เจียงซื่อชะงัก พลางยิ้มอย่างมีเลศนัยมองไปที่แม่เล้า
แม่เล้าโอบกองตั๋วเงินที่สูงเป็นตั้งไว้ สีหน้าแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้น
เงินที่คนอย่างพวกนางหามาได้มันไม่ใช่เงินสุจริตอยู่แล้ว เพียงแค่ให้เงินมากพอ เหตุใดจะทำลายกฎไม่ได้ล่ะ
เงินพวกนี้รวมๆ กันแล้วก็ได้หลายร้อยตำลึง ให้นางคนเดียวอยู่ด้วยก็ย่อมได้ หรือว่าจะต้องพูดถึงเรื่องแขกผู้มีพระคุณที่มาไถ่ตัวเด็กสาวไปให้ฟังก็ยิ่งได้
“เช่นนั้นพวกเรามาตกลงกันก่อน ถ้าหากก้าวออกจากประตูนี้ไป ไม่ว่าเจ้ากับแขกผู้มีพระคุณที่มาไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์ไปจะมีเรื่องทะเลาะอะไรกันล้วนต้องไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหอเยี่ยนชุน”
เจียงซื่อเอามือเท้าคาง พยักหน้าลงเบาๆ “มันแน่นอนอยู่แล้ว”
“เช่นนั้น เจ้าถามมาเถอะ” แม่เล้าเก็บเงินเข้ามาไว้ในอ้อมอก
ทว่ากลับมีมือข้างหนึ่งเหยียดออกมา พลางกดลงไปที่กองเงินนั้นเบาๆ
แม่เล้าเหมือนกับถูกเฉือนเนื้อออกไป นางมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความระมัดระวัง
เจียงซื่อยิ้มออกมา “อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เจ้าต้องบอกสิ่งที่ข้าต้องการรู้มาก่อนถึงจะยื่นมือออกมาไม่ใช่หรือ”
แม่เล้ายิ้มเยาะออกมา
“เจ้ารู้ตัวตนของผู้ที่มาไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์หรือไม่”
“เจ้าถามเช่นนี้ เจ้าไปตลาดซื้อไก่ เจ้าถามด้วยหรือว่าแม่ไก่ที่ออกไข่สีอะไร”
เจียงซื่อหน้าบึ้งทันที “ข้าไปซื้อไก่ที่ตลาดก็ไม่ได้จ่ายเงินเท่ากับราคาที่ไปซื้อวัวนะ”
แม่เล้าคนนี้คงมองนางเป็นคุณหนู คงไม่กล้าพูดอะไรมาก หึ คิดผิดแล้วล่ะ
ไหนๆ ก็มาแล้ว เงินก็จ่ายแล้ว แล้วนางจะอายใครอีก หากไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ นางก็ไม่ไปไหนหรอก!
แม่เล้าถูกตอกหน้าหงาย อดตำหนิอยู่ในใจไม่ได้ เด็กสาวหน้าตาสะสวยขนาดนี้ เหตุใดถึงได้หน้าด้านเช่นนี้กัน
“มาหม่าไม่รู้ว่าแขกผู้มีพระคุณที่มาไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์เป็นผู้ใดก็ไม่เป็นไร แล้วอายุ รูปร่างหน้าตาล่ะ อะไรก็ตามที่เจ้า ล้วนบอกให้ข้าฟัง”
แม่เล้านึกย้อนไป พลางเอ่ยขึ้น “คนผู้นั้นอายุสามสิบกว่าปี สำเนียงเมืองหลวง รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วนและไม่ผอม ท่าทางดูธรรมดา ให้พูดถึงล่ะก็เขาเป็นคนแบบที่เจอแล้วก็ลืม แต่ว่า…”
แม่เล้าลากเสียงยาว เพื่อทำให้นางร้อนใจ
เจียงซื่อกลับไม่เร่งรีบ
คนอย่างแม่เล้านั้นฉลาดที่สุด นางรู้แน่นอนว่าคำพูดไร้สาระพวกนี้ไม่อาจเอาเงินไปได้ เช่นนั้นต้องมีข้อมูลที่มีค่าอยู่แน่ๆ
แม่เล้าหัวเราะ หึๆ “ดวงตาทั้งสองข้างของข้าเห็นคนมาเยอะแยะมากมาย ถึงแม้คนผู้นั้นจะแต่งตัวดูมีหน้ามีตา ทว่าข้ามองปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นคนที่มักจะออกไปเที่ยวเตร่ตามถนน ถ้าจู่ๆ คนแบบนี้มีเงินแล้วมาไถ่ตัวคนรักมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่าไถ่ตัวเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งมันน่าสนใจเล็กน้อย แต่นี่เป็นการรับเงินมาแล้วแลกเปลี่ยนไป ไม่ควรจะสงสัยไม่ควรจะถาม ข้าก็เลยไม่ถามออกไปสักคำ…”
