ระวัง” อวี้จิ่นดึงเจียงซื่อไว้อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้นางเหยียบโดนเศษกระเบื้องที่ตกแตก
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เจียงซื่อออกมาข้างนอกยังคงสวมรองเท้าปักพื้นนุ่มอยู่ หากเหยียบโดนเศษกระเบื้องแตกเข้าอาจจะบาดเท้านางได้
เจียงซื่อก้มมองดูเศษกระเบื้องแตกที่พื้นครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขอบคุณอวี้จิ่น
อวี้จิ่นยิ้มพลางบีบมือนางไว้ “เจียงซื่อ…ยอมข้าได้หรือไม่”
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แล้วดึงมือออกมาช้าๆ
ชั่วขณะนั้นในใจอวี้จิ่นรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะคว้ามือนางไว้อีกครั้ง ช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาต้องประพฤติตัวดีๆ เพื่อที่จะได้ยินคำตอบที่เขาอยากได้ยิน
เจียงซื่อยิ้มออกมาเล็กน้อย
หากเทียบกับตอนที่โกรธ สีหน้าท่าทางเช่นนี้ทำให้อวี้จิ่นกังวลขึ้นมา
ยอมเขาเถอะ เพียงแค่รับปากตกลงเท่านั้น เขาจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี ทั้งชีวิตนี้ ภพหน้า หรือทุกภพชาติต่อๆ ไปเลย
หากเขาเป็นสตรี แล้วพบเจอกับชายหนุ่มเยี่ยงนี้คงถวายทั้งกายและใจให้ไปแล้ว หรือว่านางจะใจร้ายใจดำ ผลักไสไล่ส่งให้เขาไปหาผู้อื่น
หากชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มีอาซื่อ เขาคงไม่มีทางมีความสุข
ทันใดนั้นลมในฤดูใบไม้ร่วงจากนอกห้องก็พัดเข้ามา แม้ว่าจะมีประตูกั้นอยู่ แต่ลมหนาวก็ยังเล็ดลอดผ่านตามซอกหลืบเข้ามาได้ ชุดของทั้งสองปลิวไสวขึ้นตามสายลม จิตใจก็เริ่มนิ่งขึ้น
ในที่สุดเจียงซื่อก็ถามออกไป “ท่านอ๋องทราบตัวตนของตัวเองหรือไม่”
นางถือว่าตัวเองเข้าใจอวี้ชีดี พูดถึงบางด้านของเขาก็มีนิสัยเหมือนกับนาง ทั้งสองล้วนเป็นคนหัวแข็ง เมื่อแน่ใจอะไรแล้วจะไม่มีทางถอยหลัง
ดูเหมือนว่าหากวันนี้พูดไม่ชัดเจนเขาก็คงไม่ยอมวางมือ
“ตัวตนงั้นหรือ” อวี้จิ่นขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ ‘ท่านอ๋อง’ เมื่อได้ยินคำนี้มันช่างขัดหูเสียจริง
ที่แท้อาซื่อก็กังวลเรื่องนี้
เขากลับมีท่าทีสงบลง ดวงตาสีดำมองจ้องนางเป็นประกาย ฉายแววความแน่วแน่และมั่นใจส่งผ่านออกมา แล้วเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด “ข้าต่างหากที่ควรจะกังวลถึงการแก้ไขปัญหานี้ ไม่ใช่เจ้า”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาโดยแฝงความกวนไว้ “อีกอย่าง เจ้ากังวลไปก็ไร้ประโยชน์”
เพียงแค่อาซื่อยอมแต่งงานกับเขา ส่วนจะกล่อมเสด็จพ่อเรื่องการแต่งงานอย่างไรนั้นเป็นปัญหาที่เขาต้องหาทางเอง
