บทที่ 298 แม่นางถังไม่ใช่คนง่าย ๆ

“ชุนเทา” ฮูหยินอู่เรียกสาวใช้ ชุนเทาที่ยืนรออยู่ข้างนอกขานรับ นางเป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยิน

“ฮูหยิน”

ฮูหยินอู่นำสาวใช้สามคนมาจากเมืองหลวง ทุกคนเคยรับใช้นางมาก่อน ส่วนคนอื่น ๆ เป็นซุนฮ่วยที่จัดหามาให้

“ไปเรียกสาวใช้ที่ทำงานนอกลานบ้านมา” ฮูหยินอู่สั่ง ในไม่ช้าสาวใช้ข้างกายก็ไปเรียกสาวใช้ที่ทำงานด้านนอกมา

“คารวะฮูหยิน” สาวใช้ทั้งสองรีบนั่งลงคุกเข่า

“ตบ!” ฮูหยินอู่สั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย สาวใช้คนสนิทรีบเดินเข้าไปตบหน้าถึงยี่สิบครั้ง ด้วยฝีมือการตบที่จัดเจนชำนาญทำให้สาวใช้ทั้งสองถึงกลับจมูกบวม ใบหน้าเขียวช้ำไปหมด

สาวใช้ทั้งสองตกตะลึง

“พวกเจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดจึงโดนตบปาก?”

ฮูหยินอู่ถาม บ่าวรับใช้สองคนจะไปเคยเห็นการลงโทษแบบนี้ได้อย่างไร? พวกนางส่ายหน้า ด้วยความหวาดกลัว

“ตั้งแต่ที่พวกเจ้าก้าวเท้าเข้ามาในจวนตระกูลอู่แห่งนี้ ก็นับได้ว่าเป็นบ่าวรับใช้ของข้า พวกเจ้านินทาพูดคำยุยงในบ้านของเจ้านาย ตระกูลอู่จะไม่เลี้ยงคนประเภทนี้เอาไว้ ชุนเทาขายพวกนางออกไปเสีย”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองรีบขอความเมตตา แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็โดนลากออกไปขายอยู่ดี

สาวใช้ที่เหลือต่างคาดไม่ถึงว่าฮูหยินอู่ที่ปกติดูอ่อนโยน สุภาพ จะดุร้ายน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะขยับเคลื่อนไหวอีกต่อไป

หลังจากที่ฮูหยินอู่จัดการเรื่องนี้จบลงแล้ว นางต้องการพบแม่นางถังผู้นั้น แม้จะกล่าวว่าลูกหลานมีโชคชะตาเป็นของตนเองก็ตามที แต่นางยังอดกังวลแทนนายน้อยไม่ได้ นางหวังว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นหญิงสาวที่คู่ควรแก่นายน้อยจริง ๆ

ฮูหยินอู่เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปที่ร้านอาหารหนิงเฟิงกับสาวใช้ เมื่อนางมาถึงร้านอาหารแม้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นแต่ที่ร้านยังคงคึกคักมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

ร้านอาหารหนิงเฟิงแห่งนี้ดูใหญ่โต โอ่อ่าหรูหรามากทีเดียว หญิงสาวที่สามารถสร้างกิจการที่ใหญ่โตเช่นนี้ตามลำพังได้ด้วยตนเอง ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

ฮูหยินอู่เดินขึ้นไปชั้นบน

“มีห้องส่วนตัวหรือไม่?” เถาหงถามเสี่ยวเอ้อร์ ห้องโถงมีเสียงดังมากไป

“ขอโทษด้วยแม่นาง ห้องส่วนตัวของร้านเราต้องจองล่วงหน้าวันนี้ห้องเต็มหมดแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ตอบ

“ถ้าเช่นนั้นหาที่นั่งในห้องโถงก็ได้” ฮูหยินอู่ตัดสินใจ ชายผู้นั้นพานางมานั่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว พร้อมกับส่งรายการอาหารให้ ฮูหยินอู่ดูรายการอาหาร

