ขณะที่อวี้จิ่นเดินออกไปจากตรอกซอย เขาก็ไม่ผ่อนฝีเท้าลงเลย
จวนของเยี่ยนอ๋องก็เหมือนกับจวนของอ๋องท่านอื่น ที่ตั้งรวมอยู่ในบริเวณรวมทายาทเชื้อพระวงศ์อันสูงศักดิ์
เขาเดินมาถึงประตูใหญ่ด้วยความดีอกดีใจ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบหัวรูปปั้นสิงโตหินที่อยู่หน้าประตู ทำให้นายประตูต่างเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที
อวี้จิ่นเหลือบตามองนายประตูที่ทำหน้าตาประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินสาวเท้าก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หากเทียบกับบ้านหลังเล็กในตรอกเซวี่ยจื่อ แน่นอนว่าจวนของท่านอ๋องมันใหญ่กว่าอยู่แล้ว ทั้งศาลา เรือนและลานอันกว้างขวาง ผู้ใดมาครั้งแรกจะต้องหลงแน่ แต่สำหรับอวี้จิ่นแล้ว เขารู้สึกว่าเรือนหลังที่มีต้นพุทราคอคดอยู่ที่ปากประตูทางเข้านั้นสะดวกสบายที่สุด เมื่อเดินเข้ามาก็จะเป็นลานบ้าน มีต้นเหอฮวนต้นใหญ่ให้ร่มเงา การได้นั่งใต้ต้นของมันในช่วงฤดูร้อนจะเย็นสบายมากที่สุด นอกจากนั้นยังมีดอกเหอฮวนที่บานสะพรั่งอยู่ตลอดราวกับพัดขนาดเล็กช่วยเสริมแต่งให้วันเวลาที่ยาวนานดูสวยงาม
จวนอ๋องที่กว้างใหญ่ช่างอ้างว้างยิ่งนัก อวี้จิ่นคิดอย่างจริงจังดู หลักๆ เลยก็เพราะขาดนายหญิงนี่เอง
เอ้อร์หนิวนอนขดอยู่ข้างกำแพง เมื่อเห็นเจ้านายกลับมาก็ชำเลืองมองอย่างไม่แยแส จากนั้นก็หมอบลงบนขาหน้าเหมือนเดิม
สำหรับสุนัขตัวโตตัวนี้มันเห็นหน้าเจ้านายของตัวเองมามากพอแล้ว ตอนนี้ความสำคัญของอวี้จิ่นลดลงไปแล้วลดลงไปอีก ก่อนหน้านี้อาจจะพอถูๆ ไถๆ ไปได้บ้างว่าเทียบเท่ากับเนื้อติดกระดูกหนึ่งกะละมัง แต่ว่าตอนนี้ความสำคัญของเขาเทียบเท่าเพียงเนื้อติดกระดูกแค่อันเดียวแล้ว
“เอ้อร์หนิว มานี่สิ” อวี้จิ่นอยากจะแบ่งปันเรื่องที่น่าอารมณ์ดีเช่นนี้กับผู้อื่น แต่คิดไปคิดมาหลงต้านกับเหลิงอิ่งยังไม่น่าไว้ใจเท่ากับเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวส่ายหางไปมา ท่าทางขี้เกียจจะสนใจ
อวี้จิ่นไม่ถือสา เขาเดินเข้าไปด้วยท่าทางยิ้มแย้มมีความสุข พลางกอดหัวเอ้อร์หนิวไว้แล้วลูบไปมา
“หงิงหงิง…” เอ้อร์หนิวที่หน้าตาน่ารักขัดขืน
หลงต้านยื่นหน้าออกไปมอง พลางชนเข้ากับเหลิงอิ่ง จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “วันนี้เจ้านายดูผิดปกติไปเล็กน้อย!”
เหลิงอิ่งเก็บธนู แล้วหันหลังเดินไป
“นี่ เจ้าจะไปไหน” หลงต้านตะโกนขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
ชั่วพริบตาเดียวเหลิงอิ่งก็เดินออกไปไกล เขาได้ยินแค่อวี้จิ่นพูดขึ้น “หลงต้านมาฝึกกับข้าหน่อย”
หลงต้าน “…” เหลิงอิ่งไอ้เพื่อนสารเลว!