ความจริงที่เขาพูดออกมาทำเจียงซื่ออึ้งไปเลย
ปัญหานี้หากนางอยากจัดการก็ทำไม่ได้จริงๆ
“อาซื่อ เจ้าแค่คิดให้ดีว่าจะแต่งงานกับข้าหรือไม่ก็พอ เพียงเจ้าตอบตกลง ปัญหาอื่นๆ ข้าจะจัดการเอง” อวี้จิ่นเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แฝงไปด้วยการหลอกล่อเล็กน้อย
เขาสามารถใช้กลอุบายเพื่อกำหนดงานแต่งงานได้ และเมื่ออาซื่อไม่ยินยอม เขาสามารถทำให้จวนตงผิงปั๋วและอาซื่อล้วนไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำว่า ‘ไม่’ แต่หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากใช้วิธีนั้น
แน่นอนว่าถ้าหากจวนจงผิงปั๋วต้องการยกอาซื่อให้ผู้อื่น เช่นนั้นเขาก็คงไม่อาจนั่งงอมืองอเท้านิ่งเฉยอยู่ได้เขาต้องแย่งมาก่อนค่อยว่ากัน ก่อนหน้านี้เขาเคยชะล่าใจมาก่อน อาซื่อจึงเกือบได้แต่งงานกับจวนอันกั๋วกงไปแล้ว ความรู้สึกอัดอั้นและเจ็บปวดทุกข์ระทมเช่นนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้นกับเขาอีก
อืม ขณะที่ยังไม่มีใครมาแย่ง เขาก็จะอดทนรอจนกว่าอาซื่อจะพยักหน้ายอมรับ แต่หากมีคนมาแย่งเขา เขาจะรีบชิงลงมือก่อน…อะไรนะ ทำเช่นนี้มันช่างไร้ยางอายงั้นหรือ ไร้สาระน่า เขามียางอายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เจียงซื่อส่ายหน้า “ท่านอ๋อง ข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดาของจวนปั๋ว อยากจะใช้ชีวิตที่เรียบง่ายธรรมดา ข้าไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตในวังหรอก”
“ไม่เหมาะอย่างไรกัน ข้าเป็นเพียงท่านอ๋องที่เอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยๆ พวกเราไม่โผล่หน้าหรือหาเรื่องอะไรกับผู้ใด ส่วนเรื่องที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในวังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะสะดวกสบายใจเพียงไหน”
การต่อสู้แย่งชิงในวังนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายจริงๆ ทว่าเขาไม่ได้จะไปร่วมวงด้วยสักหน่อย พวกคนที่มีความคิดเช่นนั้นต่างก็ยินดีที่เขาจะอยู่ห่างจากเรื่องนี้ คงไม่อยากจะดึงเขาเข้าไปเป็นศัตรูเพิ่มหรอก
เจียงซื่อยังคงส่ายหน้า
องค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง เมื่อพายุแห่งการแย่งชิงบัลลังก์เกิดขึ้น คิดว่าการวางตัวออกห่าง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นนี้จะพอหรือ
จู่ๆ อวี้จิ่นก็ยื่นมืออกมาประคองหน้าเจียงซื่อ พลางเอ่ยขึ้นน้ำเสียงโมโห “หากเจ้ายังไม่คิดพิจารณาให้ดีๆ แล้วส่ายหน้าออกมาตามอำเภอใจอย่างไม่รับผิดชอบ ข้าจะกัดเจ้านะ!”
