บทที่ 292 คิดจะลงไม้ลงมือกับข้า

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 292 คิดจะลงไม้ลงมือกับข้า

เอ่อ……

ไม่ถูก

รบกันกับผีอะไรล่ะ!

ไข่ไก่ปะทะก้อนหิน เท่ากับรนหาที่ตายเอง

ในเวลานี้นางควรใช้สติปัญญาวางแผนเพื่อชัยชนะ ใช้ปัญญาวางแผนการเพื่อชัยชนะวิถีทางที่ดีที่สุดคือ : กลยุทธ์ที่สามสิบหก การหลบหลีกเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด

หรือพูดได้ว่า : รักษาผืนป่าผืนเขาเอาไว้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไร้ฟืนไว้ก่อไฟ

ระบบที่ตื่นเต้นจนน้ำมูกน้ำตาไหล ในที่สุดก็ได้พยักหน้าด้วยความชื่นใจ

สู้ไม่ชนะก็วิ่งหนี

เจ้านาย ในที่สุดก็เริ่มมีความคิดแล้ว

“มั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่ามั่นใจในตัวเองเกินไป ก็จะตายขณะยังหนุ่มยังแน่น” บุคคลลึกลับยิ้มอย่างน่าสะพรึง น้ำเสียงแก่ๆดังขึ้นมาอีกครั้ง

“หากว่าเจ้าสามารถชนะข้าได้……”

บุคคลลึกลับยังไม่ทันจะพูดจบ

หลานเยาเยาก็เอายาออกมาจากระบบเม็ดหนึ่ง ทำให้ตกลงไปที่พื้น

ในทันใด!

ก็มีหมอกควันสีขาวขนาดใหญ่ปกคลุมนางไว้ จากนั้นก็แฉลบตัว แอบหลบหนีไปก่อนเป็นดีที่สุด

“คิดจะหนี? หึ!”

บุคคลลึกลับหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเงา ไปปรากฏตัวกลางหมอกควันสีขาวทันที

สวมใส่ถุงมือสีดำ มือที่แผ่กระจายกลิ่นอายความชั่วร้าย ใช้ฝ่ามือกำลังภายในมุ่งโจมตีไปทางที่หลานเยาเยาจากไปโดยตรง

กำลังภายในที่น่ากลัวเช่นนั้น โบกพัดใบไม้ที่พื้นให้หมุนขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นมีดที่แหลมคมอย่างที่สุด โจมตีไปที่ด้านหลังของหลานเยาเยาทันที

นางรู้สึกได้ถึงอันตรายถึงชีวิต มือหนึ่งประคองจื่อเฟิงที่หมดสติไว้ มือหนึ่งเริ่มดึงกำลังภายในขึ้นมา ทันใดนั้นก็หมุนตัว

แต่ที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ……

กำลังภายในอันทรงพลังที่โจมตีมาทางนาง สูญสลายไปในพริบตาเมื่อนางหมุนตัวไป

ในเวลานี้!

มีเงาดำปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของนาง แล้วหายวับไป แทบจะทำให้เขาและนาง คิดว่าตัวเองตาลาย

แต่ว่า……

นางกลับได้กลิ่นหอมที่แปลกประหลาด และกลิ่นคาวเลือดจางๆที่แทบจะดมกลิ่นไม่ได้

รอจนหมอควันสีขาวจางหายไป ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ รถม้าที่หยุดอยู่ไม่ไกลก็ไม่อยู่แล้ว

สีหน้าของบุคคลลึกลับตะลึงงันไปเล็กน้อย

แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีใคร สามารถหนีรอดจากฝ่ามือเมื่อครู่ของเขาไปได้

คิดไม่ถึง…….

“หึ!”

“หนี? บนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าทั้งหมด จะสามารถหนีไปที่ไหนได้?”

ในเวลานี้!

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นกลิ่นอายความชั่วร้ายของเขา ก็อดกลั้นความกลัวไว้ในใจและรายงาน :

“ได้เบาะแสพิณกู่ฉินจื่อหลิงแล้วขอรับ อยู่ในเมืองหลวง!”

ได้ยินดังนั้น

ดวงตาของบุคคลลึกลับก็ดูครุ่นคิด ดวงตาที่ดูเย็นชาและน่ากลัวก็ส่องสว่างขึ้นเล็กน้อย……

……

จวนเทพธิดา ลานด้านหลัง

“จื่อซี”

เมื่อพาจื่อเฟิงเหาะเข้ามาในจวน หลานเยาเยาก็ตะโกนเรียกชื่อจื่อซีทันที

“ซ่าซ่า…..”