หลงต้านถูกเจ้านายเหยียบย่ำจนปวดร้าวไปหมด อย่ามาพูดเรื่องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับเขาตอนนี้เชียว
……
ด้านเจียงซื่อ เมื่อกลับมาถึงเรือนไห่ถังนางก็นั่งลงในท่วงท่าที่สวยงาม จากนั้นก็เริ่มรู้สึกละอายกับความลังเลในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา
ช่างไร้ประโยชน์และไม่เด็ดขาดจริงๆ เลย ทำไมถึงต้องคิดจะกลับไปขึ้นเรือลำเดิมเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่ายด้วยนะ
เจียงซื่อ นี่เจ้าเป็นคนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้เชียวหรือ
นางได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ ใช่ ใช่ เจ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าโง่หรืออย่างไร ในเมื่อแต่งกับชายใดล้วนมีความเสี่ยง เช่นนั้นแต่งกับชายที่ดูดีและถูกใจจะเป็นอะไรไป
เจียงซื่อยื่นมือออกมาคลึงที่หน้าตัวเอง
หยุดคิดต่อไปนะ เวลานี้ความลังเลใจของนางเริ่มอันตรายเล็กน้อย
อาหมานยืนอยู่ด้านข้าง มองคุณหนูของตัวเองที่สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา พลางถอนหายใจอย่างเป็นกังวลออกมา
คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ มันไม่ดีเลยที่แสดงอารมณ์ชั่วร้ายเฉกเช่นคืนนั้นออกมา
เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามวัน
ลมในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีกลิ่นดอกเบญจมาศกับปูแช่เหล้าลอยคละคลุ้งในอากาศ
เวลานี้ที่แม่น้ำจินสุ่ยคึกครื้นเสียยิ่งกว่าช่วงฤดูร้อนอีก
การชมดอกเบญจมาศและมาลิ้มรสชาติของปูนั้นไม่เพียงแต่เป็นความสุขของพวกตระกูลร่ำรวย มันยังเป็นงานฉลองของนักประพันธ์กับสตรีเต้นกินรำกินด้วย
เจียงซื่อที่พักอยู่ในเรือนเห็นอาเฟยดูเมาๆ
แม้จะเป็นกลิ่นสุราจางๆ ทว่านัยน์ตาอาเฟยกลับเป็นประกาย คิ้วที่ขมวดแน่นของเจียงซื่อผ่อนคลายลงอีกครั้ง เป็นการแสดงเจตนาให้อาเฟยนั่งลงตอบคำถาม
อาเฟยรับรู้ได้จึงเลือกที่นั่งห่างจากเจียงซื่อออกไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหยเก “สองวันนี้ดื่มมากไปหน่อย ตับไตไส้พุงล้วนกลายเป็นที่ใส่เหล้าแล้วขอรับ”
“ลำบากเจ้าแล้ว”
อาเฟยรีบโบกมือปัด “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยแม้แต่นิดเดียวขอรับ”
สวรรค์เอ๋ย ได้โปรดให้เขาได้ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยเถอะ
“สองวันมานี้ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”
อาเฟยนั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับเก็บอารมณ์คึกของตัวเองไว้ “ไม่รู้ว่าสำหรับคุณหนูมันจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ข้าได้ยินชายฉกรรจ์สองคนนั้นพูดออกมาตอนเมาอยู่สองสามประโยค”
เจียงซื่อรินชากับมือส่งให้อาเฟย เป็นการบ่งบอกว่าให้เขาพูดต่อ
“ข้าเลี้ยงเหล้าพวกเขาสองครั้ง ครั้งแรกทั้งสองยังคงระแวดระวังตัวเล็กน้อย พอครั้งที่สองก็เริ่มเปิดใจดื่ม ตอนนั้นดื่มไปได้สักพัก ข้าจึงถามพวกเขาว่าตอนนี้การขายลูกสาวหรือสตรีบนเรือบุปผานั้นเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ ท่านเดาดูสิว่าพวกเขาพูดอะไร”
เจียงซื่อใช้พัดกลมที่ทำด้วยผ้าแพรเคาะลงบนโต๊ะ จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่ามาทำให้คนอื่นร้อนใจสิ”