“ฮูหยิน ตัวหนังสือในรายการอาหารสวยงามมากทีเดียวเจ้าค่ะ”

เถาหงเอ่ยชม ฮูหยินอู่รู้สึกคุ้นตากับลายมือนี้อย่างน่าแปลกใจ แต่แล้วราวกับมีแสงวาบขึ้นมาในหัวของนาง

“เสี่ยวเอ้อร์ใครเป็นคนเขียนรายการอาหารนี้หรือ?” นางถาม

“นายท่านตู้เป็นเพื่อนของเจ้าของร้านของเราเป็นคนเขียนขึ้นมาขอรับ” เสี่ยวเอ่อร์ตอบอย่างทันใจ

นายท่านตู้… ถ้าเช่นนั้นนี่ก็เป็นลายมือของท่านจิ่วถิงสินะ ที่จวนตระกูลอู่โหวยังมีลายมือของท่านจิ่วถิงอยู่เลย!

ท่านจิ่วถิงผู้มีเกียรติมาเขียนรายการอาหารให้ใครบางคนจริง ๆ หรือนี่ หากผลงานชิ้นนี้เป็นของจริงล่ะก็ย่อมเป็นที่ต้องการในตลาดเป็นแน่

โชคดีที่เมืองนี้อยู่ในเขตชิงเหอ ย่อมมีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักและจำลายมือของท่านจิ่วถิงได้

“เหตุใดท่านจิ่วถิงถึงได้มาเขียนรายการอาหารให้ได้เล่า?”

นางอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้

“เจ้าของร้านบอกว่า นางไม่มีอะไรทำจึงให้นางเขียนให้ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์เล่าให้ฮูหยินอู่ฟังอย่างไม่ปิดบัง

ท่านจิ่วถิงตามใจนางถึงเพียงนี้ ฮูหยินอู่คิดถึงคำที่นายน้อยพูดว่าเขาไม่ดีพอสำหรับแม่นางถัง

นางเลื่อนสายตาดูรายการอาหารต่อไป

“อาหารตระกูลติง?” ฮูหยินอู่แปลกใจ

“นี่เป็นอาหารของตระกูลติงหรือ?”

“ใช่ขอรับ เป็นอาหารของตระกูลติงจริง ๆ พ่อครัวของเราเป็นผู้สืบทอดการทำอาหารของตระกูลติงขอรับ”

ท่านอู่โหวชอบกินอาหารของนายท่านติงเป็นอย่างมาก เขาเคยเชิญลูกหลานของตระกูลติงมาทำอาหารให้ในเมืองหลวง แต่ผลกลับไม่เป็นที่น่าพอใจ

สามีของนางเคยคร่ำครวญว่าอาหารตระกูลติงไร้ผู้สืบทอดแล้ว เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก

นางไม่เคยคิดว่าร้านอาหารหนิงเฟิงแห่งนี้จะขายอาหารของตระกูลติงได้ เป็นเพราะลูกหลานของตระกูลติงไร้พรสวรรค์ในการสืบทอดจึงทำให้มรดกของตระกูลติงได้ถูกทำลายลงไปอย่างน่าเสียดาย

ฮูหยินอู่อยากลองชิมรสชาติของอาหารตระกูลติงนางจึงสั่งมาลอง

“โปรดรอสักครู่ขอรับ”

ระหว่างรออาหาร ฮูหยินอู่มองไปรอบ ๆ การตกแต่งภายในร้ายอาหารแห่งนี้หรูหรามาก บ่าวรับใช้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ลูกค้าที่มานั่งกินนั่งดื่มล้วนมีความสุข บรรยากาศในร้านดูดีมากจริง ๆ

ครึ่งชั่วยามต่อมาอาหารจานแรกก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะ หลังจากได้กินไปแค่คำเดียวเท่านั้นฮูหยินอู่ก็ต้องตกใจ

รสชาตินี้แตกต่างและดีกว่าที่ลูกหลานตระกูลติงทำมากเหลือเกิน

ฮูหยินอู่ถึงกลับดึงตัวเสี่ยวเอ้อร์มาสอบถาม

“พ่อครัวของที่นี่เป็นลูกหลานของตระกูลติงหรือ?”