“เยาเยา เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? ไม่เรื่องอะไรรึเปล่า! ให้ข้าดูหน่อย”

แต่คนที่ออกมาไม่ใช่จื่อซี แต่เป็นป่ายเม่ยเซิงที่เปลือยท่อนบน เขาเป็นห่วงนางมากวนรอบตัวนางหนึ่งรอบ

มองสังเกตอย่างละเอียด ดูว่านางได้รับบาดเจ็บที่ไหนหรือไม่

และสำหรับจื่อเฟิงที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง แม้เพียงแวบหนึ่งเขาก็ไม่มอง

แต่ทว่า!

เขาไม่ชอบการที่มีผู้ชายคนอื่นมาถูกเนื้อต้องตัวหลานเยาเยาเป็นที่สุด ดังนั้นจึงรีบแย่งจื่อเฟิงออกมาจากมือของหลานเยาเยา

“ข้าไม่เป็นไร เขาบาดเจ็บหนักมาก เจ้าระวังหน่อย”

หลานเยาเยาค่อนข้างเป็นห่วงจื่อเฟิง

จากนิสัยของป่ายเม่ยเซิง คาดว่าเพียงแค่พ้นจากสายตานางไป จื่อเฟิงจะถูกเขาโยนทิ้งไปที่ไหนก็ไม่รู้

และป่ายเม่ยเซิงเห็นเสื้อผ้าของจื่อเฟิงไม่เรียบร้อย ทั้งเสื้อคลุมก็ไม่มีแล้ว

จึงรีบเบิกตาโพลงแล้วถามขึ้น : “เขา……เขาทำอะไรกับเจ้าหรือ?”

“……” หลานเยาเยาจนปัญญานิดหน่อย พูดกับเขาแกมหลอกล้อว่า : “ทำไมถึงไม่ถามว่าข้าทำอะไรกับเขา?”

เสื้อคลุมของจื่อเฟิงโดนป้ายไปด้วยยาพิษที่ร้ายกาจ

นางก็ต้องถอดออกให้เขาเป็นแน่อยู่แล้ว

“คิดว่าเขาก็คงไม่กล้าทำอะไรเจ้า เพียงแค่เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ส่งเขามาให้ข้า”

หลังจากที่เขายืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วว่าหลานเยาเยาไม่ได้มีปัญหา จึงคิดจะจัดการชายหนุ่มในมือที่ขวางหูขวางตานี่ออกไปซะ

ด้วยเหตุนี้!

เขาจึงหันหลังเดินจากไป

หลังจากจัดการชายหนุ่มที่ขวางหูขวางตานี่แล้ว เขาก็สามารถใช้นามการเจรจาการค้า ในการไปมาหาสู่กับหลานเยาเยาโดยลำพัง

เรื่องที่ทำให้จิตใจของคนตื่นเต้นได้ขนาดนี้ เขาเริ่มรู้สึกอดทนรอต่อไปไม่ได้แล้ว

“รอก่อน”

เมื่อเห็นป่ายเม่ยเซิงจะแบกจื่อเฟิงจากไป

หลานเยาเยาจึงเอ่ยขึ้น :

“ส่งให้จื่อซีดีกว่า!” ส่งให้ป่ายเม่ยเซิงนางอดห่วงไม่ได้จริง

“เยาเยา เจ้ายังไม่เชื่อถือข้าอีกหรือ?”

ป่ายเม่ยเซิงน้อยใจนิดหน่อย ใช้สีหน้าเศร้าสร้อยมองหลานเยาเยา “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสักครู่มีคนบุกรุกเข้ามาในจวนแล้ว จื่อซีองครักษ์คุ้มกันของเจ้ากำลังทำการสอบสวนเขาอยู่!”

“เช่นนั้นซาหมั่นเฉิงล่ะ?”

นางคิดว่าซาหมั่นเฉิงมีความน่าไว้ใจกว่าป่ายเม่ยเซิง

“เขาหรอ! เขาไม่อยากพบเจ้า คาดว่าตอนนี้ยังคงหลบในผ้าห่มระบายความทุกข์อยู่กับท่านโจ๊วก๊งหน่ะ!”(ท่านโจ๊วก๊งได้สมญานามว่า ‘เทพแห่งความฝัน‘)

เอ่อ……

ซาหมั่นเฉิงผู้นี้ หลังจากมาถึงตำหนักเทพธิดาของนางมาเป็นพ่อครัวให้นาง ก็หลบเลี่ยงนางมาตลอด

เกรงว่าเมื่อพบเจอนางแล้ว จะควบคุมมีดที่อยู่ตรงเอวของตัวเองไม่ได้

เพียงแต่……

น่าน้อยใจขนาดนี้เชียวหรือ?