อาเฟยจริงจังขึ้นมาทันที “หนึ่งในนั้นพูดว่าการขายลูกสาวหรือสตรีนั้นจะไปนับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร มีคนคนหนึ่งที่เอาน้องสาวมาขายตั้งสองครั้งนั่นต่างหากถึงเรียกว่าแปลก”
เจียงซื่อฟังแล้วก็ไม่เข้าใจจึงขมวดคิ้วถาม “ขายตั้งสองครั้งหมายความว่าอย่างไร”
“คนผู้นั้นบอกว่าไม่นานมานี้มีสตรีนางหนึ่งที่อยู่ในลำดับต้นๆ ถูกไถ่ตัวออกไป แต่ผ่านไปไม่นานพี่ชายของนางก็เอานางมาขายอีกเพราะติดหนี้การพนัน พูดไปก็น่าขัน สตรีที่เคยผ่านเรือบุปผากับหญิงสาวบริสุทธิ์ ราคามันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ชายผู้นั้นคิดหรือว่าแค่เปลี่ยนชื่อน้องสาวแล้วพวกเขาจะจำไม่ได้”
เจียงซื่อเม้มปาก ฟังอาเฟยพูดต่อ
อาเฟยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยด้วยความภูมิใจ ราวกับได้สร้างความดีความชอบ “คุณหนู สตรีที่ถูกนำตัวไปขายถึงสองครั้งคนนั้นชื่อฉิงเอ๋อร์”
ในวันที่เข้าไปปะปนกับฝูงชนอาเฟยเคยเห็นฉิงเอ๋อร์ ต่อมาเจียงซื่อสั่งให้เขาไปแม่น้ำจินสุ่ยเพื่อสืบข่าว และกำชับให้เขาใส่ใจข่าวที่เกี่ยวกับฉิงเอ๋อร์ทั้งหมด
พอได้ยินถึงตรงนี้ ถือว่าสามวันที่ผ่านมาของอาเฟยไม่ได้เสียเปล่า
เจียงซื่อลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พลางเดินไปมาอยู่ในห้องสองสามก้าวแล้วหยุดลงถามอาเฟยขึ้น “พี่ชายของฉิงเอ๋อร์เป็นผู้ใด เรือนอยู่แห่งไหน เรื่องพวกนี้เจ้าสืบถามมาหรือไม่”
ครั้งนี้เป็นอาเฟยที่ส่ายหน้า “ไม่ขอรับ คนผู้นั้นเพียงแค่เคยเจอกับพี่ชายฉิงเอ๋อร์ พอข้าถามอีกก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มแล้ว ซึ่งข้าดูแล้วพวกเขาไม่รู้จริงๆ”
เจียงซื่อคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อพี่ชายของฉิงเอ๋อร์เป็นลูกค้าประจำที่บ่อนพนัน เจ้าได้ไปสืบถามที่นั่นหรือไม่”
“ไปถามมาแล้ว เสียดายที่สองคนนั้นรู้เพียงแค่ว่าพี่ชายของฉิงเอ๋อร์ชื่อหยางต้า” พูดถึงตรงนี้ อาเฟยรู้สึกว่าต้องอธิบายแก้ตัวให้ตัวเอง “คุณหนูท่านรู้หรือไม่ ที่บ่อนพนันมีคนเช่นเดียวกับพี่ชายของฉิงเอ๋อร์เยอะมาก เพราะติดหนี้การพนันมากมายนับไม่ถ้วนจนต้องขายบ้านขายที่ดิน ขายลูกชายลูกสาวและเพื่อเงินไม่กี่ตำลึงเขาจะเอาน้องสาวไปขายอีกจึงไม่ใช่เรื่องแปลก คนเช่นนี้ล้วนไม่มีใครสนใจหรอกขอรับ”
เจียงซื่อเดินกลับไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวทรงสี่เหลี่ยมอีกครั้ง พร้อมหมุนควงพัดที่ทำจากผ้าแพรในมือ
“ชายผู้นั้นบอกว่าผู้เป็นพี่ชายได้เปลี่ยนชื่อให้น้องสาว เช่นนั้นก่อนหน้านี้ฉิงเอ๋อร์ชื่อว่าอะไร”
ครั้งนี้อาเฟยไม่มีลังเล “ชื่ออวี่เอ๋อร์ อวี่เอ๋อร์เป็นสาวบุปผาลำดับต้นๆ แม้จะไม่โดดเด่นแต่ก็มีคนรู้จักไม่น้อย”
ฉิงเอ๋อร์ อวี่เอ๋อร์ น่าสนใจเสียจริง
เจียงซื่อครุ่นคิดอยู่กับสองชื่อนี้ แล้วก็แน่ใจอีกครั้งว่าตอนนี้ฉิงเอ๋อร์ที่ตระกูลจูนั่นจะต้องมีปัญหาใหญ่แน่
ทว่าการที่จะลงมือซึ่งๆ หน้ากับตระกูลจู คงจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดนัก หากต้องการไขปริศนาออกมาให้กระจ่างแจ้ง คงต้องเริ่มจากเรือบุปผา
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้ฉิงเอ๋อร์ถูกใครไถ่ตัวไป หรือว่าเป็นพี่ชายของเขา”
พี่ชายที่ติดการพนันแถมยังเอาน้องสาวตัวเองไปขายตั้งสองครั้ง หลังจากที่ได้เงินจากการชนะพนัน อย่างแรกที่คิดก็คงจะอยากเอาชนะเพื่อให้ได้เงินมากขึ้นอีก คงจะไม่ใจดีไปไถ่ตัวน้องสาวหรอก