“พ่อครัวที่นี่เป็นผู้สืบทอดอาหารของตระกูลติงโดยตรง จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเจ้าของร้านช่วยกู้ชื่อเสียงให้เขากลับคืนมาได้ขอรับ”

“เรื่องราวเป็นอย่างไรหรือ?” ฮูหยินอู่อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น

เสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าร้านไม่ค่อยมีลูกค้า เขาจึงเปิดปากเล่าให้ฮูหยินอู่ฟัง

“บุตรชายสองคนของตระกูลติงเป็นพวกไร้ความสามารถ นายผู้เฒ่าติงจึงได้สอนวิธีทำอาหารให้กับพ่อครัวของที่ร้านเรา แต่พี่น้องติงอิจฉาไม่พอใจ จึงได้ใส่ร้ายกล่าวหาพ่อครัวของเราในข้อหาขโมยสูตรทำอาหาร ทั้งยังข่มขู่ไม่ให้เขาทำอาหารของตระกูลติงอีกด้วย ไม่ว่าพ่อครัวผู้นี้จะไปทำอาหารที่ร้านไหนพวกเขาก็ตามไปใส่ร้ายจนพ่อครัวถอดใจอยากจะเลิกเป็นพ่อครัวไปเลยทีเดียว โชคดีที่พ่อครัวได้มาเจอเถ้าแก่ร้านที่เห็นพรสวรรค์เขา จึงได้ช่วยเปิดโปงพี่น้องตระกูลติง สุดท้ายก็ได้กอบกู้ชื่อเสียงของพ่อครัวกลับคืนมาได้ขอรับ”

เมื่อร้านอาหารหนิงเฟิงในเมืองชิงเหอเปิดขึ้น ยามว่างพ่อครัวมักจะเล่าเรื่องของเขากับเถ้าแก่ร้านให้เสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายฟังอยู่บ่อยครั้ง น้ำเสียงที่เล่าเต็มไปด้วยความกตัญญูและซาบซึ้ง

“เถ้าแก่ร้านของเจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริง ๆ”

“แน่นอนขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์รับคำอย่างภาคภูมิใจ พวกเขาล้วนชื่นชมในความมีน้ำใจของเถ้าแก่ร้านมาก

ฮูหยินอู่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ สติปัญญาและความกล้าหาญของเด็กสาวคนนี้ดูจะเหนือกว่าผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด นางถึงดึงดูดรวบรวมผู้คนที่มีความสามารถมาอยู่ข้างกายได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอยู่แล้ว

ดูเหมือนสิ่งที่นายน้อยกล่าวไว้คงจะเป็นความจริง ความชื่นชมที่เขามีต่อนางไม่ใช่แค่ความหลงใหลแต่เพียงอย่างเดียว ฮูหยินอู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดี โชคดีเหลือเกิน นายน้อยช่างโชคดีจริง ๆ แต่ในเวลาเดียวกันฮูหยินอู่ก็ยิ่งสงสัยอยากเห็นหญิงสาวผู้นี้มากยิ่งขึ้น

“เถ้าแก่เนี้ยมาแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์พูดขึ้นอย่างมีความสุข สายตาของฮูหยินอู่ไล่ตามเสี่ยวเอ้อร์ไป นางเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้าประตูมา สวมชุดสีเหลืองทำให้ดูอายุน้อยราวกับยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน นางเหมือนดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าร้อนแรง ดึงดูดผู้คนด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวของนาง ในช่วงเวลานั้นฮูหยินอู่เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดนายน้อยถึงได้ตกหลุมรักนางภายในชั่วเวลาไม่นานนัก