ก็เพียงแค่ขอเขามาจากข้างกายของหานแสชั่วคราว……มาช่วยทำอาหารเอง มีอะไรน่าน้อยใจนักหนา?

ความถนัดของก็คือพ่อครัวนี่!

เห้อ!

ไม่เข้าใจจริงๆ

ดูท่าแล้วตอนนี้ก็มีเพียงแค่ป่ายเม่ยเซิงที่พอจะช่วยได้แล้ว

“เช่นนั้นเจ้าพาจื่อเฟิงไปที่ห้องก็เขาก็ได้”

จากนั้น นางก็เดินไปข้างๆป่ายเม่ยเซิง ตีไปที่บ่าของเขาอย่างจริงจัง “ส่งจื่อเฟิงกลับห้อง ขอมอบภารกิจที่เป็นเกียรติและยิ่งใหญ่นี้ให้แก่เจ้า”

ป่ายเม่ยเซิงที่อึดอัดใจเป็นที่สุดเพราะความไม่เชื่อใจของหลานเยาเยา เวลานี้เมื่อเห็นมือของหลานเยาเยาวางอยู่บนไหล่ ใจก็พองโตขึ้นมา

“เยาเยา เจ้าวางใจ ข้าไม่ทำอะไรเขาแน่”

“อืม!”

หลังจากที่ป่ายเม่ยเซิงพาจื่อเฟิงพ้นออกจากสายตาของหลานเยาเยา หลานเยาเยาก็เคลื่อนสายตาไปทางอื่น เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็หรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้

จากนั้นก็หายตัวจากไป

ตำหนักเทพธิดา ห้องนอนชั่วคราวของเย่แจ๋หยิ่ง

ประตูที่ปิดสนิท บนกลอนประตูที่ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มีมีดสั้นที่แหลมคมด้ามหนึ่งแทงเข้ามา หลังจากนั้นกลอนประตูก็ค่อยๆขยับขึ้นทันที

ก่อนที่กลอนประตูจะตกถึงพื้น

หลานเยาเยาที่ใส่ชุดแดงก็ผลักประตูห้องเบาๆ แฉลบตัวเข้ามา จากนั้นก็รับกลอนประตูที่ตกลงมาไว้

หลังจากที่วางกลอนประตูลงเบาๆ

จากนั้นก็แวบตัวไปถึงข้างเตียงของเย่แจ๋หยิ่ง มองไปที่ม่านสีเข้มที่ปิดสนิท นางยื่นมือไปแหวกออกเบาๆ

ใบหน้าที่หล่อเหลาดั่งเทพเซียนปรากฏอยู่ในสายตา

สีหน้าของเขาดูดีมาก หายใจปกติ

ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ได้?

ไม่ได้เจอมาตั้งสองสามวันแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าเขากลับมานอนที่นี่ทุกคืน?

มองดูโฉมหน้าของเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาของหลานเยาเยามีประกายขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

จากนั้น

นางยื่นมือไปคิดที่จะสัมผัสตรงชีพจรที่ข้อมือของเขา แต่พอใกล้จะถึง ข้อมือของตัวเองกลับโดนคว้าไว้ทันที

ดวงตาที่เฉียบแหลมและเย็นชาของเย่แจ๋หยิ่งเปิดขึ้นมาในทันใด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ดึกขนาดนี้แล้ว เทพธิดามาที่ห้องของข้าคิดจะทำอะไร?”

มองดูมือที่โดนจับไว้จนเกิดความเจ็บ หลานเยาเยากล่าวพร้อมรอยยิ้มอันเย็นชา :

“คืนนี้มีขโมยเข้ามาในตำหนัก จึงมาสืบหา”

บอกเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่พูดจบ ก็คิดจะดึงมือกลับ

แต่ทว่า……

กลับยังคงถูกจับไว้แน่น ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย

“ปล่อยมือ”

“สำหรับผู้ที่บุกรุกเข้ามาในห้องนอนของข้า ผู้หญิงที่คิดทำการไม่ซื่อต่อข้า ทำไมข้าจะต้องปล่อยมือ”

โธ่เว้ย!

“คิด คิดไม่ซื่อ? ใครจะคิดไม่ซื่อกับท่าน?”

นี่คือตำหนักเทพธิดาของนาง มีที่ไหนที่นางไปไม่ได้?

“หรือว่าเมื่อครู่เจ้าไม่ได้คิดจะลงไม้ลงมือกับข้า?”

“……”

เอ่อ……

นั่นนางแค่อยากจะจับชีพจรให้เขา

“ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว?” เขามองนางด้วยความเฉยชา

“ไม่ใช่ ข้ามามีเพียงหนึ่งจุดประสงค์……”