เจียงซื่อใช้นิ้วมือเคาะลงเบาๆ บนโต๊ะ น้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้าดูออกเพียงแค่ว่าคนผู้นั้นมักจะเดินเตร่ตามถนน อย่างอื่นไม่รู้เลยหรือ คนธรรมดาเช่นนี้หากครั้งหน้าเจออีกก็คงจะดูไม่ออกสินะ”
แม่เล้าสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกอย่างได้ใจ “เจ้าดูถูกข้าแล้วล่ะ แม้จะธรรมดาเพียงใด แต่หากได้เจรจากับข้าแล้ว ข้าล้วนจำได้ทั้งหมด ทว่าคนผู้นี้ได้ออกไปจากแม่น้ำจินสุ่ยแล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงไปคนเดียว มันยากเกินไปหากเจ้าอยากจะหาตัวเขา”
“ดูเหมือนว่า เงินที่เสียไปพวกนี้จะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก” เจียงซื่อเอ่ยพูดน้ำเสียงไม่แยแส
นางดูออก แม่เล้าคนนี้ยังมีเรื่องที่อุบไว้
“ฮ่าฮ่า ถึงแม้คนผู้นั้นจะดูธรรมดา แต่ที่จริงมีลักษณะพิเศษอยู่” แม่เล้าเห็นว่าหลอกเจียงซื่อไม่ได้ จึงไม่ปล่อยให้นางร้อนใจอีก พร้อมกับยกมือขึ้นมาชี้ที่หูข้างขวา “ที่ติ่งหูข้างขวาของคนผู้นั้นมีไฝขนาดใหญ่”
เจียงซื่อจำเอกลักษณ์นี้ไว้ แล้วถามอีก “ยังมีอีกหรือไม่ อย่างเช่นคนผู้นั้นรู้จักกับอวี่เอ๋อร์หรือไม่”
แม่เล้าส่ายหน้าไปมา “เป็นไปไม่ได้”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร”
แม่เล้ายิ้ม “ตอนที่ข้าสั่งคนให้ไปนำตัวอวี่เอ๋อร์มา เขายังถามออกมาอยู่เลยว่านี่คืออวี่เอ๋อร์หรือ หากรู้จักกันมาตั้งแต่แรก แน่นอนว่าคงไม่ถามเช่นนี้”
เจียงซื่อพยักหน้าเห็นด้วย แล้วถามสถานการณ์ตอนที่อวี่เอ๋อร์อยู่ที่หอเยี่ยนชุน
เด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้หน้าตาสะสวยแถมไม่มีจุดเด่น แม่เล้าจึงไม่ได้รู้อะไรมากนัก
เจียงซื่อเอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา “หอเยี่ยนชุนไม่ได้สนิทกับอวี่เอ๋อร์งั้นหรือ”
“ทว่ามีเด็กสาวอยู่คนหนึ่งชื่อเยี่ยนจื่อ เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้อันดับต้นของพวกเรา” แม่เล้าไม่ได้พูดออกมาปากเปล่านางเรียกตัวเยี่ยนจื่อออกมา
เด็กสาวที่เดินเตร่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เดินเข้ามาสายตาของนางก็จับจ้องไปที่เจียงซื่ออย่างรวดเร็ว
เจียงซื่อยืดตัวตรง สีหน้าอ่อนโยน ในสายตาของเด็กสาวนี่คือเด็กหนุ่มรูปงามที่ยากจะหาได้
“ไม่ทราบว่ามาหม่าเรียกเยี่ยนจื่อมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“คุณชายท่านนี้มีเรื่องอยากจะถามเจ้า พูดทุกอย่างที่เจ้ารู้” แม่เล้ารู้ดีว่าควรต้องทำตัวอย่างไร เมื่อกำชับเยี่ยนจื่อเสร็จก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง
แม้ในห้องกับห้องโถงขนาดเล็กจะมีเพียงฉากกั้นลมกั้นไว้ ทว่าเยี่ยนจื่อกลับรู้สึกผ่อนคลายลงมาก สายตาที่มองเจียงซื่อก็เริ่มอาจหาญขึ้นมา
เจียงซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “ได้ยินมาหม่าพูดว่าเจ้ากับอวี่เอ๋อร์เป็นพี่สาวน้องสาวที่ดีต่อกัน”
เหตุใดถึงต้องเป็นอวี่เอ๋อร์อีก
เป็นสาวรับใช้ปรนนิบัติอันดับต้นเช่นเดียวกัน แถมนางยังมาก่อนอวี่เอ๋อร์เสียอีก แต่อวี่เอ๋อร์กลับถูกคนไถ่ตัวออกไปแล้ว
การถูกไถ่ตัวนั้นเป็นความใฝ่ฝันที่พวกนางตั้งตารอ
หากเป็นคณิกาในนาวาใหญ่อันสวยหรูชั้นนำพวกนั้นที่เห็นแขกเหรื่อจากตระกูลร่ำรวยกันจนชิน จึงไม่ชายตามองชายหนุ่มธรรมดา ทว่าสำหรับหอเยี่ยนชุนเรือที่อยู่อันดับกลางๆ แล้ว อย่าว่าแต่พวกนางเลย ขนาดคณิกาพวกนั้นก็ไม่มีใครที่ไม่รอคอยคนใจดีมาพาตัวออกไปจากดินแดนแห่งนี้หรอก
อวี่เอ๋อร์ช่างโชคดีเสียจริง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งถูกไถ่ตัว ตอนนี้ก็มีชายหนุ่มรูปงามเป็นห่วงขนาดนี้อีก
นี่มันไม่ยุติธรรมที่สุด
“พวกเจ้ารู้จักกันมานานขนาดนี้ เคยได้ยินอวี่เอ๋อร์พูดถึงเรื่องในบ้านบ้างหรือไม่”
เยี่ยนจื่อฉีกยิ้มกว้าง “คนอย่างพวกข้า ใครจะมีหน้ามาเอ่ยถึงครอบครัวกัน มันไม่ใช่เรื่องดีแน่หากใครรู้ว่าคุณหนูจากตระกูลไหนมาทำงานในเรือบุปผา”
“มีบอกเรื่องส่วนตัวบ้างหรือไม่” เจียงซื่อพลิกมือ ต่างหูสีทองตกลงไปในฝ่ามือเยี่ยนจื่อ
เยี่ยนจื่อรีบชำเลืองมองไปทางฉากกั้นลม จากนั้นก็เก็บต่างหูพร้อมกับพูดมากขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มรูปงามถึงจะดูแล้วอารมณ์ดี ทว่าต่างหูทองคำต่างหากที่ใช้ได้จริง
เจียงซื่อนั่งฟังเงียบๆ จับข้อมูลได้คร่าวๆ อย่างเช่นครอบครัวอวี่เอ๋อร์มาจากต่างถิ่น ระหว่างทางพ่อกับแม่ได้ตายจากไป ยังไม่ทันได้หาที่ซุกหัวนอนก็ถูกพี่ชายนำมาขาย แล้วก็พี่ชายนางเป็นผีพนัน นำตัวนางมาขายแล้วยังมักจะมาถามหาเงินที่นางอยู่เสมอ นางก็ไม่กล้าไม่ให้ เพราะกลัวว่าน้องสาวจะได้รับความลำบากจากพี่ชาย…
รอเยี่ยนจื่อพักหายใจ เจียงซื่อจึงถามออกไป “ที่แท้อวี่เอ๋อร์ก็มีน้องสาวอีกคน อายุเท่าไหร่ อาศัยอยู่กับพี่ชายที่ไหน”
เยี่ยนจื่อส่ายหน้า “อวี่เอ๋อร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้”
เจียงซื่อหลับตาคิด
ในเมื่ออวี่เอ๋อร์เข้าเมืองมาตามแม่น้ำ และเพราะไม่มีเงินจึงได้นำตัวนางมาขายที่เรือบุปผาในแม่น้ำจินสุ่ยพี่ชายของนางก็มักจะมาขอเงินอยู่เสมอ เช่นนั้นคาดการณ์ได้หรือไม่ว่าพี่ชายของนางน่าจะอาศัยอยู่บริเวณใกล้ๆ กับแม่น้ำจินสุ่ย
พอเห็นว่าถามไม่ได้ข้อมูลอะไรอีกแล้ว เจียงซื่อจึงเอ่ยลาแม่เล้า
แม่เล้ารับเงินมาก็เกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว จึงรีบเดินไปส่งพ่อเทพบุตรท่านนี้ นางพาเจียงซื่อกลับไปส่งที่ห้องโถงด้วยตัวเอง
ภายใต้แสงไฟที่แพรวพราว เจียงซื่อเอ่ยพึมพำออกมา “ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ก็ควรจะต้องดื่มชากับอันดับต้นของที่นี่เสียหน่อยสิ”