เจียงซื่อกลอกตาใส่เขาอย่างไม่รู้ตัว
ทว่าจู่ๆ อวี้จิ่นก็เอาจริงเอาจังขึ้นมา เขาวางมือกลับลงไปที่โต๊ะ เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจียงซื่อ เจ้าคิดว่าอะไรคือวันธรรมดาที่แสนเรียบง่ายกัน การแต่งงานกับชายหนุ่มธรรมดางั้นหรือ ข้าจำได้ว่าตอนที่พี่รองของเจ้าแต่งงานกับฉังซิงโหวซื่อจื่อ ถ้าหากดูจากฐานะทางครอบครัวของทั้งสองแล้วก็ถือว่าเป็นชายหนุ่มธรรมดา แต่แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ”
เจียงซื่อถูกถามจนนิ่งอึ้งไป
แน่นอนว่าในสายตาของผู้คนทั่วไปฉังซิงโหวซื่อจื่อไม่นับว่าเป็นชายหนุ่มธรรมดา แต่สำหรับตระกูลแบบพวกเขาแล้ว ชายหญิงที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งหากเทียบกับตัวตนท่านอ๋องแน่นอนว่าเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา
และในสายตาของผู้ที่มั่งมีทั้งหลาย ในฐานะลูกเขยที่น่าภูมิใจของจวนตงผิงปั๋ว ชายธรรมดาคนนี้กลับเป็นฆาตกรต่อเนื่องฆ่าหญิงสาว
“พวกพ่อค้าหาบเร่ตามตรอกซอกซอยถนน และชาวไร่ชาวนาพวกนั้นต่างหากที่เป็นชายหนุ่มธรรมดา ทว่าชายธรรมดาเช่นนี้แหละที่พอมีเงินในมือเพียงเล็กน้อยก็ไปเที่ยวแม่น้ำจินสุ่ย อีกทั้งพอดื่มเหล้าเข้าไปสักหน่อยก็ทะเลาะตบตีภรรยา…” น้ำเสียงของอวี้จิ่นอัดแน่นไปด้วยความจริงใจ ทว่ารอยยิ้มมุมปากกลับแสดงความเหยียดหยามออกมา “อาซื่อ ชีวิตคนเราบนโลกนี้ไม่ว่าจะเลือกทางไหนล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น สิ่งที่เรียกกันว่าช่วงเวลาที่แสนสงบเรียบง่ายธรรมดานั้นมันไม่แน่หรอกว่าจะดี บางทีอาจจะแสนสาหัสยิ่งกว่า และน่ากลัวยิ่งกว่าก็ได้”
เจียงซื่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
อวี้จิ่นเห็นท่าทีเช่นนี้จึงพูดเสริมเข้าไปอีก “เจ้าคิดดูสิ อย่างน้อยข้าเป็นคนเช่นไรเจ้าก็รู้ หากเทียบกับการไปแต่งงานกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักเลย ความเสี่ยงมันน้อยกว่านะ”
อวี้จิ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับพ่อค้าขายผักที่กำลังตะโกนเรียกลูกค้า เร่เข้ามา เร่เข้ามา หัวไชเท้าสีขาวสดใหม่ ลูกโตๆ เปลือกบาง รสชาติเยี่ยม คุณภาพดีกว่าแตงที่บิดเบี้ยว หวานกว่าลูกพุทราที่แตกของร้านอื่นเยอะเลย
ภายใต้คำพูดเกลี้ยกล่อมของเขาราวกับมีสวรรค์มาช่วย ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เจียงซื่อรู้สึกว่าเขามีเหตุผลเล็กน้อย
พี่ใหญ่กับพี่รองที่แต่งงานไปล้วนแต่งกับคนธรรมดาที่มีฐานะเท่าเทียมกัน แต่ชีวิตของพวกนางก็ไม่ได้น่าเบื่อไปกว่านางในชาติภพที่แล้วสักเท่าไหร่…
นางเงียบไปนาน ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยความลังเล “ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าขอคิดให้ดีก่อน”
อวี้จิ่นดีใจยกใหญ่
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงซื่อไม่ได้ปฏิเสธเขาแบบเด็ดขาด แถมยังบอกว่าขอคิดดูก่อนด้วย
“เจ้าค่อยๆ คิด ตั้งใจคิด อย่าคิดโดยมีอคติอะไรทั้งสิ้น”
ในใจอาซื่อแค่ฐานะที่เป็นโอรสของฮ่องเต้ เขาก็แพ้ไปก่อนแล้ว เป็นเขามันง่ายหรือ
“ข้าอาจจะต้องคิดนานสักหน่อย”
“คิดนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร” อวี้จิ่นถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก ความดีใจจากนัยน์ตาเอ่อล้นออกมาจนถึงมุมปาก